ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 42 เตรียมตัว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่สือเมิ่งมองไปทางหวงฝู่อี้เซวียนด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวถามว่า “ท่านพ่อ ได้หรือไม่เจ้าคะ” พวกเขาทั้งสามไม่คุ้นเคยกับผู้คนและสถานที่นี้ และไม่เข้าใจภาษาของรัฐหมิง หากเกิดอะไรขึ้นมาอีกก็จะเป็นปัญหาได้ ท่านพ่อต้องเตรียมทุกอย่างไว้ให้พวกเขาแล้วแน่นอน 

 

 

“ให้คุณหนูหลินไปเป็นเพื่อนพวกเจ้า จำไว้ เจ้าเป็นพี่ใหญ่ ดูแลพวกเขาให้ดี แล้วต้องดูแลคุณหนูหลินใด้ดีด้วย” หวงฝู่อี้เซวียนกำชับ 

 

 

มิใช่ว่าเขาลำเอียง ที่รักและเอาใจหวงฝู่เย่าเย่ว์ เข้มงวดกับหวงฝู่สือเมิ่ง แต่ตั้งแต่ทั้งสองรู้ความ หวงฝู่สือเมิ่งก็ทำให้ทุกคนสบายใจไม่ต้องกังวลใดๆ ไม่ต้องสั่งอะไร ก็สามารถจัดการได้ทุกอย่าง ส่วนหวงฝู่เย่าเย่ว์ นั้นต่างกัน อย่าว่าแต่นิสัยที่ดื้อรั้น ทำการใดก็ยังทำให้ทุกคนกังวล นานเข้า ทุกคนในครอบครัวก็ชินกับการให้หวงฝู่สือเมิ่งเป็นพี่ใหญ่ของเด็กๆ ทุกคน 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งตอบรับ แล้วหันหลังเดินไปที่ข้างเตียง เปิดกระเป๋าออก หยิบเศษเหรียญออกมาเล็กน้อยแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ แล้วพาหวงฝู่เย่าเย่ว์และหวงฝู่เฮ่าไปที่ห้องของหลินหันเยียน ยิ้มแล้วกล่าวว่า “คุณหนูหลิน พวกข้าอยากออกไปเที่ยว ท่านออกไปเป็นเพื่อนพวกข้าได้หรือไม่” 

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “ท่านหญิงน้อยอยากไปเที่ยวที่ใดเจ้าคะ” 

 

 

“เที่ยวใกล้ๆ นี้ก็พอ อีกอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหา คุณหนูหลินอย่าเรียกข้าว่าท่านหญิงน้อยเลย เปลี่ยนชื่อเรียกเถิด” 

 

 

ทั้งสองรัฐมีความสัมพันธ์ทางการค้ากัน แล้วก็เป็นสถานที่ใกล้กับชายแดน ประชาชนรัฐหมิงที่รู้ภาษารัฐอู่ก็มีไม่น้อย หากได้ยินตัวเองเรียกหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่าท่านหญิงน้อย แล้วข่าวกระจายออกไป อาจทำให้เกิดปัญหาได้จริงๆ  

 

 

หลินหันเยียนพยักหน้า ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้เจ้าคะ ถ้าเยี่ยงนั้นข้าจะเรียกว่าคุณหนูและคุณชายแทนเจ้าคะ” 

 

 

ความตั้งใจแรกของหวงฝู่สือเมิ่งคือพวกเขาทุกคนเรียกหลินหันเยียนว่าท่านอา แต่ก็คิดถึงฐานะของตนแล้ว หลินหันเยียนต้องไม่ยอมแน่ๆ จึงล้มเลิกความคิดนี้ไป พยักหน้า “ได้ รบกวนคุณหนูหลินแล้ว พวกเราไปกันเถิด” 

 

 

หลินหันเยียนก็หยิบเศษเหรียญใส่เข้าไปในกระเป๋าแขนเสื้อ หันหลังแล้วเดินตามพวกเขาออกประตูไป ลงมาชั้นล่าง หลังจากสอบถามเถ้าแก่ว่ามีที่ใดน่าเที่ยวหรือไม่ ทั้งสี่คนก็เดินออกมาพร้อมกัน 

 

 

รอจนทุกคนเดินออกไปไกลแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินออกมาจากห้อง มาถึงหน้าโต๊ะจ่ายเงินโรงเตี๊ยม ลองใช้ภาษาของรัฐอู่ถามเถ้าแก่ว่า “ในเมืองนี้มีที่ใดที่ขายม้าหรือไม่” 

 

 

ในโรงเตี๊ยมมีผู้คนผ่านไปมามากมาย มีแขกจากทุกแห่งหน เวลานานไป เถ้าแก่ก็เรียนรู้ภาษาง่ายๆ ของรัฐอื่นได้ เข้าใจคำพูดของพวกเขา ยิ้มแล้วกล่าวกับพวกเขาว่า “ออกไป เลี้ยวซ้าย เดินไปจนสุดทาง จะมีที่ๆ ขายสัตว์โดยเฉพาะ ท่านสามารถไปดูที่นั้นได้” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณ แล้วถามต่อว่า “พวกข้าไม่คุ้นเคยกับที่นี่ ท่านสามารถส่งเสี่ยวเอ้อร์ไปช่วยพวกข้าซื้อม้าได้หรือไม่ วางใจเถิด พวกข้าไม่ให้พวกเจ้าช่วยเปล่าๆ แน่นอน” 

 

 

แม้ว่าพวกเขาทั้งหกคนจะแต่งตัวไม่ได้ดูดีมากมาย แต่มาถึงก็เอาห้องพักที่ดีที่สุดสามห้อง แล้วดูท่าทางของพวกเขาแล้ว ก็ไม่เหมือนว่ามาจากครอบครัวธรรมดา เถ้าแก่คิดในใจ พยักหน้า เรียกพนักงานคนหนึ่งมา “เซิงจื่อ เจ้าพาแขกสองท่านนี้ไปซื้อม้า จำไว้ ต้องช่วยพวกเขาเลือกดีๆ พยายามกดราคาลงให้มากที่สุด” 

 

 

เซิงจื่อรับคำสั่ง แล้วพาหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่ตลาดม้าด้วยความกระตือรือร้น 

 

 

ชายแดนถูกปิด การค้าขายในตลาดม้าก็ได้รับผลกระทบ คนที่มาดูม้าน้อย คนขายม้าทั้งหลาย ต่างก้มหน้าก้มตา ไม่มีชีวิตชีวา มองดูม้าที่ตนซื้อมาด้วยความเคร่งเครียด 

 

 

ทันทีที่ทุกคนเข้ามาในตลาด คนขายม้าต่างเงยหน้าขึ้นมาทันที มองทุกคน แล้วแสดงสายตาแห่งความหวังออกมา 

 

 

พนักงานยังไม่ทันเอ่ยปาก คนขายม้าหลายคนก็เดินเข้ามาหาทันที กล่าวถามด้วยท่าทีที่กระตือรือร้นมากกว่าปรกติ “พวกท่าน ซื้อม้าหรือไม่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ พนักงานอธิบายให้พวกเขาฟัง 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วยื่นนิ้วมือออกมาสองนิ้ว “ซื้อตัวที่ดีๆ สองตัวก่อน หากราคาเหมาะสม ม้าก็ดี วันพรุ่งนี้จะมาซื้ออีกสองตัว” 

 

 

ซื้อสี่ตัว ทันทีที่ประโยคนี้เข้าหู คนขายม้าทุกคนต่างตาโตขึ้นมาทันที แข่งกันวิ่งมาก่อน แย่งกันแนะนำม้าของตัวเอง หากมิใช่เพราะท่าที่ที่น่าเกรงขามของหวงฝู่อี้เซวียน ที่มิให้ผู้ใดกำเริบเสิบสาน เกรงว่าน่าจะถูกดึงตัวไปตั้งแต่แรกแน่นอน 

 

 

ผู้คนมากมายแย่งกันพูดพร้อมกัน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว แล้วกล่าวกับพนักงานว่า “บอกพวกเขาว่าไม่ต้องพูดแล้ว หากมีม้าที่ดีจริงๆ ก็ให้พวกเขาจูงมาดู” 

 

 

พนักงานแปล ทันที่พูดจบ คนขายม้าสิบกว่าคนก็แยกย้ายกันไปทันที รีบวิ่งไปจูงม้าที่ดีที่สุดของตัวเองมาทันที 

 

 

จูงม้ามา หวงฝู่อี้เซวียนดูอย่างละเอียด เข้าตาสี่ตัว หลังจากตกลงเรื่องราคากันเสร็จแล้ว ก็ตัดสินใจซื้อทั้งหมด แล้วก็เลือกบังเ**ยนและอุปกรณ์อื่นๆ แล้ว ก็จูงออกมาจากตลาดม้า จูงออกมาสองตัวให้พนักงาน แล้วก็ให้ตั๋วเงินเล็กน้อยกับเขา ให้เขาช่วยจูงม้ากลับไป 

 

 

อยู่ดีๆ ก็ได้ตั๋วเงินมากมายเยี่ยงนี้ พนักงานตกใจเป็นอย่างมาก แม้แต่คำพูดก็พูดติดอ่าง บอกเยี่ยงไรก็ไม่กล้ารับไว้ 

 

 

“รับไว้เถิด พวกข้าก็ไม่รู้ว่าจะพักที่โรงเตี๊ยมอีกกี่วัน เจ้าช่วยสืบข่าวเกี่ยวกับชายแดนให้พวกข้า” 

 

 

พนักงานจึงจะกล้ารับไว้ ใส่ในอ้อมอกของตัวเองอย่างระมัดระวัง หลังจากขอบพระทัยหลายๆ ครั้งแล้ว ก็จูงม้ากลับไปที่โรงเตี๊ยม 

 

 

ส่วนหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวกลับขี่ม้าตรงมาที่ชายแดนอย่างรวดเร็ว 

 

 

สงครามจบลงแล้ว ไม่มีเสียงฆ่าฟันกันแล้ว แต่กลิ่นคาวของเลือดนั้นยังคงลอยอยู่ในอากาศ ฉุนเข้ามาในจมูกของทั้งสอง 

 

 

 

 

 

มองดูชายแดนที่มีทหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งสองจึงล้มเลิกความคิดที่จะบุกเข้าไปตรงๆ สบตากัน แล้วค่อยๆ ขี่ม้าเข้าไปใกล้ๆ ชายแดน 

 

 

นอกจากทหารที่เฝ้าอยู่ที่ชายแดนแล้ว ก็ไม่มีประชาชนแม้แต่คนเดียว ฉะนั้นการปรากฏตัวที่ไม่คาดคิดของทั้งสอง ทำให้ทหารที่เฝ้าชายแดนเกิดความสงสัย ตะโกนกับทั้งสองว่า “หยุด ชายแดนถูกปิดแล้ว ห้ามทุกคนเข้าออก พวกเจ้ารีบกลับไป ไม่เยี่ยงนั้นอย่าหาว่ามีดและดาบของพวกข้าไม่สนผู้ใด” 

 

 

ทั้งสองดึงเชือกไว้ ไม่เข้าไปอีก 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนโบกมือ แล้วกล่าวว่า “ครอบครัวข้ามีเรื่องด่วน ไม่ทราบว่าทุกท่านสามารถผ่อนผัน ให้พวกข้าไปได้หรือไม่” 

 

 

ทหารเข้าใจคำพูดของเขา “อ้อ” ออกมาเบาๆ “ครอบครัวพวกเจ้ามีเรื่องด่วน…” พูดถึงนี่ ก็ชี้ไปที่ด้านนอกของชายแดน ประชาชนรัฐหมิงทั้งหลายที่มีสีหน้าร้อนใจอยู่ในรัฐอู่ “พวกเขาคนใดไม่มีเรื่องด่วน ต่างก็ถูกกั้นไว้ข้างนอก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพิเศษ ประมาทไม่ได้ ข้าเตือนพวกเจ้าว่ามาจากที่ใดก็กลับไปที่นั้น อยู่ดีๆ ภาวนาให้สงครามของพวกเขาทั้งสองรัฐหยุดเร็วๆ เถิด” 

 

 

ความหมายของคำพูดนั้น สงครามหยุดลง ไม่มีการขมขู่ ชายแดนก็จะเปิด 

 

 

ทั้งสองเข้าใจคำพูดของทหาร แล้วมองไปทางประชาชนของรัฐหมิงที่ร้อนใจอยู่ทางฝั่งนั้นแล้ว ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก หันม้ากลับไปทันที 

 

 

ทหารโล่งอก ทั้งสองคนนี้เป็นคนรัฐอู่ ในช่วงเวลาอ่อนไหวแบบนี้เขาไม่อยากลงมือกับพวกเขาจริงๆ กลัวว่าจะเกิดปัญหาใหญ่หลวงขึ้น 

 

 

ทั้งสองกลับไปก็ไม่รีบร้อนแล้ว ค่อยๆ ลดความเร็ว ขี่ไปด้วยพูดคุยไปด้วย 

 

 

“มั่นใจเท่าใด” 

 

 

“กึ่งนึง” 

 

 

“พอแล้ว หลังจากสามวันนี้ หากชายแดนยังไม่เปิด พวกเราก็บุกเข้าไปตรงๆ เลย หากล่าช้าไปอีก กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่” 

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า 

 

 

หันกลับไปดูทหารที่ชายแดน แล้วมีความคิดในใจ 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งและทุกคนไปตามทางที่เถ้าแก่เอ่ย มาถึงถนนที่รุ่งเรืองเส้นหนึ่ง บนถนนมีผู้คนไปมามากมาย ทั้งสองฝั่งของถนนเต็มไปด้วยแผงลอย เสียงตะโกน เสียงค้าขาย เสียงต่อรองราคา เต็มถนนไปหมด 

 

 

ทั้งสามค่อยๆ เดินช้าลง ตาโต มองดูสิ่งของมากมายตามแผงลอยที่แตกต่างกับรัฐอู่ด้วยความตื่นเต้น 

 

 

หลินหันเยียนเดินตามหลังพวกเขาด้วยรอยยิ้ม 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ควงแขนของหวงฝู่สือเมิ่งไปด้วย แล้วก็ดูแผงลอยสองข้างทางไปด้วย เห็นสิ่งของที่น่าสนใจ ก็หยิบขึ้นมาดู เห็นสิ่งของที่ถูกใจมากๆ ก็ให้หลินหันเยียนช่วยซื้อให้ 

 

 

ยังไม่ทันเดินถึงครึ่งทาง ในมือของหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าก็เต็มไปด้วยสิ่งของมากมาย 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์อยากจะซื้อเพิ่มอีก หวงฝู่สือเมิ่งห้ามนางไว้ “น้องเล็ก หากซื้อเพิ่มอีกพวกข้าถือไม่ไหวแล้วจริงๆ” 

 

 

หันกลับไปมองในมือของหลินหันเยียนและหวงฝู่เฮ่าที่เต็มไปด้วยสิ่งของ ไม่สามารถซื้อเพิ่มแล้วจริงๆ หวงฝู่เย่าเย่ว์หยุดซื้อทั้งที่ไม่อยากหยุด ละสายตาจากแผงลอย มองดูร้านค้าสองข้างทาง กวาดสายตาไป เห็นเสื้อผ้าที่สวยงามหนึ่งชุดพอดี รีบชี้ไปที่เสื้อผ้าแล้วขอร้องหวงฝู่เส่อเมิ่งทันที “พี่ใหญ่ พี่ดู เสื้อตัวนั้นช่างสวยจริงๆ ข้าอยากลองสวมใส่” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งเห็นแล้ว สวยจริงๆ จึงพยักหน้า ตกลง “ได้ พวกเราเข้าไปลองดู” 

 

 

เดินเข้าไปในร้าน เถ้าแก่เดินมาต้อนรับด้วยความกระตือรือร้น ได้ยินว่าทั้งสองจะลองเสื้อผ้า ก็มองพินิจพิเคราะห์หุ่นของทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบ ยิ้มแล้วหยิบเสื้อผ้าที่หวงฝู่เย่าเย่ว์ถูกใจลงมา แล้วพานางมาที่ลองเสื้อผ้าของแขกโดยเฉพาะ 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์รับมา แล้วเดินเข้าไป ไม่นานก็เปลี่ยนเสร็จออกมา 

 

 

เถ้าแก่ตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ยิ้มแล้วกล่าวว่า “โอ้ว เสื้อผ้าตัวนี้เหมือนตัดเพื่อสาวน้อยโดยเฉพาะ ทั้งพอดีกับตัวแล้วสวยงามมาก” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งก็พยักหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เสื้อผ้าตัวนี้อยู่บนตัวของน้องเล็กแล้วสวยงามจริงๆ” 

 

 

เถ้าแก่กะพริบตา แล้วแนะนำด้วยสีหน้าเรียบว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นก็ไม่ต้องถอดแล้ว จ่ายเงินแล้วใส่ไปเถิด เป็นตัวอย่างให้ร้านของข้าด้วย” 

 

 

ได้ยินทั้งสองเอ่ยเยี่ยงนี้ หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็ดีใจมาก ยิ้มแล้วให้หลินหันเยียนถามราคา 

 

 

หลังจากหลินหันเยียนถามราคาแล้ว ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา “คุณหนูทั้งสอง เสื้อผ้าตัวนี้ราคาสูงมากเกินไป ยี่สิบตำลึง เราซื้อไม่ไหวจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหยุดชะงักไป แล้วมองไปทางหลินหันเยียน แสดงสีหน้าสงสัยออกมา ยี่สิบตำลึงถือว่าราคาสูงไป 

 

 

หลินหันเยียนส่งสายตาให้นางเล็กน้อย 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งเข้าใจขึ้นมาทันที โบกมือ แล้วกล่าวตอบว่า “ราคาสูงไปจริงๆ พวกข้าซื้อไม่ไหว” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ร้อนใจเล็กน้อย อยากจะเอ่ยออกมา หวงฝู่เส่อเมิ่งดึงมือนางไว้ แม้ว่ายี่สิบตำลึงจะไม่มาก แต่หากเถ้าแก่พูดเกินราคามากไป ก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เข้าใจความหมายของนาง จึงกลืนคำพูดที่จะเอ่ยออกมาลงไป แต่สีหน้าไม่ค่อยดีใจ เพราะเสื้อผ้าที่พวกนางสวมใส่ปรกติราคาก็ไม่ต่ำกว่ายี่สิบตำลึง 

 

 

เถ้าแก่พบเจอผู้คนมากมายเป็นเวลาหลายปี สังเกตเห็นสีหน้าของทุกคนตั้งแต่แรกแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ผ้าที่เราใช้ตัดเสื้อผ้าตัวนี้เป็นผ้าที่ดีที่สุดของร้าน ฝีมือเย็บปักถักร้อยก็ดีที่สุด เอายี่สิบตำลึงจากพวกเจ้า ก็เพราะเห็นว่าสาวน้อยคนนี้สวมใส่แล้วสวยงามมากจริงๆ หากพวกเจ้ายังรู้สึกว่าราคาสูงไป ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ”