ในตอนนี้ ไหล่ครึ่งหนึ่งและแขนข้างหนึ่งของโจวทงถูกดาบของเฉินฉางเซิงตัดขาด ดวงตาก็บอดไปข้างหนึ่ง หากเขาเป็นสุนัข ก็เป็นแค่สุนัขจรจัดอย่างแน่นอน
เซวียสิ่งชวนขมวดคิ้วตอบ “สงบใจแล้วพักฟื้นเถอะ”
โจวทงกล่าวต่อโดยไม่สนใจคำแนะนำของเขา เขาหันไปมองประตูทางเข้าอย่างยากลำบาก เมื่อเห็นเก้าอี้ตัวนั้น เขาก็รู้ว่าเซวียสิ่งชวนได้คอยดูแลที่แห่งนี้ พลันเงียบไปเป็นเวลานาน
จากนั้นเขาก็ถาม “จักรพรรดินีมาหรือไม่”
ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าราตรีสว่างไสว แสงดาวสาดส่องพื้นดินนอกห้องโถงสงบเงียบดั่งผิวน้ำ
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง เซวียสิ่งชวนก็กล่าว “เจ้าก็รู้ดี สถานการณ์ในจิงตูคืนนี้ตึงเครียดทีเดียว จักรพรรดินีต้องทุ่มสมาธิกับการเคลื่อนไหวของพระราชวังหลี”
“เป็นเช่นนั้นหรือ” โจวทงหรี่ตาราวกับหมาแก่ ความเจ็บปวดที่ตาซ้ายทำให้เขาต้องขมวดคิ้ว น้ำเสียงสั่นเทาเมื่อกล่าวออกมา “เช่นนั้น…จักรพรรดินีกล่าวอะไรบ้างหรือไม่”
ในครั้งนี้ เซวียสิ่งชวนเงียบไปนาน ไม่ตอบคำถามนั้น
โจงทงยกมุมปากขึ้น เผยรอยยิ้มอันน่าเกลียด ถึงกับน่ากลัวอยู่บ้าง ตามองไปทางเซวียสิ่งชวนและกล่าว “เจ้าเห็นไหม ข้าก็เป็นสุนัขตัวหนึ่ง แม้แต่ตอนกำลังจะตาย เจ้าของก็ไม่ยักสนใจเท่าไรเลย”
เซวียสิ่งชวนยังคงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะกล่าว “เมื่อเรายังเยาว์ ข้าบอกเจ้าว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตเช่นนี้”
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บหนัก ทว่าโจวทงก็ยังสามารถหาเรี่ยวแรงมาพูดอย่างขมขื่นได้ “หากข้าไม่ใช้ชีวิตเช่นนี้ จะให้ข้าเป็นแบบเจ้าละหรือ”
เซวียสิ่งชวนเงียบไปอีกครั้ง
“นับแต่อ้อนแต่ออก ข้าก็ไม่อาจก้าวล้ำเจ้าได้ เมื่อเจ้าเกิดมา เจ้าก็หนักกว่าแปดจินแปดเหลี่ยง แล้วข้าล่ะ ข้าหนักไม่ถึงห้าจิน แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพราะครอบครัวก็ยากจน ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องโตมาแบบนั้น แต่ภรรยาหลวงบ้านเซวียไม่อาจให้กำเนิดบุตร นางจึงอยากจะรับเด็กสักคนมาเลี้ยงและมาหาครอบครัวเรา…หากเป็นข้า ข้าก็จะเลือกทารกขาวจ้ำม่ำเช่นเจ้า ไม่ใช่ลิงน้อยผอมแห้งเช่นข้า”
โจวทงกล่าวต่อ “หลังจากนั้น ภรรยาหลวงตระกูลเซวียก็ให้กำเนิดบุตรและตัดสินใจยกตระกูลให้กับบุตรของนาง ด้วยเกรงว่าเจ้าจะต่อว่า นางจึงบอกเรื่องนี้กับเจ้าก่อนตาย ข้ายอมรับว่าในตอนนั้น เจ้าดูแลพ่อแม่อย่างดีและดูแลข้าดีกว่าด้วยซ้ำ เจ้าพาข้าไปโรงเรียน เล่าเรียนกับเจ้า แต่เจ้าไม่เคยคิดเลยหรือว่าเพราะเหตุใดข้าถึงแสร้งทำเป็นคนรับใช้เจ้าเมื่ออยู่ข้างกายเจ้า”
เซวียสิ่งชวนตอบ “ต่อหน้าคนอื่น ข้าทำอะไรไม่ได้ แต่ในบ้าน ข้าก็ปฏิบัติต่อเจ้าเช่นพี่น้อง”
โจวทงหยัน “แต่ก็แค่ตอนที่ไม่มีใครอยู่ใกล้ ต่อหน้าคนอื่น ข้าได้แต่มองเจ้ากับเซวียเหอแสดงความรักเคารพที่พี่น้องมีต่อกัน เจ้าบอกข้าซิว่าข้าควรรู้สึกเช่นไร”
เซวียสิ่งชวนเงียบไป ไม่พูดอะไรอีก
“ข้าเกิดมาอ่อนแอ ดังนั้นข้าไม่อาจเทียบเจ้าได้ในเรื่องพรสวรรค์การบำเพ็ญเพียร หากข้าไม่เข้ากรมอาญา ได้พบกับผีเฒ่าในคุกที่สอนวิชาสนอบโรหิตแก่ข้า แล้วจากนั้นก็กวาดล้างจวนมากมายเพื่อยึดวิชาต่างๆ ข้าจะสามารถฝึกบำเพ็ญจนถึงระดับของเจ้าได้อย่างนั้นหรือ ข้าจะไล่ตามเจ้าทันได้อย่างไร”
โจวทงจ้องมองเพดานห้องอย่างเฉยชาและกล่าวต่อ “แต่วิชาสนอบโรหิตก็มีปัญหา การบำเพ็ญเพียรช่วงหลังของข้ายุ่งเหยิงเกินไป ดังนั้นเข้าจึงไม่มีหวังที่จะก้าวสู่ขั้นต่อไปได้อีกตลอดชีวิตที่เหลือ ในขณะที่เจ้ากำลังก้าวหน้าต่อไปทีละก้าวๆ ข้าแค่ไม่เข้าใจ เราต่างก็เป็นฝาแฝดกัน เหตุใดชะตาของพวกเราถึงได้แตกต่างกันมากมายนัก”
“หลังจากผ่านมาหลายปี ตอนที่ข้าได้พบเจ้าที่จิงตูอีกครั้ง ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเข้ากรมอาญาแล้ว…แต่แม้จะเป็นตอนนั้น หากเจ้าคิดจะเปลี่ยน ก็ยังไม่สายเกินไป”
“อะไรที่ไม่สาย หากข้าไม่มอบชีวิตให้จักรพรรดินี หากข้าไม่ฆ่าเพื่อจักรพรรดินี ข้าจะหมดคุณค่าต่อจักรพรรดินีและถูกฆ่าเสียเอง”
“วางใจเถอะ จักรพรรดินีจะเตรียมการให้กับเจ้า” เซวียสิ่งชวนปลอบโยน
แต่ในส่วนลึกของใจเขา แม้แต่เขาเองก็ไม่เชื่อคำพูดนี้
ตอนนั้นเองที่มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกห้องโถง ไม่ใช่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นหมอหลวงที่มาส่งยา
หลังจากผ่านการตรวจอย่างละเอียด หมอหลวงก็ถือถาดถ้วยยาไปที่เตียงอย่างระมัดระวัง
นับตั้งแต่ตอนที่เสียงฝีเท้านั้นดังขึ้น โจวทงก็มองไปที่หมอหลวงไม่วางตา ดวงตาที่เหลือข้างเดียวส่องประกายเกรี้ยวกราด เซวียสิ่งชวนรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ รู้ถึงความน่าผิดหวังถึงขนาดสิ้นหวังที่เขากำลังรู้สึกอยู่ในตอนนี้ แต่ก็ไร้หนทางจะปลอบโยนเขาได้ เซวียสิ่งชวนรับยามาจากหมอหลวงและใช้มืออีกข้างประคองโจวทงขึ้นเตรียมจะป้อนยาให้กับเขา
โจงทองมองยาสีดำในถ้วย กลิ่นอายปราณศักดิ์สิทธิ์และตัวยาแผ่ออกมา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นประหลาดไปในทันที
“มีอะไรหรือ” เซวียสิ่งชวนถาม
เสียงโจวทงสั่นกลัวอย่างไม่อาจบรรยายได้ “ข้า…ไม่สบายใจ”
“ไม่ต้องกลัว” เซวียสิ่งชวนรู้ว่าเขากังวลเรื่องใด บอกเขาเสียงจริงจัง “จักรพรรดินีไม่ใช่คนเช่นนั้น”
“ข้าทำเพื่อจักรพรรดินีมากกว่าพวกเจ้าทุกคนรวมกัน และรู้จักจักรพรรดินีดีกว่าพวกเจ้าทุกคน ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ไม่สบายใจ”
เสียงโจวทงแหลมคมขึ้น แต่เพราะเขาหายใจติดขัดเนื่องจากอาการเจ็บ เสียงจึงเหมือนกับเครื่องสูบลมเก่าๆ ดังฟืดฟาด ขาดๆ หายๆ
ในตอนนี้เขาเหมือนกับเด็กดื้อที่ไม่ยอมกินยาขม เบือนหน้าหนีปิดปากแน่น ไม่ยอมดื่มยาแม้จะตีเขาให้ตายอย่างไรก็ตาม
เซวียสิ่งชวนมองโจวทง นึกไปถึงเมื่อหลายปีก่อนในบ้านเก่าของพวกเขา เขาก็ไม่ยอมดื่มยาแบบเดียวกันนี้ และเขาก็อดยิ้มอย่างคะนึงหาไม่ได้
เมื่อเรื่องในจิงตูได้ข้อสรุปแล้ว เขาจะหาคนส่งโจวทงกลับไปยังบ้านเก่าของพวกเขาเพื่อใช้ชีวิตหลังเกษียณ เขาเชื่อว่านอกจากจักรพรรดินี ตัวเขาและเซวียเหอแล้ว ก็ไม่มีใครจะรู้ได้ว่าโจวทงจะอยู่ที่นั่น
เมื่อเซวียสิ่งชวนคิดเรื่องนี้ เขาก็ยกถ้วยยาขึ้นจิบก่อนพูด “เห็นไหม ยานี้ไม่มีปัญหา ไม่ขมด้วยซ้ำ”
หลายปีก่อน ยามที่เขาหลอกให้โจวทงดื่มยา เขาก็ทำเช่นนี้ ดื่มยาให้ดูก่อน
ครั้นเห็นภาพนี้ โจวทงก็เริ่มร้องไห้ เสียงสะอื้นดังออกมาจากลำคอ
เซวียสิ่งชวนก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกัน
หลังจากร้องไห้แล้ว โจวทงก็รู้สึกเหนื่อยล้ายิ่งขึ้น แต่เขาก็ผ่อนคลายลงมาก
เขามองเซวียสิ่งชวนและฝืนยิ้ม “ข้าคิดดูแล้ว ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็ดีพอแล้ว”
เซวียสิ่งชวนรู้สึกดีใจมากและกล่าว “ตราบเท่าที่เจ้าคิดได้ นั่นก็ดีแล้ว”
……
……
ในตอนที่รถม้ามาถึงสำนักฝึกหลวง มันก็ถูกห้อมล้อมด้วยผู้คุ้มกันมากมาย
ทหารจากสำนักราชวังและทหารม้านิกายหลวงทอดยาวจากถนนหลักมาจนถึงตรอกไป๋ฮวา และล้อมรอบกำแพงของสำนัก หนาแน่นเสียจนแม้แต่น้ำก็ไม่อาจซึมผ่านได้
เฉินฉางเซิงลงจากรถม้าและกล่าวลาเฉินหลิวอ๋อง ก่อนเดินเข้าไปในสำนักฝึกหลวงภายใต้สายตานับไม่ถ้วน
ประตูสำนักฝึกหลวงถูกผลักเปิดออก ภายในนั้นสว่างไสวด้วยแสงโคมไฟ แม้จะดึกแล้ว อาจารย์และนักเรียนหลายร้อยคนก็ไม่มีใครหลับแม้แต่คนเดียว เพราะคืนนี้ ไม่มีใครหลับลง
ค่ายกลที่ศิษย์สถานศึกษาหนานซีสร้างขึ้นได้ย้ายจากรอบบ้านหลังนั้นมาที่หลังประตูสำนักฝึกหลวง สัมผัสได้ถึงเจตจำนงกระบี่อันน่าหวาดหวั่น เท่านี้ก็มั่นใจได้ว่าต่อให้กองทัพของราชสำนักอยากจะบุกเข้าไป พวกเขาก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างใหญ่หลวง แต่กระนั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง ไม่มีความมั่นใจหรือความสงบบนใบหน้าของศิษย์หญิงเหล่านั้น แต่ค่อนไปทางกังวลใจ
“เจ้าไปไหนมา” ถังซานสือลิ่วมองเฉินฉางเซิงและถาม
อาจารย์และศิษย์สำนักฝึกหลวงก็มองเขาเช่นกัน
เฉินฉางเซิงได้ออกจากสำนักฝึกหลวงเมื่อสองชั่วยามก่อน เขาไปยังถ้ำใต้สะพานอุดรใหม่ ไปยังโรงเตี๊ยมสวนหลีจื่อ และสุดท้ายก็ไปยังตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง เขาทำเรื่องต่างๆ มากมาย
เพราะการออกไปของเขา สถานการณ์ในจิงตูจึงตึงเครียดขึ้นมา แล้วทหารม้านิกายหลวงกับกองทัพอวี่หลินก็มาที่นี่ ผู้คนในสำนักฝึกหลวงย่อมต้องรู้ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น แค่ไม่รู้ว่าคืออะไร การต่อสู้ที่ตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้งเพิ่งจะเกิดขึ้น และแม้ว่าถังซานสือลิ่วจะมีคนอยู่ในจิงตู การส่งข่าวก็ไม่อาจเร็วไปกว่าการกลับมาของเฉินฉางเซิง
“ไม่มีอะไร ทุกคนไปนอนเถอะ”
เฉินฉางเซิงส่งสัญญาณบอกซูม่ออวี่ให้นำอาจารย์และนักเรียนไปพักผ่อน จากนั้นเขาก็นำถังซานสือลิ่วกับเจ๋อซิ่วไปที่บ้าน
ค่ายกลกระบี่ของสถานศึกษาหนานซีก็ย่อมตามเขาไป ใช้เวลาไม่นานในการย้ายไปถึงริมทะเลสาบ ซูม่ออวี่ก็กลับมาอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีอะไรจริงๆ หรือ” ถังซานสือลิ่วมองตาเขาและถามอย่างจริงจังมาก
เขารู้สภาพร่างกายของเฉินฉางเซิงและไม่อาจพูดทีเล่นทีจริงดังเช่นเคย พวกเขาคิดว่าหลังจากออกจากสำนักฝึกหลวงเฉินฉางเซิงจะไม่กลับมาแล้ว พวกเขาไม่คิดว่าเขาจะกลับมาในยามดึกเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก แต่ก็ไม่อาจวางใจได้เต็มที่
“ไม่มีอะไรจริงๆ” เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าแค่ไปจัดการเรื่องอย่างสองอย่าง”
“เรื่องอะไร”
“ข้า…ไปฆ่าโจวทงมา”
ได้ยินเช่นนั้น ทั้งบ้านก็เงียบไปในทันที
ลมพัดต้นไทรย้อย แต่ไม่ได้ทำให้ใบไม้ส่งเสียง พัดผ่านผิวทะเลสาบแต่ก็ไม่มีระลอกคลื่นให้เห็น
ทุกคนตกตะลึง โดยเฉพาะพวกเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซี
จิงตูคืนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศผิดปกติ ส่อเค้าว่าพายุกำลังจะเกิดขึ้น เจ๋อซิ่วและพวกพอจะเดาได้ว่ามันเกี่ยวกับเฉินฉางเซิง แต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้
ในโลกนี้มีคนนับไม่ถ้วนอยากให้โจวทงตาย แต่จะมีใครกล้าทำความต้องการนี้ให้เป็นจริงบ้าง
ซูม่ออวี่มองเขาอย่างชื่นชม
บรรดาเด็กสาวจากสถานศึกษาหนานซีมองเขาด้วยสายตาที่กระจ่างใสขึ้นในทันที คิดในใจ เขาช่างสมกับเป็นคนรักของเจ้าสำนัก เป็นคนที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“ข้าเคยบอกแล้วว่าข้าต้องเป็นคนลงมือฆ่าโจวทง”
เจ๋อซิ่วมองเขาและกล่าวต่อ “แต่ดูจากสถานการณ์พิเศษของเจ้าแล้ว ข้าก็ไม่โทษเจ้า”
เฉินฉางเซิงมองตอบและกล่าว “เจ้าถูกขังอยู่ในคุกโจวก็เพราะความสัมพันธ์กับข้าและสำนักฝึกหลวง ข้าจึงรู้สึกว่าข้าต้องจัดการเรื่องนี้ก่อนที่จะจากไป”
จากไป? ไปไหน เมื่อได้ยินคำพูดนี้ พวกเด็กสาวสถานศึกษาหนานซีก็เต็มไปด้วยความสับสนงุนงง
ถังซานสือลิ่วกับซูม่ออวี่รู้ความหมายของคำว่า ‘จากไป’ อารมณ์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าเคยบอกไว้แล้วว่าหากเจ้าจ่ายเงินเพิ่มก็ไม่เป็นไร” เจ๋อซิ่วบอก
เฉินฉางเซิงไม่เถียงกับเขาต่อไปในเรื่องนี้และกล่าว “ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจสังหารเขาได้”
เสียงหนึ่งดังมาจากศิษย์หญิงสถานศึกษาหนานซี “กล้าไปสังหารเขาก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว”
คนที่กล่าวก็คือเยี่ยเสี่ยวเหลียน ผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยบูชาชิวซานจวิน ภายหลังบูชาเฉินฉางเซิง และตอนนี้ก็บูชาสวีโหย่วหรง
คืนนี้ นางกลันรู้สึกว่าการชื่นชอบเฉินฉางเซิงนั้นเป็นเรื่องสมเหตุผล
เฉินฉางเซิงสังเกตว่าอารมณ์ของศิษย์สถานศึกษาหนานซีนั้นค่อนข้างแปลกดังนั้นจึงเอ่ยปากถาม “เกิดอะไรขึ้น”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนตอบด้วยความไม่สบายใจอยู่บ้าง “เจ้าสำนักยังไม่กลับมา”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็กล่าวว่า “บางทีนางอาจตัดสินใจอยู่ที่วังหลวงกระมัง”
เยี่ยเสี่ยวเหลียนส่ายหน้า “เจ้าสำนักบอกว่านางจะกลับมาในคืนนี้ หากนางไม่กลับมา…”
ได้ยินเช่นนั้น เฉินฉางเซิง ถังซานสือลิ่วและพวกก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด