ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 122 บริสุทธิ์หรือแปดเปื้อน เที่ยงธรรมหรือโง่เขลา ใครเล่าตัดสิน

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“เทพธิดาศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่าหากนางไม่กลับมา นางต้องรบกวนให้เจ้าสำนักเฉินเป็นผู้นำพวกเราชั่วคราว”

ศิษย์หญิงสถานศึกษาหนานซีคำนับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง ชุดขาวของพวกนางพัดพลิ้วในสายลม

“ไม่ต้องกังวล จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มองนางเหมือนบุตรีของตนเอง และพวกเจ้าก็ไม่ต้องกังวล ใต้เท้าสังฆราชก็ไม่ทำอะไรนางแน่”

หลังจากกลับมาถึงบ้าน ถังซานสือลิ่วก็พยายามช่วยคลายความกังวลให้เฉินฉางเซิง

เฉินฉางเซิงเข้าใจสาเหตุดี แต่เหตุใดสวีโหย่วหรงถึงได้ออกคำสั่งเช่นนี้กับศิษย์สถานศึกษาหนานซีก่อนจะไปวังหลวง หรือว่านางรู้ว่าจะมีปัญหาในการออกจากวังหลวงหลังจากเข้าไปแล้ว เพราะเหตุใดกัน นางต้องการทำอะไรในวังหลวง นางยังอยู่ที่นั่นหรือไม่

เขาเอาฝักกระบี่ออกมาจากเอวและนำชุดเกราะอ่อนออกมา โยนไปตรงหน้าถังซานสือลิ่วและกล่าว “ส่งไปที่สำนักต้นไหวให้ข้าด้วย มอบให้หวังผ้อ”

ชุดเกราะอ่อนนี้เปื้อนเลือด เช่นเดียวกับที่มีรอยกระบี่ตื้นลึกมากมาย ทั้งยังมีรูกระบี่เล็กๆ รูหนึ่ง มีแต่ส่วนสายรัดของชุดเท่านั้นที่ขาด สามารถซ่อมได้อย่างง่ายดาย

ซูม่ออวี่กับเจ๋อซิ่วไม่รู้ว่าเกราะอ่อนนี้คืออะไร ไม่รู้ทำไมเฉินฉางเซิงถึงได้อยากส่งไปสำนักต้นไหวและมอบให้หวังผ้อ

ตระกูลถังร่ำรวยที่สุดในโลก ดังนั้นสายตาของถังซานสือลิ่วย่อมต่างไปจากผู้อื่น ไม่ได้ยินคำว่า ‘สำนักต้นไหว’ และ ‘หวังผ้อ’ เขาก็เดาบางอย่างได้อย่างรวดเร็ว

“นี่คือเกราะเทพลิ่วอวี้อย่างนั้นหรือ” เขาหยิบเสื้อเกราะอ่อนขึ้นมาจากพื้นและมองเฉินฉางเซิงอย่างตกใจ

ซูม่ออวี่กับเจ๋อซิ่วตัวแข็งไป

“ใช่แล้ว มันเป็นของตระกูลหวัง ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือส่งคืนให้หวังผ้อ เขาต้องดีใจมากแน่”

จากนั้นเฉินฉางเซิงก็นำกระจกทองเหลืองออกมา แล้วยื่นออกไป “ข้าไม่รู้ว่านี่คืออะไร แต่คงเป็นของดี หากข้าเดาไม่ผิด มันอาจใช้ควบคุมพลังแสงของนิกายหลวงได้”

กระจกทองเหลืองนี้ย่อมเป็นอันที่โจวทงเตรียมไว้รับมือกับไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ ในการต่อสู้ มันไม่ได้แสดงประโยชน์มากนัก แต่การที่ยังสามารถคงอยู่ได้โดยไม่เสียหายภายใต้ดาบสองท่อนก็ทำให้เขาสนใจไม่น้อย

ถังซานสือลิ่วรับกระจกมา อ้าปากค้าง “กระจกกระจ่างพิสุทธิ์”

เฉินฉางเซิงรู้แค่ว่าพระราชวังหลีมีตำหนักกระจ่างพิสุทธิ์ แต่เขาไม่รู้ว่าในโลกนี้มีกระจกทองแดงที่ใช้ชื่อเดียวกันนี้

เจ๋อซิ่วขมวดคิ้วและซูม่ออวี่ก็ห้ามใจไว้ไม่ไหวอีกต่อไป เดินมาหาถังซานสือลิ่วหยิบกระจกขึ้นมา ใช้แขนเสื้อเช็ดเลือดบนผิวกระจกอย่างระมัดระวัง

“กระจกนี้มีชื่อเสียงหรือ” เฉินฉางเซิงถาม

“เจ้าไม่เคยดูอันดับร้อยศาสตราบ้างเลยหรือ” ถังซานสือลิ่วถามกลับ “มันมีอันดับสูงกว่ากระบี่ไร้ราคีของเจ้าเสียอีก!”

เฉินฉางเซิงประหลาดใจพลางคิด ตอนนั้นข้าใช้มีดทำครัวฟันใส่กระจกนี่ ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรวิเศษตรงไหน

“เจ้าไปที่นั่นเพื่อทำอะไรกันแน่ ไปฆ่าโจวทงหรือไปปล้นเขา”

ถังซานสือลิ่วแบกเกราะเทพลิ่วอวี้เดินไปหาเขา ถามด้วยความสงสัย “เจ้าออกไปไม่นาน แล้วกลับมาพร้อมกับของบนอันดับร้อยศาสตราสองชิ้นได้อย่างไร”

เฉินฉางเซิงอธิบาย “ของพวกนี้อยู่บนตัวโจวทงตอนที่ข้าลงมือสังหารเขา ข้าก็เลยเอากลับมาด้วย”

นิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วเจ๋อซิ่วกับอีกสองคนก็มองหน้ากันไปมา

หลังจากรู้ว่าเฉินฉางเซิงไปฆ่าโจวทง ก็น่าตกใจมากแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้ถามเรื่องรายละเอียดมากนัก เพราะไม่เชื่อว่าเฉินฉางเซิงจะทำได้สำเร็จ และคาดว่าเฉินฉางเซิงจะยอมรับว่าพ่ายแพ้ในไม่ช้านี้ แต่หากเขาไม่อาจสู้โจวทงได้และต้องพึ่งพาการคุ้มครองจากผู้แข็งแกร่งนิกายหลวงส่งกลับมา แล้วเขาไปเอาของวิเศษสองชิ้นนี้มาจากโจวทงได้อย่างไร

พวกเขาหันมาหาเฉินฉางเซิงรอคำอธิบาย เฉินฉางเซิงเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในตรอกกองทัพเหนือซือเจิ้ง แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดบางอย่าง

“เจ้าชนะจริงๆ หรือ” ถังซานสือลิ่วจ้องมองเขาราวกับมองตัวประหลาด

เฉินฉางเซิงตอบ “ยามที่ข้าสู้เพื่อชีวิต ชนะหรือแพ้ก็ไม่มีความหมายอันใด”

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างตกใจ “แต่สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังเป็นผู้ชนะ”

เฉินฉางเซิงไม่สนเขาและกล่าว “หาว่าจะทำอย่างไรกับกระจกทองเหลืองนี่ดี หากพวกเจ้าไม่ต้องการ ก็มอบให้สำนักฝึกหลวงใช้เป็นสมบัติของสำนัก”

ถังซานสือลิ่วไม่ชอบคำพูดนี้ “พูดเหมือนสั่งเสียก็พอรับได้หากเจ้าพูดแค่ครั้งเดียว แต่หากเจ้ายืนกรานจะพูดอยู่เรื่อย ก็เท่ากับเป็นเจ้าอยากย้ำเตือนพวกเราว่าเจ้ากำลังจะตายไม่ใช่หรือ”

เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็ตอบ “นี่ไม่ใช่คำสั่งเสีย เป็นคำหารือเรื่องมรดก”

……

……

ในสายตาของคนมากมาย ตำหนักในส่วนลึกที่สุดของพระราชวังหลีนั้นไม่เหมาะกับสถานะของสังฆราช เพราะตำหนักแห่งนี้เต็มไปด้วยชายคาที่เปิดช่องจนเห็นท้องฟ้าเป็นแผ่นผืนเหมือนกับบ่อน้ำ แต่สิ่งนี้ก็มีประโยชน์อยู่บ้าง หากยืนอยู่ในลานและมองขึ้นไปก็จะเห็นท้องฟ้าที่ถูกตีกรอบอย่างเรียบร้อย เป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

ค่ำคืนเคลื่อนไปสู่ยามดึก ความมืดก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ดูราวกับว่ามีเมฆที่มองไม่เห็นมาบดบังแสงดาวบนท้องฟ้า แม้แต่สายลมเย็นต้นฤดูใบไม้ร่วงก็ไม่อาจพัดพาความมืดนี้ไปได้ จากส่วนลึกที่สุดของความมืดมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงที่สงบและเรียบเฉย แฝงไว้ด้วยความรู้สึกถวิลหาและความเก่าโทรมตามกาลเวลา ทว่ายังมีความรู้สึกอีกอย่างด้วย ความรู้สึกที่ว่าความรู้สึกถวิลหาและความเก่าโทรมตามกาลเวลานั้นเป็นการจงใจเติมแต่งเข้ามาให้ได้ยิน

“เกือบยี่สิบปีแล้วที่ข้าได้เห็นท้องฟ้าราตรีในที่แห่งนี้”

เช่นเดียวกับคนมากมายในจิงตู สังฆราชยังไม่หลับ เขาเพิ่งจะรดน้ำใบไม้ครามเสร็จและใช้ผ้าเช็ดหยดน้ำออกจากใบไม้อย่างระวัง ครั้นได้ยินเสียงดังมาจากความมืดนอกตำหนัก เขาก็หยุดมือและหันกายไปช้าๆ

“หากตอนนั้นเจ้าไม่ลงมืออย่างขาดความอดทน บางทีเรื่องราวเมื่อยี่สิบปีก่อนก็คงไม่เกิดขึ้น”

สังฆราชพูดกับส่วนลึกของความมืดมิด

คนในความมืดตอบ “หรือบางทีอาจเป็นเพราะข้าไม่คาดคิดว่าในตอนนั้นเจ้าจะยืนอยู่ข้างนาง”

รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าสังฆราชเหมือนจะลึกกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาตอบกลับไปช้าๆ “ล้วนเป็นเรื่องในอดีต”

เสียงในความมืดตอบ “ใช่ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องในอดีต เราควรพูดเรื่องปัจจุบันกัน เรื่องคืนนี้”

สังฆราชวางผ้าลงข้างกระถางใบไม้คราม เดินไปที่บันไดหินด้านนอกตำหนัก ตามองไปที่ความมืดและกล่าว “แม้แต่ในตอนนี้ ข้าก็ยังไม่ชัดแจ้งว่าเจ้าหมายจะทำสิ่งใด”

สายลมราตรีเย็นเยียบพัดเสื้อคลุมผ้าป่านของเขา ประหนึ่งว่าว่าต้องการลอยหายไปจากโลกนี้

กระนั้นเสียงในความมืดก็ดูเหมือนจะต่ำลง หนักแน่นไม่อาจทำลายได้ราวกับโลหะ “ข้าชัดเจนเสมอว่าข้าต้องการทำสิ่งใด แต่ในตอนนั้น เจ้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของข้า ตอนนี้ยี่สิบปีผ่านไปแล้ว และการประเมินของเจ้าในตอนนั้นก็ผิด ดังนั้นเจ้าต้องอยู่ฝั่งเดียวกับข้า”

ได้ยินเช่นนี้ สังฆราชก็ก้มหน้ามองเงาบนบันไดหิน จมอยู่ในความเงียบเป็นเวลานาน

“เทียนไห่มีสายเลือดและพรสวรรค์ดีที่สุด มีตำแหน่งที่ดีที่สุด แต่นางเป็นหญิง วิสัยทัศน์ของนางมีจำกัด นิสัยของนางก็มีปัญหา เวลาสองร้อยปีได้พิสูจน์แล้ว หากนางยังนั่งอยู่บนบัลลังก์ต้าโจวต่อไป ต่อให้การบรรจบกันของเหนือใต้เป็นไปอย่างราบรื่น มนุษย์ก็ยังไม่อาจเอาชนะเผ่ามารได้ภายใต้การนำของนาง”

สายลมพัดต้นไม้นอกตำหนัก ใบไม้ครามภายในตำนหนักและแสงที่ลอดออกมาจากโถงตำหนักแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่งดงามดูเหมือนจะสั่นไหว

นั่นเป็นเพราะคนในความมืดกล่าวอีกครั้ง น้ำเสียงก็เย็นชากว่าเดิมและแน่วแน่กว่าเดิม

“เจ้าต้องการให้ผู้คนในดินแดนนี้ถูกทำลายเช่นนั้นหรือ ต้องการให้สายเลือดราชวงศ์เฉินกลายเป็นคนไร้บ้านและสิ้นเนื้อประดาตัว เหี่ยวเฉาลงทุกวันจนกระทั่งเชื้อสายของพวกเขาจบสิ้นในที่สุดเช่นนั้นหรือ ในตอนนั้นเมื่อเราแยกกันในนิกายหลวง เราก็ได้ตกลงกันแล้ว ข้าจะรับหน้าที่ดูแลเชื้อสายราชวงศ์เฉิน ในขณะที่เจ้าอยู่ในจิงตูคอยดูนางไว้ เวลายี่สิบปีผ่านไปเช่นนี้ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่าเจ้าคิดอย่างไรในตอนนั้น มัวเมาไปกับโครงสร้างสองปราชญ์ปกครองโลกร่วมกันของนางอย่างนั้นหรือ ไม่ ข้ามองเจ้าจากในเมืองซีหนิงมาสิบกว่าปีด้วยสายตาไม่แยแส แต่ข้าก็ไม่อาจให้เจ้าตกต่ำไปเช่นนั้น ในตอนนี้เวลาได้มาถึงแล้วที่จะวางไพ่ลงบนโต๊ะ ข้าจะไม่ให้เจ้าอยู่ในตำหนักที่ไร้ชีวิตนี้ ปิดหูปิดตาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นว่าโลกนี้วุ่นวายเพียงใดอีกแล้ว”

สังฆราชก้มหน้ามองเงาของชายคาที่ทอดลงมา เงียบงันอย่างยาวนานอีกครั้งหนึ่ง

หลังจากเวลาผ่านไปดั่งไร้สิ้นสุด เขาก็เงยหน้าขึ้นหาส่วนลึกของความมืดและถาม “เจ้าเอาความมั่นใจมาจากไหน”

คนในความมืดตอบ “ไม่มีใครต้านทานสิ่งยั่วใจได้ ผลไม้สุกงอมอยู่บนกิ่ง รอให้นางมาเด็ดไป”

สังฆราชตอบ “เด็กคนนั้นบอกข้าว่าผู้ที่ไม่ใช่นักปราชญ์ไม่อาจต้านทานได้ แต่นางเป็นนักปราชญ์มาตลอด”

“พวกที่เรียกว่านักปราชญ์ในโลกตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องตลก หญิงโลภมากไร้ยางอายอย่างนางจะเข้าใจหลักศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงได้อย่างไร หากนางรู้ว่าการกินผลไม้นั่น จะทำให้การท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของนางสมบูรณ์ได้ อีกทั้งยังทำให้นางก้าวขึ้นสู่ระดับที่สูงไปกว่าขั้นอำพรางเทพ เจ้าคิดว่านางจะอดใจได้เช่นนั้นหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าคืนนั้นตอนที่เขาอายุสิบขวบ ส่งกลิ่นหอมกระจายออกไปทุกทิศทาง ข้าเจ็บปวดมากเพียงไร หากเจ้ามังกรทองโง่เขลาโลภมากไม่เสี่ยงลงมาบนโลกนี้อีกครั้งและข้าไม่ต้องไปยังสุสานเมฆาเพื่อสู้กับมัน บางทีข้าเองก็คงกินเขาไปแล้ว!”

เสียงของคนในความมืดเปลี่ยนเป็นเย็นชาโหดเหี้ยม “อย่าว่าแต่ในสายตาของนาง นี่เป็นสิ่งที่นางต้องทำเพื่อให้การเปลี่ยนชะตาสำเร็จ เป็นการเรียกร้องที่ไร้หัวใจของวิถีสวรรค์ ผลไม้ที่ร่วงมาจากกายนางสุดท้ายก็ถูกนางกิน ช่างเป็นวงจรอันสมบูรณ์ของวิถีสวรรค์โดยแท้ ข้ายังมองไม่ออกแล้วนางจะมองออกได้อย่างไร”

สุ้มเสียงสังฆราชค่อนข้างเหนื่อยล้า เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่อาจกำจัดได้โดยง่าย “ในท้ายที่สุด เจ้าก็ยังลวงข้าได้สำเร็จ อีกทั้งยังลวงเหมยลี่ซา ในจดหมายของเจ้า เจ้าไม่เคยบอกว่าเรื่องนี้ต้องมีคนเสียสละ อย่าว่าแต่เขาเป็นคนที่ต้องเสียสละ”

“ครั้นผลไม้สุกงอม ก็ย่อมถูกกิน ไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่ก็ตาม”

“ในตอนแรก ข้าคิดว่าเพื่อให้ผลไม้สุกโดยเร็วที่สุด ต้องรีบปลูกในดินที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เราจะได้ช่วยให้มันเติบโตเป็นต้นไม้ที่สูงไปถึงสวรรค์”

“เมื่อผลไม้สุกงอม หากไม่ถูกกิน ก็มีแต่เน่าเสียไป ไม่ว่าอย่างไร เด็กนั่นก็ต้องตาย ชะตาของเขานั้นกำหนดให้ตายเพื่อแลกกับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ แล้วมีปัญหาที่ใดกัน”

“แต่เด็กนั่นไม่รู้อะไรเรื่องนี้เลย”

“ทุกคนล้วนมีเป้าประสงค์ของตนเอง แต่ใช่ว่าทุกคนจะตัดสินชะตาของตนได้ หรือมีอำนาจที่จะตัดสินใจเองได้”

“หรือว่ามีแต่เจ้าที่มีสิทธิ์ตัดสินใจ”

“เพราะข้าเสนอทางเลือกที่ดีที่สุดแก่เจ้าและโลกนี้…”

“เจ้ารู้หรือว่าตัวเลือกใดที่ข้ากับโลกนี้ต้องการ”

“เหมยลี่ซาปรารถนาสุดใจว่าราชวงศ์จะกลับคืนสู่อำนาจ แต่เจ้าสนใจแค่การสืบสานมนุษยชาติ เขาเป็นบุตรของเทียนไห่กับจักรพรรดิเซียน ย่อมไม่มีใครคัดค้านเขา และโปรดเชื่อในตัวข้า เขาเป็นผู้เยาว์ที่ฉลาดและโดดเด่นที่สุดในต้าลู่อย่างแท้จริง เขาเหมาะที่จะเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ต้าโจวที่สุดและยังเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำมนุษยชาติในอนาคตมากที่สุด”

“แต่เด็กคนนั้นเป็นศิษย์เจ้า”

เสียงในความมืดหายไปนาน และก็กล่าวขึ้นอีกครั้งในที่สุด

“แต่เขาเป็นสมาชิกราชวงศ์ นับตั้งแต่เขาเกิดมาบนโลกนี้ เขาก็มีหน้าที่สืบทอดราชวงศ์ มีหน้าที่ต้องสละเลือดให้กับราชวงศ์”