บทที่ 467.2 เก็บชะตาบู๊กินไข่มุก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลักการเหตุผลแบบเล็กน่ะหรือ นั่นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ตอนที่ยากจน ถูกคนนินทาว่าร้าย ก็ทำได้แค่อดทนอย่างเดียวเท่านั้น ถูกคนแทงข้างหลัง ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเหมือนกัน ขอแค่อย่าถูกแทงจนกระดูกสันหลังหักก็พอ แต่หากร่ำรวยขึ้นมาแล้ว มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี คนอื่นอิจฉาตาร้อน จะไม่ยอมให้พวกเขาพูดจาค่อนแคะสักคำสองคำเลยหรือ? ต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมัน ครอบครัวที่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ถูกคนนินทาแค่ไม่กี่คำ โชควาสนาจากร่มเงาบรรพบุรุษก็ไม่ได้ลดน้อยลงไปแม้แต่น้อย ส่วนครอบครัวที่ยากจน ไม่แน่ว่าอาจทำให้ผลบุญที่ครอบครัวตัวเองสะสมมาหดหายไป ดั่งเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ เจ้าคิดแบบนี้ก็จะไม่โกรธแล้วใช่หรือไม่?”

เผยเฉียนยกสองมือกอดอก หัวคิ้วขมวดแน่น พยายามขบคิดถึงหลักการเหตุผลเล็กๆ ข้อนี้ สุดท้ายพยักหน้ารับ “ไม่ได้โกรธขนาดนั้นแล้ว แต่ก็ยังโกรธอยู่ดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ความโกรธคืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ แต่โกรธแล้ว เจ้าไม่ได้อาศัยความสามารถของตัวเองไปลงไม้ลงมือกับใคร ไม่ได้ใช้ความผิดใหญ่ไปจัดการกับความผิดเล็กน้อยของคนอื่น แบบนี้ดีมากเลย”

เผยเฉียนพูดอย่างลิงโลด “อาจารย์ ข้าได้ยินคำพูดไม่น่าฟังมาตั้งมากมาย แต่ไม่ได้ลงมือทำร้ายคนอื่น! ไม่เคยเลยสักครั้งเดียว!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ต้องชมเชยเจ้าสักครั้ง”

เผยเฉียนหัวเราะคิกคัก “อาจารย์ ให้เหรียญทองแดงหลายๆ เหรียญเป็นรางวัลก็ได้นะ”

เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “แบบนั้นไม่ได้หรอก ลงมือทำอะไรสักอย่างควรต้องคิดถึงผลกำไรขาดทุน แต่การทำตัวเป็นคนไม่ควรทำเช่นนี้ ในเมื่อติดตามอาจารย์อย่างข้า ก็ต้องทนรับความลำบากนี้ให้ได้”

เผยเฉียนคลี่ยิ้ม “นี่จะถือเป็นความลำบากอะไรได้?”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าเผยเฉียนวางเปลือกเมล็ดแตงที่แทะเสร็จแล้วไว้บนฝ่ามือตลอดเวลา เหมือนกับตนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน และนี่ยังเป็นการกระทำที่เป็นไปเองโดยธรรมชาติ

เฉินผิงอันเทเปลือกเมล็ดแตงในมือตัวเองลงในมือของเผยเฉียน แล้วกล่าวว่า “สักวันหนึ่งเจ้าจะต้องได้พบเจอคนบางคนที่ขอแค่เจ้าโยนเปลือกเมล็ดแตงทิ้งลงบนพื้นในตรอกเล็ก ก็จะต้องชี้นิ้วตำหนิเจ้า คนเหล่านี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือคนที่เกิดมาในตระกูลร่ำรวย ไม่เคยล้มลุกคลุกคลานอยู่ท่ามกลางดินโคลนมาก่อน คนอีกประเภทหนึ่งก็คือคนที่เมื่อเจ้าได้ออกไปจากตรอกฉีหลงแล้ว แต่พวกเขากลับถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องได้แต่อยู่ในตรอกฉีหลงไปตลอดชีวิต วันหน้าเมื่อเจ้าอยู่ในยุทธภพจะต้องระวังคนประเภทหลังให้มากกว่า เพราะคนประเภทแรกนั้นแค่มีจิตใจเย่อหยิ่ง แต่คนประเภทหลังกลับมีจิตใจชั่วช้า”

เผยเฉียนเบิกตากว้างด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “แค่โยนเปลือกเมล็ดแตงทิ้งก็ยังต้องถูกคนด่า? ขี้ไก่ขี้หมาเต็มพื้น ทำไมไม่ไปด่าเล่า? นี่มันวิถีทางโลกแบบใดกัน!”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดถึง ‘เหตุและผล’ อีกสองชนิดที่สุดโต่งยิ่งกว่า ยกตัวอย่างเช่นจุดด่างพร้อยในคุณธรรมที่อยู่บนตัวของบทความอริยะ หรือการกระทำความดีในบางครั้งของคนที่ชั่วช้าสามานย์

พูดเรื่องพวกนี้กับเผยเฉียน ยังเร็วเกินไป แล้วก็ใหญ่เกินไป ไม่มีทางทำให้เผยเฉียนมีเหตุผลมากขึ้น มีแต่จะยิ่งกลายเป็นภาระของเผยเฉียนมากขึ้น

อีกอย่างเฉินผิงอันก็ไม่ต้องการให้เผยเฉียนกลายมาเป็นตนคนที่สอง

ดังนั้นเวลาที่พูดให้เผยเฉียนฟัง เฉินผิงอันจึงพยายามทำให้หลักการเหตุผลบางอย่างที่ตัวเองใคร่ครวญออกมาได้เป็นเหมือนโจ๊กถ้วยเล็กถ้วยหนึ่ง หรือไม่ก็หมั่นโถวลูกหนึ่งที่ไม่ว่าจะกินอย่างไรก็ไม่ส่งผลร้าย ต่อให้กินมากเกินไป จนเผยเฉียนเองยังรู้สึกอิ่ม กินไม่ไหวอีก ก็ยังสามารถวางไว้ก่อน เหลือค้างไว้ก่อน เมื่ออยู่กับเผยเฉียน เฉินผิงอันหวังว่าตนจะไม่ได้ส่งยาขมถ้วยหนึ่ง เหล้าร้อนแรงถ้วยหนึ่ง หรืออาหารที่เผ็ดเกินไปให้กับนาง

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เพราะกลัวว่าวันหน้าเจ้าอาจจะต้องหลบไปโมโหคนเดียวอีก ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า บนโลกย่อมมีคนประเภทนี้อยู่เสมอ อีกทั้งคนที่เจ้าไม่ชอบเหล่านี้ ในเรื่องบางอย่างพวกเขาทำไม่ถูกใจเจ้า แต่เรื่องอื่นๆ อาจจะทำได้ดีกว่าเจ้าก็เป็นได้ ดังนั้นพวกเราจึงต้องพยายามทำความเข้าใจโลกใบนี้ให้มากขึ้นเสียก่อน”

เผยเฉียนเกาหัว “อาจารย์ ปวดกบาลแหะ”

เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง “แค่รู้ความหมายคร่าวๆ ของมันก็พอ วันหน้าไปท่องอยู่ในยุทธภพก็จงดูให้มาก คิดให้มาก เวลาที่ควรลงมือก็อย่าได้สับสน ไม่ใช่ว่าถูกผิดทุกอย่างล้วนสามารถปล่อยผ่านไปอย่างคลุมเครือได้”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขลาดๆ “อาจารย์ วันหน้าหากข้าไปท่องอยู่ในยุทธภพ แต่ไม่เดินทางไปไกล ท่านก็จะไม่ซื้อลาตัวน้อยให้ข้าอีกแล้วใช่ไหม?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่”

เผยเฉียนถึงได้วางใจลงได้

แบบนั้นก็ดี จะได้กลับมาทันกินข้าวที่ภูเขาลั่วพั่ว

เฉินผิงอันพลันถามว่า “เจ้าคิดว่าครั้งแรกที่ออกไปท่องยุทธภพ จะออกไปไกลแค่ไหน?”

เผยเฉียนทำท่าเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ กลอกตาล่อกแล่ก เพียงแต่คิดหาวิธีดีๆ ไม่ออก อีกทั้งไม่อยากโกหกอาจารย์ นางจึงรู้สึกรับมือไม่ถูกอยู่บ้าง

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “จะดีจะชั่วก็ควรไปให้ถึงเมืองหงจู๋กระมัง?”

เผยเฉียนเหมือนยกภูเขาออกจากอก ยังดี อาจารย์ไม่ได้เรียกร้องให้นางไปยังสถานที่ไกลๆ อย่างแคว้นหวงถิง หรือเมืองหลวงต้าหลีอะไรพวกนั้น จึงพูดรับรองว่า “ไม่มีปัญหา! ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพกอาหารแห้งและเมล็ดแตงไปให้พอ!”

เฉินผิงอันเขกมะเหงกลงไป

เผยเฉียนรีบข่มกลั้นความเจ็บปวด ไม่ลืมเอามือกุมเข้าด้วยกัน หลีกเลี่ยงไม่ให้เปลือกเมล็ดแตงพวกนั้นหล่นลงบนพื้น

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ลงกลอนประตูแล้วพาเผยเฉียนออกไปจากตรอกด้วยกัน

เขาเก็บกิ่งไม้ขึ้นมาจากข้างทาง

ยามที่รอบกายไร้ผู้คน เฉินผิงอันก็ยิ้มแล้วบอกเผยเฉียนว่าให้นางเป็น ‘เทพธิดาโปรยดอกไม้’

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก มือสองข้างยังคงกุมกันเก็บเปลือกเมล็ดแตงเอาไว้ “อาจารย์ ข้าเริ่มแล้วนะ!”

เฉินผิงอันเอามือหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างถือกิ่งไม้ พยักหน้ารับ

เผยเฉียนตวาดเบาๆ แล้วโยนเปลือกเมล็ดแตงในมือขึ้นสูง

ร่างของเฉินผิงอันไม่ขยับ กิ่งไม้ในมือก็ไม่ขยับ เพียงแต่ชายแขนเสื้อและชายผ้าของชุดสีเขียวกลับโบกสะบัดเองโดยไร้ลม

เฉินผิงอันก้าวออกไปหนึ่งก้าว ทันใดนั้นตำแหน่งเดิมที่เขายืนอยู่ก็เหลือเพียงเงาสีเขียวเลือนรางที่ทิ้งค้างเอาไว้

เปลือกเมล็ดแตงแต่ละชิ้นที่ถูก ‘ปลายกระบี่’ จิ้มก็พากันระเบิดแตก

เมื่อเฉินผิงอันกลับมายืนนิ่งอีกครั้ง ในรัศมีหนึ่งจั้งที่ปรากฎอยู่ในสายตาของเผยเฉียนก็ราวกับว่าได้แขวนภาพการออกกระบี่ที่สูงเท่าตัวของอาจารย์ภาพแล้วภาพเล่าเอาไว้

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ “อาจารย์ วิชากระบี่ล้ำโลกที่สะท้านฟ้าดินเทพผีร่ำไห้นี้ของท่าน เหนือกว่าวิชากระบี่มารคลั่งของข้าไปอีกระดับหนึ่งเลย! ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่ง!”

เฉินผิงอันทิ้งกิ่งไม้ ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็คือวิชากระบี่มารคลั่งของเจ้านี่นา”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “ใต้หล้านี้ยังมีวิชากระบี่มารคลั่งที่ตีไม่โดนตัวเองด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันกลั้นหัวเราะไม่ไหว คิดดูแล้วเขาก็นึกสนุกขึ้นมา จึงยิ้มกล่าวว่า “ดูให้ดีล่ะ ยังมีอีกกระบวนท่าหนึ่ง”

เผยเฉียนรีบสูดลมหายใจเข้าลึกทันที คว่ำฝ่ามือสองข้างลงแล้วค่อยๆ กดลงสู่เบื้องล่าง ตั้งเป็นท่าลมปราณจมสู่จุดตันเถียน “เชิญอาจารย์ออกกระบวนท่า!”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองกิ่งไม้บนพื้นแวบหนึ่ง สองนิ้วประกบกัน จากนั้นร่างก็พลันบิดหมุนไปเบื้องหน้า ชายแขนเสื้อโบกสะบัด กิ่งไม้ที่อยู่บนพื้นประหนึ่งกระบี่บินที่ถูกลมปราณบังคับ จึงวาดวงโค้งพุ่งขึ้นมา พอเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้วชี้นิ้วไปยังจุดหนึ่งพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไปได้!”

กิ่งไม้กิ่งนั้นก็เหมือนกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ปักตรึกลงบนผนังที่ห่างไปไกล

เผยเฉียนกุมท้องหัวเราะก๊าก

นี่อาจารย์แอบเลียนแบบนางไม่ใช่หรือ

มีอาจารย์ที่ไหนขโมยเรียนวิชาประจำตัวของลูกศิษย์ตัวเองบ้างเล่า

เฉินผิงอันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง พาเผยเฉียนที่กระโดดโลดเต้นกลับไปยังตรอกฉีหลง เผยเฉียนพลันวิ่งกลับไปดึงกิ่งไม้กิ่งนั้นออกมาจากผนัง บอกว่านี่คือศาสตราวุธร้ายกาจ นางต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดี

พอส่งเผยเฉียนไว้ที่ร้านยาสุ้ยแล้ว เฉินผิงอันก็ไปบอกลาหญิงชราและสือโหรว ก่อนจะเตรียมกลับไปยังภูเขาลั่วพั่ว

เผยเฉียนบอกว่าจะไปส่ง จึงเดินออกจากตรอกฉีหลงมาด้วยกัน

เฉินผิงอันเดินมาถึงปากตรอกแล้วก็บอกให้เผยเฉียนกลับไป

เผยเฉียนวิ่งปรู๊ดกลับไปทันที พอไปถึงหน้าประตูร้าน เห็นว่าอาจารย์ยังยืนอยู่ที่เดิมก็โบกมืออย่างแรง พอเห็นอาจารย์ผงกศีรษะให้แล้ว นางถึงได้เดินอาดๆ กลับเข้าไปในร้าน ชูกิ่งไม้ที่อยู่ในมือขึ้นสูง ยิ้มพูดกับสือโหรวที่อยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินว่า “พี่หญิงสือโหรว มองออกหรือไม่ว่านี่คือสมบัติอะไร?”

สือโหรวมองเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ไม่รู้ว่านางต้องการอะไรกันแน่ จึงส่ายหน้า “โปรดอภัยที่ข้าสายตาไม่ดี มองไม่ออก”

เผยเฉียนทำสีหน้าเวทนา ทอดถอนใจอย่างเศร้าสร้อย “พี่หญิงสือโหรว แค่นี้ก็มองไม่ออก นี่ก็คือกิ่งไม้อย่างไรล่ะ”

สือโหรวไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

นางแน่ใจเลยว่า หากตนบอกว่าเป็นกิ่งไม้ เผยเฉียนก็จะต้องบอกว่ามันเป็นอย่างอื่น

สุดปลายทางของตรอกเล็ก

หลังจากร่างของเผยเฉียนหายไป เฉินผิงอันก็เดินไปข้างหน้าต่อ เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็หันกลับไปมอง

ปีนั้นบนถนนสายเล็กอีกเส้นหนึ่งก็เคยมีหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กเดินเคียงไหล่กัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฐานะอาจารย์และศิษย์ระหว่างเขากับเผยเฉียนแล้ว คราวนั้น พวกเขาไม่มีอะไรสักอย่าง มีเพียงฝนที่ตกลงมา

เฉินผิงอันยืนมองตรอกเล็กอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ากำลังมอง ‘คนสองคน’ ของปีนั้นที่กำลังเดินมาหาตนช้าๆ

‘เฉินผิงอัน จิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ไร้เดียงสา มองวิถีทางโลกที่ซับซ้อนเป็นเพียงเรื่องเรียบง่ายอย่างเดียวเท่านั้น แต่เมื่อเจ้ารู้อะไรมามากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิถีทางโลก นิสัยใจคอของคน กฎเกณฑ์ หลักการเหตุผล สุดท้ายเจ้ายังยินดียืนหยัดที่จะเป็นคนดี ต่อให้ต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากับตัวเอง แล้วจู่ๆ พลันรู้สึกว่าดูเหมือนคนดีจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทน แต่เจ้าก็ยังคงบอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า ยินดียอมรับผลลัพธ์นี้ ต่อให้คนชั่วมีชีวิตที่ดีแค่ไหน นั่นก็คือคนชั่ว ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง’

‘ฟังเข้าใจหรือไม่?’

‘อาจารย์ฉี ฟังเข้าใจ!’

‘ทำได้หรือไม่?’

‘ตอนนี้ยังไม่กล้าพูดว่าทำได้’

‘ไม่เป็นไร ค่อยเป็นค่อยไปเถิด’

เวลานี้

คนหนุ่มที่เปลี่ยนมาสวมชุดเขียวพลันเอ่ยขึ้นว่า “นอกเหนือจากหลักการเหตุผล ก็ถือว่าเดินช้ามากแล้ว จะช้ากว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว”

เฉินผิงอันหลับตาลง

ศาลบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลีที่เลือกสถานที่ก่อตั้งอยู่ที่สุสานเทพเซียน

เทวรูปพลันสั่นสะเทือน

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น พระโพธิสัตว์ องค์เทพสวรรค์จำนวนมากต่างก็เริ่มโยกคลอน

บนประตูใหญ่ของเรือนแต่ละหลังในเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ขอแค่มีภาพเทพทวารบาลฝ่ายบู๊ติดอยู่ก็ล้วนส่องแสงสีทองระยิบระยับ

เทวรูปขนาดใหญ่โตมโหฬารที่อยู่ในศาลบู๊ของเมืองเล็กคล้ายกำลังเผชิญกับการสยบกำราบที่บีบคั้นสุดขีด จึงพยายามสุดชีวิตไม่ให้ร่างทองของตนออกจากเทวรูปไปกราบกรานใครบางคน

นี่ไม่สอดคล้องกับกฎระเบียบพิธีการ!

ไม่สอดคล้องกับเจตจำนงเดิม!

ทว่าในศาลบู๊กลับมีโชคชะตาบู๊ที่เข้มข้นขุมหนึ่งไหลทะลักพรั่งพรูลงมาราวกับน้ำตก ไอหมอกแผ่อบอวลไปทั่ว

ส่วนเทวรูปในศาลบุ๋นบนภูเขาเครื่องกระเบื้องก็เกิดเหตุการณ์ผิดปกติติดต่อกัน

หากจะบอกว่าอริยะของศาลบู๊เขตการปกครองหลงเฉวียนสะท้านพรั่นพรึงและไม่ยินยอม อริยะศาลบุ๋นที่เกิดจิตสัมผัสเชื่อมโยงก็ยิ่งหวาดผวาและไม่เข้าใจ

ภูเขาพีอวิ๋นและภูเขาลั่วพั่ว มีคนออกมาจากยอดเขา และมีคนออกจากห้องมาที่ราวระเบียงแทบจะเวลาเดียวกัน

เว่ยป้อมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายผู้เฒ่าเปลือยเท้าในชั่วพริบตา

เว่ยป้อถามเสียงเบาอย่างกังขาว่า “นี่คือ?”

ชุยเฉิงพูดหน้าเคร่ง “การฝ่าทะลุขอบเขตห้าของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งเท่านั้น เป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดงา ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เว่ยป้อระอาใจ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบอย่างเจ้าชุยเฉิงก็ช่วยกดรอยยิ้มตรงมุมปากลงไปให้ได้สิ

ชุยเฉิงพลันมีสีหน้าเคร่งขรึม พูดพึมพำกับตัวเอง “ไอ้หนู อย่าได้ก่อเรื่องใหญ่เด็ดขาดเชียว ผู้ฝึกยุทธก็ดี ผู้ฝึกกระบี่ก็ช่าง ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ควรต้องมีความคิดอยู่บ้างกระมัง?”

เว่ยป้อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ชุยเฉิงขมวดคิ้วพูด “มัวอึ้งอะไรอยู่ รีบช่วยปิดบังลมปราณเข้าสิ!”

เว่ยป้อจึงรีบโบกชายแขนเสื้อ โคจรลมปราณแห่งแม่น้ำและขุนเขา

ชุยเฉิงพลันหัวเราะร่าเสียงดังอย่างเบิกบานใจ ยกฝ่ามือตบป้าบลงบนราวระเบียง

เว่ยป้อเองก็ได้ยิน ‘ถ้อยคำ’ ที่ดังขึ้นจากสุดตรอกฉีหลงแล้วเหมือนกัน เขาอึ้งงันไร้คำพูดไปพักใหญ่ นี่ไม่เหมือนเฉินผิงอันในความทรงจำคนนั้นเท่าไหร่เลยนะ

สุดตรอกเล็ก

เจี้ยนเซียนที่สะพายอยู่ด้านหลังของเฉินผิงอันออกจากฝักมาแล้ว ปลายกระบี่ทิ่มยันอยู่กับพื้นดิน ตั้งตรงอยู่ข้างกายของเฉินผิงอันพอดี

หลังจากที่เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ฝ่ามือเขายันไว้บนด้ามกระบี่ ทอดสายตามองไปไกล ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “โชคชะตาบู๊ส่วนนี้ ต้องการหรือไม่ ก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากไม่มา แน่นอนว่าย่อมไม่ได้!”

จิตเคลื่อนไหวเบาๆ

เจี้ยนเซียนกลับเข้าไปในฝัก

เพิ่งจะขาดคำของเฉินผิงอัน

ในสุสานเทพเซียน เส้นแสงสีขาวพร่างพราวขนาดใหญ่เท่าปากบ่อน้ำเส้นหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากพื้นที่ราบเรียบในศาลบู๊ แล้วพุ่งทะยานเข้ามาหาเฉินผิงอัน ตลอดทั้งขั้นตอนนี้ก็ยังมีเส้นแสงเล็กยาวผุดขึ้นมาจากอีกหลายตำแหน่ง แล้วมารวมตัวกันอยู่กลางอากาศ ตรงสุดตรอกเล็ก เฉินผิงอันไม่ถอยกลับรุดเข้าหา เขาเดินกลับเข้าไปในตรอกฉีหลงช้าๆ ใช้ฝ่ามือข้างเดียวรับเส้นแสงสีขาวนั้นเอาไว้ มาเท่าไหร่ก็รับไว้เท่านั้น สุดท้ายถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน ปั้นเส้นแสงให้กลายเป็นไข่มุกของเจียวหลงที่เปล่งประกายแสงเจิดจ้า เมื่อไข่มุกที่ส่องแสงสุกสกาวดุจแสงแก้วใสนี้ถือกำเนิดขึ้น เฉินผิงอันก็เดินมาถึงหน้าประตูร้านยาสุ้ยพอดี สือโหรวเหมือนถูกอานุภาพสวรรค์ข่มกำราบ จึงทรุดนั่งตัวสั่นอยู่บนพื้น มีเพียงเผยเฉียนที่ยืนอึ้งอยู่ในร้านด้วยความมึนงง

เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ในฝ่ามือถือประคองไข่มุกพราวแสงที่หมุนติ้วไม่หยุดลูกนั้นเอาไว้ เขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเผยเฉียน ค้อมตัวคลี่ยิ้มให้กับนาง “รับไป”

เผยเฉียนยื่นสองมือออกมา

ดวงตาคู่นั้นของนางราวกับดวงตะวันจันทราที่ประชันแสงกันอยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล

เฉินผิงอันวางไข่มุกที่เกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาบู๊ลูกนั้นไว้บนมือของเผยเฉียน แล้วไข่มุกก็ส่องแสงวาบ ก่อนจะหายไป

ฟ้าดินกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

เผยเฉียนพลันส่งเสียงเรอดังเอิ้ก พูดอย่างมึนงง “อาจารย์ นี่คืออะไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หนึ่งในหลักการเหตุผลของอาจารย์”

เผยเฉียนเช็ดปาก ตบท้องตัวเอง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “อาจารย์ อร่อยมากเลย ยังมีอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันโน้มตัวลงอีกครั้ง ดึงหูเผยเฉียน ยิ้มถามว่า “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”

เผยเฉียนหัวเราะหึหึ “มีอีกก็ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันกำลังจะพูด แต่ร่างเหมือนถูกคนกระชาก เรือนกายของเขาหายวับไป มาปราฎอีกครั้งที่เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว ก็เห็นว่าผู้เฒ่ากับเว่ยป้อยืนอยู่ตรงนั้น

เว่ยป้อกุมหมัดยิ้มแป้น “ขอแสดงความยินดีด้วย”

ชุยเฉิงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ก็งั้นๆ แหละ”

เฉินผิงอันพอจะสงบใจลงได้แล้ว ดูท่าคงสามารถออกเดินทางไปยังแคว้นไฉ่อีและแคว้นซูสุ่ยได้แล้วจริงๆ

ไปตอนนี้ก็สามารถกินเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวของหญิงชราได้พอดี แล้วก็ค่อยไปเลี้ยงหม้อไฟผู้อาวุโสซ่งสักมื้อ

ผลกลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันยังไม่ทันได้เบิกบานใจนานเท่าไหร่ ผู้เฒ่ากลับหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “เข้ามา จะให้ปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตหกอย่างเจ้าได้ชมทัศนียภาพของขอบเขตสิบสักหน่อย เมื่อชมแล้วก็ตั้งใจพักรักษาตัวให้ดี วันใดลงจากเตียงไปเดินได้เป็นปกติ ค่อยออกเดินทางก็ยังไม่สาย”

เว่ยป้อไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เผ่นหนีไปทันที

ทิ้งเฉินผิงอันที่เศร้ารันทดไว้เพียงลำพัง

อันที่จริงเผยเฉียนไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆ อาจารย์ก็มาแล้วก็จากไปอีกครั้ง นางเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน มองผีสาวที่ยังกุมหัวนั่งยองอยู่บนพื้น เผยเฉียนก็กระโดดขึ้นไปยืนบนม้านั่งตัวเล็ก รู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยจึงหยิบยันต์กระดาษสีเหลืองแผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบเข้าที่หน้าผากตัวเอง แล้วจึงหันไปพูดกับสือโหรวว่า “ผีขี้ขลาด!”

—–