ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 41 ปิดเมือง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ฉู่เหวินเจี๋ยมีความคิดดังนี้ตั้งนานแล้ว ครั้นได้ยิน ก็พยักหน้า และพูดสั่งออกไป “สั่งกองทัพใหญ่ให้พรุ่งนี้เช้าบุกรัฐอิงทันที” 

 

 

เหล่าแม่ทัพรับคำ แล้วส่งคำสั่งออกไป กองทหารใหญ่ทั้งหมดล้วนเคลื่อนไหวโดยทันที หลังจากที่รอคอยมาหลายวันขนาดนี้ ในที่สุดก็มาถึงวันออกศึกแล้ว ที่ด่านชายแดนตรงนี้ ลมทรายทั้งแรงและหนาว พวกเขาจึงอยากรีบถล่มรัฐอิงไวๆ จะได้กลับไปเสียที 

 

 

วันถัดมา ท้องฟ้าส่องแสงรำไร ดูขมุกขมัว หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ฉู่เหวินเจี๋ยก็จัดแบ่งกองทัพใหญ่ แล้วออกเดินทางไปยังชายแดนของรัฐอิง 

 

 

องค์ชายใหญ่ได้รับรายงานกลับมา ความเ**้ยมโหดนัยน์ตาก็ยิ่งเข้มขึ้น แล้วถมน้ำลายไปด้านรัฐอู่ พร้อมพูดจาอย่างองอาจ “ฉู่เหวินเจี๋ย สิบกว่าปีก่อนนั้น เจ้าตีรัฐอิงของข้าจนพ่ายแพ้ ทำให้ข้าต้องส่งบรรณาการตั้งหลายปี ครานี้ต้องจับเป็นเจ้า ให้เจ้าได้ลิ้มรสความพ่ายแพ้ของสงคราม” 

 

 

พูดจบ ก็โบกมือออกคำสั่ง “รวบรวมกองทัพใหญ่ เตรียมตั้งรับศึก” 

 

 

ด้านนั้น ศึกสงครามก็ได้เริ่มขึ้นแล้ว 

 

 

ภายในอาณาเขตรัฐหมิง หลังจากพวกหวงฝู่อี้เซวียนทั้งหกคนหาโรงเตี๊ยมชั้นดีพักแล้ว ก็นอนหลับอย่างสงบทดแทนหลายวันนี้ที่ผ่านมา ท้องฟ้าส่องแสงสว่างออกมาเล็กน้อยแล้ว ทุกคนยังคงนอนหลับอย่างสบายอยู่ แต่ทันใดนั้นก็ถูกเสียงตะโกนที่ดังอื้ออึงปลุกให้ตื่น “เกิดสงครามแล้ว เกิดสงครามแล้ว รัฐอู่กับรัฐอิงปะทะกันแล้ว” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งเชี่ยนสะดุ้งตื่น และลืมตาขึ้นพร้อมกัน แม้จะฟังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รู้ว่าเป็นเรื่องใหญ่แน่นอน 

 

 

ทั้งสองคนรีบสวมใส่เสื้อผ้าลุกจากเตียง ออกมานอกห้อง หลินหันเยียนที่ยืนอยู่ที่ชานบันไดแล้ว พอได้ยินเสียงประตู ก็หันหน้าไป เห็นทั้งสองคนออกมาพร้อมกัน จึงกดเสียงต่ำพูด “แม่ทัพฉู่เดินทัพแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

นี่เป็นวันที่หกตั้งแต่ที่ตัวเองออกมา เมื่อยังไม่ได้กลับไป ท่านน้าก็ย่อมต้องรู้สึกร้อนใจ หวงฝู่อี้เซวียนพลันคิดถึงตรงนี้ขึ้นมา และพูด “เก็บของ พวกเราจะรีบกลับไป” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่ง หวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าตื่นขึ้น สวมใส่เสื้อผ้า และกำลังจะเดินออกมา ครั้นได้ยินคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วยกของที่พกติดตัวออกมายืนรออยู่หน้าประตู 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้หันกลับเข้าไปในห้อง แล้วนำห่อที่ติดตัวมาด้วยพาดบนบ่าข้างหนึ่ง และเดินออกมา 

 

 

ทั้งหกคนลงจากด้านบนลงมา หลินหันเยียนหยิบเงินตำลึงก้อนหนึ่งออกมาจ่ายเงิน 

 

 

พวกเขาเป็นคนรัฐอิงแต่กลับถือเงินรัฐอู่ เถ้าแก่ก็รู้สึกประหลาดใจ และอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองพวกเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ทำได้แค่มองเพียงแวบหนึ่งเท่านั้น เพราะไม่ว่าเป็นใคร ขอเพียงแค่มีเงินพักในร้านก็พอแล้ว จึงก้มหน้าลง ทอนเงินที่เหลือ และมองทุกคนขึ้นรถม้าออกไปไกล 

 

 

สายตาแวบนั้นของเถ้าแก่ กลับทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวตระหนักได้ว่าตัวเองทั้งหกคนในตอนนี้ แต่งตัวไม่ค่อยเหมาะสม จึงรีบหาร้านเสื้อผ้าร้านหนึ่ง แล้วซื้อเสื้อผ้าจำนวนหกชุดให้ทุกคนเปลี่ยนออกมา ตอนที่เดินทางผ่านลำธารเล็กๆ ก็ให้ทุกคนล้างเครื่องสำอางบนหน้า กลับคืนสู่รูปลักษณ์เดิม 

 

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทั้งหกคนก็ออกเดินทางไปยังชายแดนอย่างสดชื่น ทว่า ยังไม่ทันถึงเขตชายแดน พลางเห็นคนหลายคนเดินคอตกกลับมา บรรดาผู้คนในนั้น มีคนรัฐอู่จำนวนไม่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกแปลกชอบกล จึงให้หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้าไปสอบถาม 

 

 

พวกคนที่เดินมาก็เป็นคนรัฐอู่เหมือนกัน จึงถอนหายใจ และพูดปราม “กลับไปเถิด ตอนนี้รัฐอู่กับรัฐอิงทำสงครามกัน รัฐหมิงกลัวว่าหายนะจะเข้าตัวเอง จึงเริ่มปิดชายแดนวันนี้ รอให้ถึงวันที่ทั้งสองรัฐทำสงครามเสร็จ ถึงค่อยว่ากัน” 

 

 

พูดจบ ก็ส่ายหน้า และถอนหายใจเดินกลับไป ขณะเดียวกันในใจพลางครุ่นคิดว่า ครั้งนี้ตัวเขาเองออกมาทำกำไรได้เพียงเท่านี้ ก็ไม่รู้จะเพียงพอใช้จ่ายในรัฐหมิงหรือไม่ หวังว่าแม่ทัพใหญ่จะสามารถตีรัฐอิงได้เร็วหน่อย พวกเขาจะได้ไม่ถึงขั้นต้องขอทานอยู่ในรัฐหมิง 

 

 

ชายแดนปิดตายลง และมีทหารคุ้มกันอย่างหนาแน่น แม้อยากจะบุกออกไปนอกชายแดนก็จนปัญญา ตอนนี้ตัวเองและทุกคนถูกขังอยู่ที่นี่แล้ว จะส่งข่าวสารกลับไปก็ยังทำไม่ได้ ถ้าหากท่านพ่อเข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตัวเองและทุกคนแล้ว ก็คงทนไม่ได้และลงมือนำทัพออกไปสังหารศัตรูด้วยตัวเอง 

 

 

คิดถึงตรงนี้ คิ้วของหวงฝู่อี้เซวียนก็ขมวดเข้าหากันแน่น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดถึงตรงนี้เช่นกัน จึงเม้มปากแน่น แต่ก็จนปัญญา ถ้าหากว่ามีเพียงนางกับหวงฝู่อี้เซวียนแค่สองคน ก็คงออกไปชายแดนได้อย่างง่ายดาย ทว่า ตอนนี้ มีเด็กสามคน แล้วยังมีหลินหันเยียนที่วิชาการต่อสู้ค่อนข้างอ่อนแอ พวกเขาจึงไม่กล้าวู่วาม ได้แต่เพียงรอคอยโอกาสอย่างร้อนใจ 

 

 

รถม้าหยุดอยู่ข้างทาง เห็นคนแต่ละคนผ่านข้างรถม้าไปด้วยท่าทางที่ห่อเ**่ยว หวงฝู่เฮ่าก็เม้มปากไม่พูด ครั้งนี้หวงฝู่เย่าเย่ว์ถึงตระหนักได้ว่าการทำตามใจตัวเองเพียงชั่วขณะเดียว ก็สร้างความลำบากขึ้นมากมาย จึงเอ่ยปากขึ้นอย่างหนักแน่น “ท่านพ่อเจ้าคะ ท่านแม่เจ้าคะ” 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกมาลูบศีรษะของนาง เผยรอยยิ้มน้อยๆ มองหวงฝู่สือเมิ่ง “พวกเจ้าอยากจะออกมาดูข้างนอกตั้งนานแล้วใช่ไหม พอดีเลย ถือโอกาสนี้เล่นอย่างสนุกสนานสักหน่อย หลังจากพวกเรากลับเมืองหลวงไปครานี้ ก็คงจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้ว” 

 

 

รอยยิ้มปลอบใจของนางได้ผล หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่รู้สึกโทษตัวเองแล้วทันที พร้อมพูดถามอย่างดีใจ “ท่านแม่ พวกเราสามารถเดินดูไปรอบๆ ได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” 

 

 

“ได้ แต่ต้องดูแลตัวเองให้ดี อย่าให้เกิดเหตุอะไรขึ้นอีก” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์พยักหน้าไม่หยุด “ข้าทราบเจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะไม่ออกไปไหนคนเดียวอีกแล้วเจ้าค่ะ ต้องอยู่ด้วยกันกับพี่ใหญ่กับน้องเฮ่าแน่นอน” 

 

 

หลินหันเยียนได้ยินบทสนทนาของแม่ลูกในรถม้า ก็เกิดความรู้สึกเศร้าอยู่ในใจขึ้นมา ถ้าหากสิบกว่าปีก่อน นางไม่ทำเช่นนั้น และอยู่ด้วยกันกับหวงฝู่อวี้อย่างดีตามปกติ ลูกของพวกเขาคง… คิดถึงตรงนี้ ก็หันหน้า มองไปทางหวงฝู่เฮ่าที่ถือบังเ**ยนนั่งอยู่ชานรถม้าอีกด้านหนึ่ง จ้องมองใบหน้าที่คล้ายคลึงกับหวงฝู่อวี้ และคิดว่าถ้าหากพวกเขามีลูกด้วยกันก็น่าจะโตประมาณนี้แล้ว 

 

 

เมื่อรู้สึกถึงสายตาที่จับจ้องของนาง หวงฝู่เฮ่าก็หันไปมอง และเห็นจังหวะที่นัยน์ตาหลินหันเยียนมีประกายน้ำตาบางๆ จึงตะลึงไป “ท่าน…” 

 

 

“อ๋อ ข้าไม่เป็นอะไร ลมมันพัดน่ะ” หลินหันเยียนได้สติ ก็ลนลานและละสายตาออกมา แล้วยกชายเสื้อขึ้นซับน้ำตาอย่างกระสับกระส่าย 

 

 

ปากเล็กๆ ของหวงฝู่เฮ่าเม้มแน่น ตอนที่เขาเตรียมตัวจะมาด่านชายแดน ท่านพ่อก็ได้บอกประวัติที่มาของหลินหันเยียนทั้งหมดต่อหน้าเขาแล้ว พร้อมกำชับว่า ถ้าเจอคุณหนูหลินต้องเคารพนอบน้อม ซึ่งเขาก็ปฏิบัติตามนั้นมาโดยตลอด แต่เขาไม่เข้าใจว่า ใบหน้าเศร้าสลดของคุณหนูหลินเมื่อครู่นั่นเป็นเพราะเหตุใด 

 

 

แม้ว่าหวงฝู่เฮ่าพูดเพียงคำเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังคงได้ยิน ไตร่ตรองเพียงครู่เดียว ก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุอันใด แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และสั่งหวงฝู่เฮ่า “เฮ่าเอ๋อร์หันหัวม้าไปหาโรงเตี๊ยมแถวนี้แล้วพักก่อนเถิด พอชายแดนเปิดแล้ว พวกเราจะได้กลับไปถึงเร็วหน่อย” 

 

 

หวงฝู่เฮ่ารับคำ แล้ววกกลับทางเดิม จากนั้นรถม้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง 

 

 

รัฐอู่กับรัฐอิงทำสงครามกันแล้ว ชายแดนของทั้งสองฝั่งปิดผนึก พ่อค้าไปมาน้อยลง คนพักในร้านก็ย่อมน้อยลงด้วย เมื่อเห็นรถม้าคันหนึ่งเคลื่อนมาอยู่หน้าโรงเตี๊ยมตัวเอง เสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมก็ออกมาต้อนรับอย่างเบิกบาน แล้วโค้งตัวยิ้มถาม “ทุกท่านต้องการมาแวะรับประทานอาหารหรือพักขอรับ” 

 

 

“พักเจ้าค่ะ ขอสามห้องด้านบนเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนตอบ 

 

 

ในคราเดียวก็ต้องการห้องด้านบนถึงสามห้อง ใบหน้าของเสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ้มร่าออกดั่งดอกไม้ผลิบาน แล้วตะโกนเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้านในเสียงดัง “เถ้าแก่ขอรับ สามห้องด้านบนขอรับ” 

 

 

เถ้าแก่ก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างเริงร่า หลังจากสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ลากรถม้าไปหลังเรือนแล้ว ตัวเองก็พาพวกเขาขึ้นไปดูห้องด้วยตัวเอง 

 

 

ห้องเก็บกวาดอย่างสะอาดสะอ้าน เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพอใจ 

 

 

เมื่อหลินหันเยียนสอบถามราคาแล้ว ทั้งหกคนก็เข้าพัก 

 

 

ณ ชายแดนรัฐอู่กับรัฐอิง 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยนำกองทัพใหญ่มุ่งตรงไปกดดันที่ชายแดนรัฐอิง อ๋องฉีก็เปลี่ยนเป็นชุดเกาะแม่ทัพตามอยู่ด้านข้างฉู่เหวินเจี๋ย 

 

 

องค์ชายใหญ่แห่งรัฐอิงนำทหารออกมาตั้งรับ 

 

 

รัฐอิงได้วางแผนการรบล่วงหน้าตั้งนานแล้ว ส่วนทางรัฐอู่ด้านนี้ก็ร้อนใจอยากจะตามหาคน ทั้งสองฝั่งจึงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรกันอีก ทันทีที่ฉู่เหวินเจี๋ยกับองค์ชายใหญ่ออกคำสั่ง ทหารสองฝั่งก็รบราฆ่าฟันกันขึ้นมา 

 

 

ในวันแรก จิตวิญญาณของเหล่าทหารล้วนฮึกเหิม ใครต่างก็ไม่ยอมใคร เปิดฉากฆ่าฟันกันผ่านไปยกใหญ่ ทั้งสองฝั่งก็ยังไม่มีใครได้เปรียบใคร 

 

 

สีหน้าของฉู่เหวินเจี๋ยเป็นดังเดิม ทว่า สีหน้าขององค์ชายใหญ่กลับบึ้งดำเป็นก้นหม้อ 

 

 

หลังจากที่พ่ายแพ้ศึกในสิบกว่าปีก่อนครั้งนั้น เขาก็ไม่เคยหยุดฝึกซ้อมทหารและม้าเลย หวังว่าจะมีวันใดสักวันที่ตีชายแดนรัฐอู่แตกได้ในที่สุด แล้วสิ้นสุดวันที่ต้องยอมจำนนต่อฝ่ายตรงข้ามมานานหลายปีเช่นนี้ แต่ว่าการทำสงครามครานี้ นอกจากจะแค่มีศพจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ก็ไม่มีการพัฒนาอะไรเลย 

 

 

การสู้ครั้งนี้กลับเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของฉู่เหวินเจี๋ย ถ้าหากรัฐอิงไม่มีกำลังทหารมากพอ ก็จะไม่วางแผนรบเช่นนี้ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ต้องบุกโจมตีอย่างมั่นคง ถึงอยู่เหนือกลยุทธ์ของกลยุทธ์ได้ 

 

 

แม้ว่าอ๋องฉีจะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกหวงฝู่อี้เซวียน และรู้สึกร้อนรนภายในใจ แต่ก็เป็นแม่ทัพนำทหารจู่โจม และรู้ว่า การที่ทั้งสองฝั่งทำสงครามต่อกันไม่อาจกระทำอะไรบุ่มบ่ามได้ โดยเฉพาะวันแรกที่ทหารกำลังฮึกเหิม อีกทั้งจะไม่ดำเนินการถอยทัพแต่อย่างใด 

 

 

เบื้องหน้าไม่อาจได้เปรียบ องค์ชายใหญ่ก็ไม่ได้ฝืนสู้ สั่งคนให้รัวกลองถอยทัพ เพื่อกลับไปปรึกษายุทธศาสตร์การรบ 

 

 

ฉู่เหวินเจี๋ยก็ไม่ได้กดดันทุกก้าว สั่งคนให้เก็บกวาดสนามรบ และกลับรัฐอู่ 

 

 

ขณะที่หวงฝู่อี้เซวียนและทุกคนพักอยู่ในโรงเตี๊ยม ก็ให้หลินหันเยียนสังเกตการเคลื่อนไหวของชายแดนตลอดเวลา 

 

 

การรบราฆ่าฟันผ่านไป ข่าวที่บอกว่าสองฝั่งไม่มีใครได้เปรียบใครก็แพร่กระจายออกไปทุกแห่งอย่างรวดเร็ว คนที่ไปมาในโรงเตี๊ยมมีมากมาย ข่าวจึงแพร่เข้ามาอย่างรวดเร็ว 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนวางใจที่พะว้าพะวงลงทันที ท่านน้าไม่ได้ถูกเรื่องที่ตัวเองและทุกคนไม่ได้ส่งข่าวให้ จนกระทำการที่หุนหันเสียสติ เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว เหมือนดังที่โยวเอ๋อร์บอก นานๆ ทีจะได้ออกมาสักครั้ง ก็ให้เด็กๆ เที่ยวเล่นอย่างมีความสุขสักสองสามวันก็แล้วกัน 

 

 

ความคิดสิ้นลง อารมณ์ในใจก็ผ่อนคลาย แล้วไปที่ห้องของหวงฝู่สือเมิ่งกับหวงฝู่เย่าเย่ว์ พร้อมกับเรียกหวงฝู่เฮ่ามา และถามสามคนว่าอยากออกไปเดินเล่นรอบๆ หรือไม่ 

 

 

หลายวันมานี้ จำต้องหนีเอาชีวิตรอดตลอด ทำให้ไม่ว่าสภาพร่างกายหรือว่าสภาพจิตใจของทั้งสามคนล้วนตึงเครียดอย่างมาก ได้ยินหวงฝู่อี้เซวียนพูดเช่นนี้ ก็ดีใจอย่างมาก หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจมากที่สุดจนกระโดดโลดเต้น และยิ้มถามให้แน่ใจ “ท่านพ่อ ที่ท่านพูดเป็นความจริงหรือเจ้าคะ ให้พวกเราออกไปเที่ยวเล่นได้จริงๆ หรือเจ้าคะ” 

 

 

“ย่อมเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ว่ามีเงื่อนไขสองข้อ” เห็นนางฟื้นคืนพลังกายอีกครั้ง ไม่เหมือนกับหลายวันก่อนที่หดหู่และเซื่องซึม หวงฝู่อี้เซวียนก็ดีใจอย่างมาก และพูดด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“ข้ารู้เจ้าค่ะ ไม่อนุญาตให้ออกไปไหนคนเดียว ไม่อนุญาตให้วิ่งมั่วซั่ว ต้องอยู่ด้วยกันกับทุกคน” หวงฝู่เย่าเย่ว์แย่งพูด 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยื่นมือออกไปลูบหัวนาง แล้วยิ้มตำหนิอย่างเอ็นดู “เจ้าช่างฉลาดนัก แล้วเจ้าทำได้ไหมเล่า” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกล่าวรับรอง “ได้เจ้าค่ะ ได้เจ้าค่ะ ครั้งนี้ข้าจะเอาเชือกมัดตัวเองกับพี่ใหญ่เลย หากเจออะไรที่น่าสนุกก็จะไม่ไปคนเดียวเจ้าค่ะ” 

 

 

ดูท่าว่าครั้งนี้จะได้รับบทเรียนแล้วจริงๆ หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ตำหนินางมากอีก และยิ้มพยักหน้า 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ร้องอย่างสุขใจ เข้าไปกอดแขนของหวงฝู่สือเมิ่ง “พี่ใหญ่ น้องเฮ่า พวกเรารีบไปกันเถอะ”