สายตาสังฆราชมองเข้าไปในความมืดและกล่าว “นี่คือการส่งเขาไปตาย”
คนในความมืดตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ความตายของเขานั้นสำคัญไฉน ในตอนนั้น สมาชิกราชวงศ์หลายคนก็ตายมิใช่หรือ”
สังฆราชเงียบไปนาน ทะเลดวงดาวในส่วนลึกของดวงตาส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ “เจ้าหาใช่ราชวงศ์ ไยถึงไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไป”
เสียงในความมืดสุขุมหนักแน่น “นี่เป็นความหวังที่ยังไม่บรรลุของฝ่าบาท”
สังฆราชรู้ว่า ‘ฝ่าบาท’ ที่กล่าวถึงย่อมมิใช่จักรพรรดิเซียน หากแต่เป็นยอดผู้นำที่โดดเด่นเหนือกาลเวลา จักรพรรดิไท่จง
บทสนทนานี้เริ่มเมื่อหลายปีก่อน จากจดหมายที่ส่งจากเมืองซีหนิงมายังจิงตู
การถกเถียงเริ่มเมื่อสองปีก่อน เมื่อเด็กหนุ่มนามเฉินฉางเซิงเข้ามาในเขตแดนสำนักฝึกหลวงที่ถูกทิ้งร้าง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะจบการสนทนาลงในคืนนี้
ทว่าแม้ในเวลานี้ สังฆราชก็ยังไม่ยืนยันเจตนาของเขา กายส่ายไหวไปมาในสายลม เฉกเช่นใบไม้ครามที่อยู่ในกระถาง
นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไร้จุดยืน หากแต่เส้นทางแห่งจิตของเขายังไม่หนักแน่นพอ จะว่าอีกอย่างก็คือเพราะเขาต้องคิดหลายเรื่อง เรื่องนี้เกี่ยวพันกับทั้งโลก ต้องคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด จึงยากที่จะตัดสินใจ
“นอกจากข้า ก็ไม่มีใครอีกแล้วรู้ว่าบทที่เจ้าเชี่ยวชาญที่สุดในคัมภีร์กาลเวลาก์คือสารานุกรมซีหลิว”
ประหนึ่งมีสายตาจ้องมาจากความมืด จดจ้องสระน้ำเล็กๆ ในตำหนักและกระบวยไม้ที่อยู่ด้านข้าง
คนที่กล่าวออกมาคือสังฆราช “เจ้าคือน้ำใสที่ส่งเสียงรวยรินไหลสู่ประจิม แม้ว่าจะไหลมานานนับพันปี ก็ยังไม่แปดเปื้อนฝุ่นผงเลยสักนิด ใสจนมองเห็นก้น สงบและอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ไร้ขอบเขต และเจ้า…ยังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจ ในท้ายที่สุดเจ้าจะพบว่าหัวใจเจ้าอยู่ที่ใด”
ว่าแล้วเสียงในความมืดก็ไม่กล่าวอะไรอีก
สังฆราชก้าวลงบนบันไดหิน มองไปยังเงาชายคา ยืนตรงหน้าเสียงน้ำไหล เสื้อผ้าปลิวไสวในสายลมดุจใบไม้คราม
“ศิษย์พี่ ท่านบำเพ็ญเพียรในวิถีแห่งการทำตามใจตน แต่แน่ใจหรือว่าใจข้าจะตามใจท่าน”
……
……
หลังจากออกมาจากเมืองซีหนิง อวี๋เหรินก็ตามอาจารย์ไปที่ต่างๆ มากมาย แต่ไม่ว่าจะเป็นทุ่งหิมะหรือที่รกร้างตอนล่างของด่านยงเสวี่ย เขาไม่ชอบมันมากนักเพราะมีคนน้อยเกินไป เมืองไป๋ตี้ริมแม่น้ำแดงก็เช่นกัน ไม่ได้สร้างความประทับใจล้ำลึกเท่าใด เว้นแต่ตอนที่เขาได้ยินว่าองค์หญิงลูกครึ่งมนุษย์เป็นศิษย์ของศิษย์น้อง เขาจึงรู้สึกยินดีอยู่บ้าง
อารมณ์ของเขาช่วงหลายวันมานี้ก็ไม่แย่นัก แต่ไม่ใช่เพราะว่าที่นี่คือจิงตู บ้านเกิดของเขา
เขาถูกอาจารย์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก จดจำเรื่องตอนเด็กได้อย่างเลือนราง ความทรงจำพวกนั้นพร่าเลือนไปนานแล้ว อาจารย์บอกว่าเขาเป็นคนจิงตู เคยใช้ชีวิตที่นี่มาก่อน แต่เขาจำไม่ได้ว่าบ้านที่เขาจากมานั้นอยู่ตรงไหน ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่ชอบจิงตู ต่างจากสาเหตุที่เขาไม่ชอบทุ่งหิมะและดินแดนรกร้าง เขาคิดว่าจิงตูมีคนมากเกินไป
จิงตูมีคนมากเกินไป ทุ่งหิมะและดินแดนรกร้างก็มีคนน้อยเกินไป เมืองซีหนิงดีที่สุด คนไม่มากไม่น้อยเกินไป
เขาไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงนำเขาไปยังที่ต่างๆ มากมาย ทำไมพวกเขาถึงต้องมาที่จิงตู เขาเพียงแต่เป็นห่วงว่าร่างกายศิษย์น้องเป็นอย่างไรบ้างและอยากจะไปพบเขา แต่หลังจากอาจารย์นำเขามายังสุสานเทียนซู อาจารย์ก็หายตัวไป ยังสั่งอีกว่าไม่ให้เขาออกจากสุสานเทียนซู บอกว่าอีกไม่กี่วันจะได้พบกับศิษย์น้องเอง
เมื่อเขามองอาจารย์หายตัวไป ก็รู้สึกว่าไม่เป็นไร ไม่ว่าศิษย์น้องจะพบเจอเรื่องอะไร เมื่อมีอาจารย์อยู่ด้วย ไม่ว่าปัญหาอะไรก็แก้ไขได้ นอกจากนี้ยังมีคนมากมายในจิงตู ซึ่งเขาไม่ชอบจริงๆ คนในสุสานเทียนซูไม่มากเกินไปไม่น้อยเกินไป มีต้นไม้เขียว มีสายน้ำไหล เป็นเรื่องง่ายที่เขาจะนึกไปถึงภูเขาลำธารหลังเมืองซีหนิง วันเวลาแห่งความสุขในการท่องจำคัมภีร์เต๋ากับศิษย์น้อง จับปลามากินกัน เขาได้ยินมาว่าตอนที่ศิษย์น้องทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นครั้งแรก ได้ชักนำแสงดาวมากมายบนท้องฟ้าลงมา เขารู้สึกภูมิใจและยินดีเป็นอย่างมาก ทำให้เขามีเหตุผลที่จะชอบสถานที่แห่งนี้มากขึ้น
ยังมีเหตุผลสำคัญอีกข้อหนึ่ง ในสุสานเทียนซูเขาสามารถมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ได้ เขานั้นเชี่ยวชาญในคัมภีร์เต๋า ในคัมภีร์เต๋าสามพันเล่มเขาได้ผสานทั้งหมดเข้าด้วยกัน ยกเว้นเล่มสุดท้ายเล่มหนึ่ง เขาเป็นเหมือนเฉินฉางเซิง อาจารย์ไม่เคยสอนการบำเพ็ญเพียรให้กับเขา เขาจึงมีความรู้สึกว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์บรรจุเอาไว้ด้วยกฎเกณฑ์และวิชาเต๋า เขาอยากเห็นว่าพวกมันมีอะไรน่าสนใจซ่อนเอาไว้
ก่อนจะออกไปจากสุสานเทียนซู อาจารย์ได้สั่งห้ามไม่ให้เขาออกไป แต่ไม่ได้บอกว่าห้ามมาดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ เขาเตรียมอาหารอยู่ในลานบ้านเล็กๆ สองวัน ถือไม้ค้ำยืนอยู่ริมรั้ว มองดูแสงตะวันที่สาดส่อง เมื่อรู้สึกว่าไม่มีปัญหา ก็นำอาหารที่เตรียมไว้เดินไปที่ต้นเหมย ไปตามเส้นทางภูเขาสู่แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
อีกนานกว่าจะถึงการสอบใหญ่ และเพราะการเปิดสวนโจวเมื่อปีก่อน การประชุมใหญ่จู่สือ และเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงมากมายที่ตามมา ผู้มาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานจึงพากันจากไปอย่างต่อเนื่อง ผู้บำเพ็ญเพียรที่ยังอยู่มีน้อยกว่าในอดีตมาก เขาเดินไปเป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบใครเลยแม้แต่คนเดียวตลอดทางไปจนถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นแรก
ตรงหน้ากระท่อมแผ่นป้ายนี้ เขาได้พบกับผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์นามจี้จิ้น ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์คนนี้เป็นคนอ่อนโยนมาก มีความผ่อนคลายและสันโดษเนื่องจากเข้าใจเรื่องทางโลกอย่างปรุโปร่ง เขาทำให้อวี๋เหรินรู้สึกดี พลางคิดในใจสุสานเทียนซูเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรอย่างแท้จริง หลังจากมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์เป็นเวลานาน ทุกคนจะได้พบกับความสำเร็จทางจิตใจหรือไม่กันนะ
ผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์นามจี้จิ้นถามว่าเขาเป็นศิษย์สำนักใด และเหตุใดจึงเข้ามาในสุสานเทียนซูเพื่อทำความเข้าใจแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
อวี๋เหรินไม่รู้จะตอบอย่างไร แต่นั่นก็ไม่สำคัญเพราะเขาไม่อาจพูดได้อยู่แล้ว เขาพิงไม้เท้าไว้กับกระท่อม ใช้มือทำท่าทาง ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจหรือไม่
จี้จิ้นไม่อาจเข้าใจภาษามือของเขา แต่ก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าอวี๋เหรินเป็นคนพิการ ในใจเต็มไปด้วยความสงสารและไม่ถามอะไรอีก เขายังเตือนอีกว่าเมื่อมองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ก็ไม่ควรฝืนและควรจะใส่ใจเรื่องการผ่อนคลาย
อวี๋เหรินมองดูผู้รับใช้แผ่นป้ายอนุสรณ์จากไปตามทางเดินภูเขา ก็เอามือปาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก ดวงตาเผยรอยยิ้มพึงพอใจ เขาคิดในใจ ศิษย์น้องพูดผิดตอนที่เขาบอกว่าข้าไม่อาจหลอกคนอื่นได้ ก็แค่ในเมืองซีหนิงข้าไม่จำเป็นต้องหลอกลวงคน เจ้าเห็นไหม ครั้งนี้ข้าหลอกผู้อาวุโสได้สำเร็จ
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นแรกของสุสานเทียนซูคือแผ่นป้ายอนุสรณ์รัศมีจรัสจ้า
อวี๋เหรินเดินลากขามาอยู่หน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ช้าๆ ครั้นมองดูก็รู้สึกสงสัยระคนตื่นเต้น ไม่อาจฝืนความรู้สึกอยากเอื้อมมือไปสัมผัส เขารู้สึกว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นี่น่าสนใจอย่างแท้จริง บทกวีที่สลักเอาไว้ก็ยอดเยี่ยม นิ้วมือที่สัมผัสแผ่นป้ายก็ให้ความรู้สึกสบายอย่างยิ่ง เย็นฉ่ำดุจสายน้ำบนเขาด้านหลังเมืองซีหนิง
จากนั้นเขาก็มาถึงแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สอง
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นี้น่าสนใจมาก และเขาก็พิศดูอย่างตื่นเต้น รู้สึกว่าลายเส้นพวกนั้นช่างงดงาม ประหนึ่งแสงที่ส่องผ่านใบไม้ลงมาบนภูเขาด้านหลังเมืองซีหนิงในฤดูใบไม้ร่วง
จากนั้นเขาก็มายังแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผนที่สาม
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้ยิ่งน่าสนใจมากขึ้น ลวดลายบนแผ่นป้ายยังคงเด่นชัด ลายเส้นงดงาม ทว่าไม่ซับซ้อนเช่นสองแผ่นก่อนหน้านี้ ในสายตาเขา นี่เป็นเส้นที่เรียบง่ายอย่างมาก
เรียบง่ายไม่ได้หมายความว่าไม่สวยงาม ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจได้ง่าย เฉกเช่นเมืองซีหนิงในฤดูฝน ลายเส้นของน้ำที่ไหลลงมาจากชายคาของวัดเก่าและรอยของใบไม้เหลืองที่ร่วงลงมาตามสายฝน เพื่อที่จะเข้าใจกฎเบื้องหลังรอยเหล่านั้น อวี๋เหรินต้องใช้เวลามากขึ้น ถึงขนาดวางไม้เท้าไว้ด้านข้างและนั่งลงคิดอยู่พักหนึ่ง
จากนั้นก็เป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นที่สี่
แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นที่ห้า
แผ่นที่หก
แผ่นที่เจ็ด
……
……
เวลาผ่านไป
อวี๋เหรินมาถึงกระท่อมแผ่นป้ายแห่งหนึ่ง พิงกายกับไม้เท้าและเอียงศีรษะมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ พบว่ามันค่อนข้างประหลาด
เพราะแผ่นป้ายนี้ถูกตัดขาด แผ่นป้ายที่แท้จริงได้ไปอยู่ที่อื่นแล้ว
เขาไม่รู้ว่ามันถูกตัดโดยคนที่มีนามว่าโจวตู๋ฟู แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นนี้คือเส้นแบ่ง แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่เขาดูไปแล้วเรียกว่าสุสานส่วนหน้า
เขารู้ว่าปีก่อนศิษย์น้องได้มองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่สุสานเทียนซูอย่างราบรื่น ทำให้เขาภูมิใจอย่างมาก แต่เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองก็มองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานส่วนหน้าทั้งหมดในวันเดียว
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า พบว่าดวงตะวันยังไม่ถึงจุดสูงสุด อากาศไม่ร้อนเกินไป เขาจึงตัดสินใจจะดูต่อ
นับจากเขาเข้ามาในสุสานเทียนซูจนถึงตอนนี้ เวลายังผ่านไปไม่ถึงครึ่งวัน
จะดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ที่หักได้อย่างไร เขาเองก็ไม่รู้
เขาเดินไปยังแผ่นป้ายที่หักช้าๆ ยื่นมือไปสัมผัสขอบของมัน
หลังจากผ่านไปชั่วขณะหนึ่ง เขาก็ชักนิ้วกลับและจมอยู่ในความคิด มองไปรอบๆ ก็เห็นว่าเขายังอยู่ตรงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์หัก
เขาเปลี่ยนไม้เท้ามาไว้อีกข้างใช้ท่อนแขนกุดยันมันไว้ ใช้มือขวาที่ว่างเกาหลังที่คัน เขารู้สึกสับสนและถามตัวเอง “ข้าจะไปต่ออย่างไร”
ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอย่างแผ่วเบาในสุสานเทียนซู พัดชุดนักพรตที่ซักจนสีซีดสะบัดไหว พัดผมดำปรกหน้าผากเปิดขึ้นเผยให้เห็นดวงตา
เขามีตาข้างหนึ่งที่มองไม่เห็น แต่ไม่รู้เลยว่ามันกลับมองเห็นสิ่งอื่นได้
เขาเดินเข้าไปในป่าหลังกระท่อม ใช้มือผลักหญ้าหนามออกแล้วมองไปด้านในอย่างสงสัย
มีเส้นทางที่ไม่ชัดเจนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนจะเกิดจากการเหยียบย่ำ แทบจะถูกหญ้าบดบังไปจนหมด หมายความว่าไม่มีคนเดินผ่านทางนี้มาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
ครั้นเห็นรอยทางที่ไม่มั่นคง ใบหน้าอวี๋เหรินก็เผยสีหน้าพิกลออกมา ทว่าหลังจากคิดดูแล้ว เขาก็หยิบไม้เท้ามาและเดินไปตามทางนั้น
หญ้าค่อยๆ กลืนร่างของเขา เส้นทางที่ถูกทอดทิ้งค่อยๆ ขยายตัวออกใต้ฝ่าเท้าและไม้เท้าของเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ออกจากป่ามาถึงกระท่อมอีกหลัง
เขายกแขนขึ้น เอาแขนเสื้อเช็ดเหงื่อบนใบหน้า รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว เขาคิดกับตัวเอง โชคดีที่ข้าไม่หลงทาง ไม่เช่นนั้นคงมีปัญหา ไม่รู้จะร้องขอความช่วยเหลืออย่างไร
เขาเดินเข้ากระท่อมและเริ่มดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์
ที่แห่งนี้ไม่ใช่สุสานส่วนหน้าอีกต่อไป
จากสุสานทั้งสิบสามแห่ง เขาได้มาถึงแห่งที่สองแล้ว
หลังจากโจวตู๋ฟูตัดแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ในสุสานเทียนซู เขาเป็นคนแรกที่เดินตรงมายังที่แห่งนี้
เขาย่อมไม่รู้เรื่องนี้ ยังคงมองดูแผ่นป้ายต่อไป เดินต่อไป มองแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นแล้วแผ่นเล่า
เมื่อรู้สึกหิว เขาก็นำอาหารจากกล่องในอกเสื้อออกมากิน เมื่อใดที่กระหาย เขาก็จะหาแหล่งน้ำบนเขาเพื่อดื่ม
อาหารในกล่องนั้นเรียบง่ายอย่างมาก เป็นเนื้อแห้งทอดพริกไทย
เขาพบเนื้อแห้งที่แขวนอยู่บนคานครัวในบ้านที่ถูกทิ้งร้าง ส่วนพริกไทยนั้นเก็บมาจากสวนผักที่ไม่มีใครดูแล
ดวงอาทิตย์ตกหลังภูเขา ดวงดาวมากมายปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ตะวันลอยขึ้นดาวมากมายก็หายไปในแสงสว่าง ลำธารใสบนเขาไหลผ่านไปช้าๆ เช่นเดียวกับเวลา
หลายวันผ่านไป อวี๋เหรินก็ตระหนักว่ากล่องอาหารว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเนื้อแห้งหรือเต้าหู้ ไม่เหลือแม้แต่น้อย
เขาหิวมาก จึงกลับไปตามทางที่เดินมา เมื่อเดินผ่านกระท่อมเหล่านั้น เขาก็ได้พบกับผู้บำเพ็ญเพียร
ในช่วงไม่กี่วันมานี้ เขาไม่ได้เห็นสิ่งใดนอกจากแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และป่าที่เงียบสงบ การได้พบเห็นคนในที่สุดทำให้อวี๋เหรินรู้สึกยินดี เขาจึงพยักหน้าให้กับผู้บำเพ็ญเป็นการทักทาย
แต่ผู้บำเพ็ญมองดูเขาราวกับเห็นผี
คนผู้นี้เป็นใคร ไฉนถึงไม่เคยเห็นมาก่อน ทำไมถึงกลับมาจากด้านหน้าของพวกเขา หรือว่าเขาได้อ่านแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์แผ่นต่อไปมาแล้ว