ตอนพิเศษ (1) ตอนที่ 43 ชายหนุ่ม

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

เถ้าแก่พบเจอผู้คนมากมายเป็นเวลาหลายปี สังเกตเห็นสีหน้าของทุกคนตั้งแต่แรกแล้ว ยิ้มแล้วกล่าวโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนว่า “ผ้าที่เราใช้ตัดเสื้อผ้าตัวนี้เป็นผ้าที่ดีที่สุดของร้าน ฝีมือเย็บปักถักร้อยก็ดีที่สุด เอายี่สิบตำลึงจากพวกเจ้า ก็เพราะเห็นว่าสาวน้อยคนนี้สวมใส่แล้วสวยงามมากจริงๆ หากพวกเจ้ายังรู้สึกว่าราคาสูงไป ก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ” 

 

 

หลินหันเยียนนำทุกคำพูดของเถ้าแก่พูดให้หวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ฟัง 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ยิ่งร้อนใจมากขึ้นไปอีก จับมือของหวงฝู่สือเมิ่งแล้วขอร้องว่า “พี่ใหญ่ แค่ยี่สิบตำลึงมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าเราไม่มี ข้าชอบเสื้อผ้าตัวนี้มาก ซื้อเถิด” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา ยื่นปากไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า “เจ้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ไม่ค่อยเต็มใจ ยืนเฉยๆ ไม่ขยับ 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวงฝู่สือเมิ่งหายไป จ้องมองนางตรงๆ  

 

 

ใจของหวงฝู่เย่าเย่ว์กระตุกเล็กน้อย ตั้งแต่เล็กจนโต หวงฝู่สือเมิ่งใช้สายตาแบบนี้มองนางน้อยมาก แต่หากใช้สายตาแบบนี้ นั้นแสดงว่านางจะโกรธแล้ว เป็นสิ่งที่นางกลัวมากที่สุด 

 

 

“พี่ใหญ่ พี่อย่าโกรธเลย ข้าจะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้” หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบยิ้มทันที พูดจบ ก็หันกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องอย่างเชื่อฟังทันที 

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเถ้าแก่ก็เริ่มยิ้มต่อไปไม่ไหว พอเห็นว่าหญิงสาวสองคนนี้หน้าตาเหมือนกัน ก็รู้ทันทีว่าเป็นฝาแฝด ดูท่าทางแล้วก็รู้ว่าคนที่เงียบใจเย็นเป็นพี่สาว คนที่ร่าเริงเป็นน้องสาว แต่คิดไม่ถึงว่า น้องสาวจะกลัวพี่สาวเยี่ยงนี้ ใช้แค่สายตาก็สามารถทำให้นางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเชื่อฟังทันที รู้สึกว่าความคิดที่จะได้ตั๋วเงินก้อนใหญ่ของตัวเองจะล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา รอหลังจากหวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าออกมา แล้วค่อยว่ากัน 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ ก็นำเสื้อผ้าของทางร้านออกมา แอบมองหวงฝู่สือเมิ่งเล็กน้อย เห็นว่าสีหน้าของนางยังคงไม่ดีเท่าไหร่ จึงไม่กล้าเอ่ยแม้แต่คำเดียว นำเสื้อผ้าคืนให้เถ้าแก่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ ว่า “เสื้อผ้านี้ราคาสูงมากเกินไป พวกข้าไม่ซื้อแล้ว” 

 

 

หลินหันเยียนจึงนำคำพูดจริงพูดให้เถ้าแก่ฟัง 

 

 

เถ้าแก่เริ่มทำตัวไม่ถูก เสื้อผ้าตัวนี้ใช้ผ้าดี ตัดก็พิถีพิถัน ต้นทุนสูง ราคาที่รับก็สูง เมืองเล็กติดชายแดนนี้ คนที่มีเงินทองมากมายมีไม่มาก ฉะนั้นเสื้อผ้าตัวนี้ถูกแขวนไว้ที่นี่ประมาณเกือบสองเดือนแล้ว ก็ยังขายไม่ออก ตอนนี้ยากที่จะมีลูกค้าใหญ่ที่ดูมีฐานะมา เถ้าแก่จะให้การค้าขายครั้งนี้หลุดไปได้อย่างไร 

 

 

กัดฟัน ตัดสินใจ กล่าวว่า “สิบแปดตำลึงแล้วกัน น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้วจริงๆ ” 

 

 

ประโยคนี้หลินหันเยียนไม่ได้พูดให้ทุกคนฟัง แต่ยิ้มแล้วกล่าวกับเถ้าแก่ว่า “หากท่านอยากขายเสื้อผ้าตัวนี้จริงๆ ก็บอกราคาจริงมา คุณหนูของข้าเดินเที่ยวเกือบครึ่งวันก็เหนื่อยมากแล้ว หากท่านไม่มีความจริงใจ พวกข้าจะกลับทันที” 

 

 

ได้ยินประโยคนี้ นั้นหมายความว่าเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดของเสื้อผ้าตัวนี้ เถ้าแก่หมุนตาไปมาหลายรอบ กล่าวถามด้วยท่าทางเหมือนตัดเนื้อว่า “พวกเจ้าอยากจ่ายตั๋วเงินเท่าไหร่” 

 

 

“สิบตำลึง” หลินหันเยียนเอ่ย 

 

 

“ไม่ได้” เถ้าแก่เอ่ย “สิบตำลึงแม้แต่ค่าผ้าของข้าก็ไม่…”  

 

 

ยังไม่ทันเอ่ยจบ หลินหันเยียนก็หันไปพูดกับหวงฝู่สือเมิ่งและหวงฝู่เย่าเย่ว์ว่า “คุณหนูทั้งสอง เราไปกันเถิดเจ้าค่ะ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ยกเท้าก้าวออกจากร้านอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์เดินตามหลังนางอย่างเชื่อฟัง แม้ว่าตอนที่เดินผ่านเถ้าแก่จะทนไม่ไหวแอบมองเสื้อผ้าในมือของนางเล็กน้อย แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว 

 

 

“โธ่ พวกเจ้า…” เห็นว่าพวกนางจะไปจริงๆ เถ้าแก่เริ่มร้อนใจจริงๆ รีบเอ่ยปากห้ามไว้ 

 

 

น่าเสียดาย ไม่มีผู้ใดสนใจ 

 

 

กัดฟัน กระทืบเท้า รีบก้าวขาตามมาถึงข้างประตู ตะโกนจากทางด้านหลังทุกคนว่า “สิบตำลึงก็สิบตำลึง ขายให้พวกเจ้าแล้ว” 

 

 

“คุณหนู รอสักครู่เจ้าค่ะ เถ้าแก่บอกว่าขายให้เราสิบตำลึงเจ้าค่ะ” หลินหันเยียนกล่าว 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหยุดเดิน หันกลับไป มองเสื้อผ้าตัวนั้นเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยทันที 

 

 

ใจของเถ้าแก่ขึ้นมาอยู่ตรงที่ลำคอทันที รีบกล่าวว่า “สิบตำลึง นี่เป็นขีดจำกัดของข้าจริงๆ หากน้อยกว่านี้ ให้ตายข้าก็ไม่ขาย” 

 

 

มองสีหน้าของนาง ก็ดูร้อนใจจริงๆ หวงฝู่สือเมิ่งจึงค่อยๆ พยักหน้า 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ดีใจ แสดงรอยยิ้มออกมา รีบเอาใจหวงฝู่สือเมิ่ง “พี่ใหญ่ พี่ดีกับข้าจริงๆ เจ้าค่ะ” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งมองแล้วยิ้ม ในสายตาเต็มไปด้วยความรักและความเอาใจ 

 

 

หลินหันเยียนจ่ายเงิน เถ่แก่ยื่นเสื้อผ้าที่ห่อเรียบร้อยให้นางด้วยความเจ็บใจ “ขายเสื้อผ้าตัวนี้ให้พวกเจ้า ข้าขาดทุนจริงๆ หากมิใช่เพราะ…” 

 

 

“เสื้อผ้าตัวนี้ น้อยสุดเจ้าก็ได้กำไรห้าตำลึง หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าคุณหนูของข้าชอบมากจริงๆ เจ้าคิดว่าข้าจะให้เจ้าสิบตำลึงหรือ หลินหันเยียนกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม 

 

 

เถ้าแก่กลืนคำพูดที่จะเอ่ยออกมาลงไป จ้องมองหลินหันเยียน แล้วกลืนน้ำลายลงไปอย่างยากลำบาก “เจ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าได้กำไรเท่านี้” 

 

 

พูดจบ ทันทีที่รู้สึกตัวว่าตัวเองเอ่ยอะไรออกไป ก็รีบยกมือปิดปากตัวเองทันที มืออีกข้างก็กำตั๋วเงินไว้แน่น กลัวว่าหลินหันเยียนจะเอาตั๋วเงินกลับไป 

 

 

หลินหันเยียนไม่ได้สนใจ ยิ้มแล้วหันหลัง ออกจากประตูของร้านขายเสื้อผ้า 

 

 

ซื้อสิ่งของแปลกใหม่มากมาย แล้วก็ซื้อเสื้อผ้าที่ตัวเองถูกใจ หวงฝู่เย่าเย่ว์พอใจแล้ว จึงกล่าวว่า “พี่ใหญ่ เรากลับกันเถิด” หลังจากกลับไปนางจะใส่เสื้อผ้าตัวนี้ให้ท่านพ่อท่านแม่ดู 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งหันหลัง แล้วกล่าวถามหวงฝู่เฮ่าว่า “เฮ่าเอ๋อร์ เจ้ามีสิ่งที่อยากซื้อหรือไม่” 

 

 

“ไม่มีขอรับ พี่ใหญ่ หากพี่รองเหนื่อยแล้ว เรากลับกันเถิด” หวงฝู่เฮ่ากล่าวตอบอย่างเชื่อฟัง 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งพยักหน้า ทุกคนหันตัว แล้วเดินย้อนกลับไปทางเดิม หวงฝู่เย่าเย่ว์ควงแขนข้างหนึ่งของหวงฝู่สือเมิ่ง อีกข้างถือเสื้อผ้าของตัวเองอย่างมีความสุข 

 

 

เดินไม่กี่ก้าว ข้างหลังก็มีเสียงตะโกนดังมา “อย่าวิ่ง หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดเดี๋ยวนี้” 

 

 

ทุกคนหยุดเดิน แล้วหันกลับไปมองด้วยความแปลกใจ 

 

 

มีคนหนึ่งวิ่งกระเตาะกระแตะมาจากข้างหลัง ในขณะที่ผ่านตัวหวงฝู่เย่าเย่ว์ก็สะดุดขาพอดี ชนโดนเสื้อผ้าในมือของนาง 

 

 

คนนี้พยายามใช้แรงลุกขึ้นยืนตรง แต่ก็ไม่ระวังเหยียบลงบนเสื้อ ได้ยินเสียงไล่ฆ่าด้านหลัง แม้แต่คำขอโทษก็ไม่ทันได้เอ่ย กระเสือกกระสนวิ่งไปข้างหน้า 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย 

 

 

แต่หวงฝู่เย่าเย่ว์กลับไม่ยอม เพิ่งได้เสื้อผ้าตัวใหม่นี้มา นางยังไม่ทันได้ใส่ให้ท่านพ่อท่านแม่ดู ก็ถูกคนเหยียบไปแล้วหนึ่งครั้ง ต่อไปนางจะใส่อย่างไร ในขณะที่โมโห ก็อารมณ์ร้อนขึ้นมาทันที ปล่อยแขนของหวงฝู่สือเมิ่งแล้ววิ่งตามไปทันที “นี่ เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ ชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามา” 

 

 

“เฮ่าเอ๋อร์ เก็บเสื้อผ้าขึ้น แล้วตามมา” หวงฝู่สือเมิ่งรีบสั่ง แล้วรีบวิ่งตามไปทันที 

 

 

หวงฝู่เฮ่ารีบก้มตัวลงไปเก็บเสื้อผ้าขึ้นมา แล้วก็ตามไปทันที หลินหันเยียนก็ตามหลังหวงฝู่เฮ่าไม่ใกล้ไม่ไกล 

 

 

ดูเหมือนว่าคนนั้นจะบาดเจ็บ เดินช้ามาก เดินได้ไม่ไกล ก็ถูกหวงฝู่เย่าเย่ว์ตามทัน 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ผลักเขาด้วยความโมโหหนึ่งที “เจ้าชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามา” 

 

 

ไม่คิดว่าคนนั้นจะรับไม่ไหว ตึกตัก ล้มลงไปนอนบนพื้นทันที ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ถีบเขาหนึ่งครั้ง แล้วตะคอกเขาด้วยความโมโห “นี่ เจ้าอย่ามาแกล้งตาย รีบชดใช้เสื้อผ้าตัวใหม่ของข้ามาเดี๋ยวนี้” 

 

 

คนนั้นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ถีบเขาอีกหนึ่งครั้ง คนนั้นก็ยังคงไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

เห็นเหตุการณ์นี้ ทุกคนที่อยู่รอบข้างเริ่มมามุงดู ชี้ไปมา แล้ววิพากษ์วิจารณ์ 

 

 

แม้ว่าจะไม่เข้าใจว่าพวกเขาพูดอะไรกัน หวงฝู่เย่าเย่ว์ก็เข้าใจว่าทุกคนที่มามุงดูนั้นกล่าวโทษตน สีหน้าเปลี่ยนทันที 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งตามมา หวงฝู่เย่าเย่ว์รีบจับมือนางทันที แล้วรีบอธิบายว่า “พี่ใหญ่ ข้าไม่ได้ทำอะไร แค่ผลักเขาเบาๆ หนึ่งครั้ง เขาก็กลายเป็นแบบนี้แล้ว” 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งแตะมือนางเบาๆ อย่างปลอบใจ แล้วมองคนที่นอนอยู่บนพื้น เป็นชายหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี แต่งตัวหรูหรา หน้าตางดงาม บนตัวนั้นแสดงถึงความรู้สึกของคนมีฐานะ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด อยู่ในจุดที่ถูกคนไล่ฆ่า 

 

 

ในขณะที่คิดอยู่ ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ดวงตาคู่โตที่ใสบริสุทธิ์ มองหวงฝู่สือเมิ่งอย่างวิงวอน 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งใจสั่นไปชั่วขณะ ท่านพ่อของตัวเองถือว่าเป็นชายหน้าตางดงามที่หายากในโลกนี้แล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับงดงามมากกว่าท่านพ่อของตัวเอง ยิ่งดวงตาคู่นั้นที่บริสุทธิ์ไร้มลทินนั้น เวลาที่มองตน ทำให้คนที่ได้เห็น เกิดความรู้สึกอยากปกป้องดูแลขึ้นมาทันที 

 

 

ชายหนุ่มอ้าปาก กำลังจะเอ่ยอะไรออกมา ก็ได้ยินเสียงตะโกนที่ยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที พยายามจะลุกขึ้นมาแล้ววิ่งหนี แต่พยายามเท่าไหร่ก็ลุกขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

จับพลัดจับผลู หวงฝู่สือเมิ่งย่อตัวลง แล้วยื่นมือไปทางชายหนุ่ม “รีบลุกขึ้นมา พวกเขาจะตามมาถึงแล้ว” 

 

 

ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่านางพูดถึงอะไร แต่ดูจากท่าทางของนางแล้วรู้ว่านางอยากจะพยุงตัวเองขึ้นมา จึงวางมือลงบนมือของนางอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งพยุงเขาขึ้นมาอย่างระวัง แล้วกล่าวกับหวงฝู่เฮ่าว่า “เฮ่าเอ๋อร์ เอาเสื้อผ้าให้พี่” 

 

 

หวงฝู่เฮ่ายื่นเสื้อผ้าให้นางอย่างไม่เข้าใจ 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งรับมา แล้วปล่อยชายหนุ่ม สองมือใช้แรงฉีกเสื้อผ้าตามทางเส้นด้ายหนึ่งเส้น ฉีกออกเป็นผ้าผืนใหญ่หนึ่งผืน แล้วรีบคลุมลงบนตัวของชายหนุ่ม หลังจากนั้นก็พยุงตัวเขาหันหลัง ยืนอยู่ข้างหน้าแผงลอยแผงหนึ่ง แล้วสั่งทุกคน “พวกเจ้าบังข้างหลังไว้” 

 

 

ทั้งสามรีบยืนอยู่ข้างหลังนางและชายหนุ่มทันที 

 

 

ทันทีที่ทำทุกอย่างเสร็จ กลุ่มทหารที่ไล่ตามมาก็ถืออาวุธเงาวับมาถึงแล้ว ผู้คนที่มามุงดูเมื่อครู่กลัวว่าตัวเองจะโดนลูกหลง ตกใจกลัวจนแยกย้ายกันไปหมด 

 

 

ทหารที่นำหน้าไม่แม้แต่จะมองพวกเขา นำคนตะโกนแล้วเดินผ่านพวกเขาไปเลย 

 

 

จนคนที่ไล่ตามมาวิ่งไปไกลแล้ว หวงฝู่สือเมิ่งจึงจะโล่งอก แล้วกล่าวกับชายหนุ่มว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว” 

 

 

ชายหนุ่มไม่ได้กล่าวตอบ 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งจึงมองไปทางเขาด้วยความแปลกใจ แต่กลับเห็นชายหนุ่มปิดตาแน่น สลบไปแล้ว 

 

 

หวงฝู่เย่าเย่ว์ที่อยู่ข้างหลังยื่นมือออกมาตบอกที่ตกใจกลัวของตัวเอง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงกล่าวโทษว่า “พี่ใหญ่ พวกเราก็ไม่รู้จักเขา เหตุใดพี่จึงช่วยเขาไว้ หากสร้างปัญหาให้กับเราจะทำเยี่ยงไร” 

 

 

เพราะอารมณ์ชั่ววูบ จึงทำพฤติกรรมเยี่ยงนั้น ในขณะนี้ในใจของหวงฝู่สือเมิ่งก็เสียใจเป็นอย่างมาก แต่ทำลงไปแล้ว พูดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ จึงกล่าวว่า “น้องเฮ่า รู้สึกว่าเขาสลบไปแล้ว เจ้ามาช่วยข้าพยุงเขาหน่อย” 

 

 

หวงฝู่เฮ่าใช้ตัวของตัวเองแนบกับหลังของชายหนุ่มก่อน หลังจากยื่นสิ่งของในมือของตัวเองให้หวงฝู่เย่าเย่ว์แล้ว จึงจะยื่นมือพยุงชายหนุ่มให้ยืนตรง 

 

 

หวงฝู่สือเมิ่งยื่นมือออกมาหนึ่งข้าง วางลงบนชีพจรของชายหนุ่ม แล้วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที