ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 124 แม่กับลูก (1)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

อวี๋เหรินกลับมาที่ลานบ้าน ก็ทำอาหารเพิ่ม หลังจากกินจนอิ่ม เขาก็เตรียมข้าวกล่องเพิ่มและเดินไปยังสุสานเทียนซูอีกครั้ง

ครั้นมาถึงเส้นทางที่ตรงไปยังสุสาน เขาก็พลันเปลี่ยนใจและเลี้ยวขวา

อากาศดีท้องฟ้าแจ่มใส บนเขาสุสานมีคนมากมาย เขาเพิ่งเจอพวกเขา และตอนนี้หากเขาไปพบอีกครั้ง ก็จะเร็วเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาพบกันอีกครั้ง ก็ไม่เท่ากับว่าพวกเขาเป็นคนคุ้นหน้ากันหรอกหรือ บางที คนคุ้นหน้าต้องพูดคุยวิสาสะกันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นหากแค่พยักหน้าทักทาย ก็อาจจะเป็นการขาดมารยาทใช่หรือไม่

คำถามเหล่านี้เป็นปัญหาอย่างมาก อวี๋เหรินไม่ค่อยจะมีทักษะในเรื่องพวกนี้เท่าไร จึงตัดสินใจเข้าสู่สุสานด้วยเส้นทางอื่น

เขาไม่รู้เลยว่ามีคำกล่าวเอาไว้ในหมู่ผู้บำเพ็ญเพียรในโลกอันกว้างใหญ่ว่ามีเส้นทางสู่สุสานเทียนซูเพียงทางเดียวเท่านั้น

ในภูเขาเขียวขจี เขาพยายามหลายอยู่หลายหน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะขาเขาเดินลำบาก จึงล้มหลายครั้ง ร่างกายปกคลุมไปด้วยหญ้าและใบสน ดูน่าอนาถทีเดียว

เขารู้สึกสิ้นหนทางพลางคิดในใจ ทำไมข้าถึงหาเส้นทางอื่นไม่ได้

จากนั้นเขาก็เห็นเส้นทางบนภูเขา เส้นทางนี้ปูด้วยหินขาวดูราวกับหยกขาวใต้แสงตะวัน

เส้นทางนี้ตรงอย่างยิ่ง ทอดยาวออกไปจนถึงจุดสูงสุดของสุสานเทียนซู

อวี๋เหรินเดินไปตามทางนั้นอย่างยินดี ทว่าเมื่อเขาเข้าใกล้ ก็รู้สึกว่ามันประหลาด เพราะไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ใช้เส้นทางนี้

ภูเขานี้มีเส้นทางทอดตรงไปยังสุสานเทียนซูและยังเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุด แต่ไฉนจึงไม่มีใครเดินบนทางสายนี้เลย

หรือว่าผู้มาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ต้องการจะฝึกจิต จึงจงใจไม่ใช้เส้นทางลัดนี้

ครั้นคิดถึงความเป็นไปได้นี้และนึกถึงความสุขที่เขาได้สัมผัสเมื่อเห็นเส้นทางตรงนี้ อวี๋เหรินก็รู้สึกละอายขึ้นมา

แต่เขามองดูขาตัวเองและคิดในใจ อย่างไรเสียข้าก็ต่างจากคนทั่วไป บางทีการใช้ทางลัดก็คงไม่ใช่การกระทำที่น่าอับอายนักกระมัง

เขาพิงกายกับไม้เท้า เดินไปตามทางด้วยใบหน้าที่แดงอยู่บ้าง

ด้วยขาของเขา การเดินข้ามลำธารตื้นนั้นเป็นปัญหาอย่างแท้จริง หลังจากเดินขึ้นไปบนจุดเริ่มต้นของถนน เขาก็รู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาบ้าง โชคดีที่มีศาลาอยู่ที่นี่ เขาจะได้แวะพักสักครู่

ขณะเดินมาในศาลาเขาก็พบกับรูปปั้นที่ปกคลุมด้วยฝุ่นและสนิม ในใจก็คิด หากศิษย์น้องมาเห็นเข้า ต้องรู้สึกไม่สบายใจอย่างมากแน่เลย

นั่นก็เพราะความรักสะอาดของเฉินฉางเซิง

อวี๋เหรินมองไปบนถนนตรงยาวพลางคิดในใจ ต้องใช้กำลังไม่น้อยเพื่อไต่ขึ้นไป จะดีกว่าหากพักเก็บแรงไว้ก่อน เขาจึงนั่งลงข้างรูปปั้นนั้น

ทว่าเขากลับรู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง เขาเติบโตมาพร้อมกับเฉินฉางเซิง ทั้งสองจึงมีอิทธิพลต่อกัน ดังนั้นเขาเองก็ติดจะรักสะอาดเช่นกัน

เขาครุ่นคิดจากนั้นก็นำผ้าเช็ดหน้าออกมาจากแขนเสื้อ เดินไปยังสระน้ำเล็กๆ ด้านข้างก้มร่างลงอย่างยากลำบากแล้วชุบผ้าเช็ดหน้าจนชุ่ม เขากลับมายังรูปปั้นและเริ่มทำความสะอาดอย่างระมัดระวัง

เขาเพิ่งจะเช็ดแขนซ้ายของรูปปั้นจนสะอาด ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากเกราะของรูปปั้น

เสียงนี้ต่ำมากและไม่ดังสักนิด ไม่มีทางที่จะได้ยินไปไกลได้ ทว่าในหูของเขากลับดังราวเสียงฟ้าผ่า

“จะเช็ดหมวกสักหน่อยก็ได้นะ”

ลมฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านน้ำใสในคลอง พัดฝุ่นบนเกราะออกไป ศาลาเงียบงันอย่างที่สุด

อวี๋เหรินจ้องมองรูปปั้นอย่างงงงันเป็นเวลานาน คิดด้วยความตกใจ มันมีชีวิต!

……

……

ตอนที่เฉินฉางเซิงมาถึงจิงตูเป็นครั้งแรก เขาไม่เข้าใจเรื่องของทางโลกเลยแม้แต่น้อย อวี๋เหรินเติบโตมาพร้อมกับเขา ดังนั้นเขาเองก็ไม่สันทัดในเรื่องนี้เช่นกัน

เขาไม่รู้ว่าถนนตรงยาวนี้คือถนนเสินและนอกจากจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับสังฆราชแล้ว ก็ไม่มีใครก้าวเดินขึ้นไปได้

เขาก็ไม่รู้ว่ารูปปั้นขุนพลในศาลานี้ก็ไม่ใช่รูปปั้นแต่เป็นขุนพลจริงๆ ขุนพลเทพอันดับหนึ่งแห่งต้าลู่ผู้ปกป้องสุสานเป็นเวลามากกว่าหกศตวรรษ ฮั่นชิง

อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยตอนนี้เขาก็ได้รู้แล้วว่ารูปปั้นนี้เป็นคนมีชีวิต ดูจากฝุ่นและสนิมบนชุดเกราะแล้ว คนผู้นี้ย่อมนั่งที่นี่มากเป็นเวลานานแล้ว

การนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเวลานาน เขาไม่เบื่อบ้างหรือ อวี๋เหรินไม่ชอบรับมือกับผู้คน ไม่มีทักษะในการรับมือกับผู้คน แต่เขาถามตัวเองอย่างจริงใจและสรุปว่าหากเขาไม่พบเจอคนสักคนมาเป็นเวลาหลายปี เขาคงต้องเบื่อมาก นอกจากนั้นยังมีคำถามสำคัญอีกคำถามหนึ่ง คนผู้นี้นั่งตรงนี้มาตลอดเวลา แล้วเขากินอย่างไร

คิดเรื่องกินแล้ว เขาก็นำเอาข้าวกล่องออกมาและวางตรงหน้าชุดเกราะ ทำท่าทางถาม ใต้เท้าหิวหรือไม่

ไม่มีเสียงดังมาจากชุดเกราะ

อวี๋เหรินคิดถึงทางเลือกของตน จากนั้นก็ทำท่าทางซับซ้อนสองสามท่า ความหมายก็คือถามว่า ให้ข้าไปทำบะหมี่ให้ท่านสักชามเป็นอย่างไร

เสียงหนึ่งดังมาจากชุดเกราะ “วางไว้ตรงนี้ก็ได้ แล้วก็ เจ้าไม่อาจเดินบนถนนเสินนี้ได้”

อวี๋เหรินวางกล่องข้าวไว้บนพื้น คำนับและส่งสายตาไม่เต็มใจไปที่ถนนเสิน จากนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินกะโผลกกะเผลกไป

ไม่นานหลังจากเขาจากไป ลมฤดูใบไม้ร่วงก็พัดผ่านคลองตื้นและศาลา พัดฝุ่นในร่องของชุดเกราะ

ดวงตาลึกทั้งสองที่เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลาอันไร้ปรานี ส่องประกายขึ้นมาในส่วนลึกของหมวกเกราะ

ฮั่นชิงลืมตาขึ้น

จากนั้นเขาก็หลับตา

กล่องข้าววางอยู่อย่างเงียบงันบนพื้นตรงหน้าเขา

……

……

อวี๋เหรินไปตามทางเดิมและกลับสู่สุสานเทียนซูที่เขาไม่รู้ว่ามีจำนวนเท่าไร ยังคองมองดูแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ต่อไป

บางทีอาจเพราะว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์พวกนี้ไม่ชัดเจนและยากจะทำความเข้าใจ บางทีอาจเพราะเขาคิดถึงเรื่องบางอย่าง เขาจึงยืนตรงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นี้อยู่นานมากแล้ว

ตลอดมาจนถึงกลางดึก เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น

เขารู้สึกหิวเมื่อฝนเริ่มพรำลงมาจากท้องฟ้าราตรี

เขาย้ายเข้าไปภายในกระท่อม นำเอาข้าวกล่องที่เหลือออกมาวางไว้บนแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และเริ่มกิน

ฝนไม่ได้ตกหนักมาก ทว่าเสียงของมันก็น่ารำคาญไม่น้อย

อวี๋เหรินเก็บกล่องข้าว แล้วพิงแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ สายตามองออกไป

ที่แห่งนี้อยู่สูงขึ้นไปบนสุสานเทียนซู หลังจากมองผ่านม่านฝนปรอยสาย เขาก็เห็นแสงในเมืองจิงตู

บางทีอาจเพราะดึกแล้ว โคมไฟในบ้านหลายหลังจึงดับไปแล้ว ทำให้จงตูดูค่อนข้างมืดมิด

อวี๋เหรินรู้สึกเป็นห่วงเฉินฉางเซิงขึ้นมากกว่าเดิม

เขาเชื่อว่าอาจารย์สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหาที่ศิษย์น้องต้องพบเจอ แต่อาการป่วยของเขาเล่า

ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง และหันไปยังที่แห่งหนึ่งในความมืด เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร

ไม่มีดวงดาวในที่แห่งนั้นแต่เป็นแท่นสูง

แท่นกานลู่

……

……

มีคนผู้หนึ่งอยู่บนแท่นกานลู่

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ประสานมือไว้ด้านหลัง ยืนอยู่ที่ริมแท่นกานลู่ มองดูท้องฟ้าราตรีอย่างเงียบงัน

คืนนี้มีเมฆมากมายลอยมาเหนือจิงตูอย่างฉับพลัน ดูราวกับความมืดมิดอันลึกล้ำ ย่อมไม่อาจแลเห็นดวงดาว

ทว่าความมืดและเมฆพวกนั้นไม่อาจบดบังดวงตาของนางได้

เช่นเดียวกับที่แสงจากมุกราตรีและปรอยฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้าไม่อาจแปดเปื้อนร่างของนางได้

ใบหน้างดงามดูเคร่งขรึมอยู่บ้างเพราะว่านางสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าวิถีสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลง

นั่นคือชะตาเช่นนั้นหรือ

ดาวชะตาของนางอยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าไกล มีเงาจางๆ ทอดทับอยู่

บางทีอาจเพราะดาวชะตาอีกดวงของนางตอนนี้อยู่ในจิงตู

นี่เป็นดาวอริต่อชะตาของนาง

แล้วนางควรทำเช่นใด

โบกแขนเสื้อบดบังแสงดาวกระนั้นหรือ

แต่จะมีประโยชน์อันใด

หากนางทำเช่นนั้นจริง ในอนาคตก็ยากที่เอาชนะวิถีสวรรค์ได้

แต่หากนางไม่ทำ นางจะเอาชนะวิถีสวรรค์ในตอนนี้ได้หรือไม่

……

……

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเวลาของเขาเหลือไม่มากแล้ว

คราวนี้เหลือไม่มากแล้วจริงๆ

เพื่อที่จะสังหารโจวทง เขาได้จ่ายค่าตอบแทนไปสูงมาก เลือดเขาไหลออกมาจากอวัยวะภายในอยู่ตลอด เส้นลมปราณฉีกขาดปั่นป่วนยิ่งกว่าเดิม ชั้นแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สวีโหย่วหรงใช้คลุมร่างกายเขาบางลงเรื่อยๆ จางลงเรื่อยๆ เขาอาจถูกส่งไปยังโลกแห่งจินตนาการได้ทุกเมื่อและในตอนนั้นเขาก็อาจตาย

เหลือเวลาอีกเท่าไร หนึ่งวันหรือสองวัน ชั่วเพลงหนึ่งหรือชาถ้วยหนึ่ง

เขาไม่มีความคิดอื่น ลุกขึ้นจากเตียง นำเอาร่มกระดาษทองมาแล้วกระโดดออกไปจากหน้าต่าง

ถังซานสือลิ่ว เจ๋อซิ่วและคนอื่นๆ ยังไม่นอน พวกเขายืนเฝ้ายามอยู่ด้านนอกห้องและตามต้นไม้ แต่ก็ไม่อาจป้องกันไม่ให้เขาออกไปได้ แม้แต่เจ๋อซิ่วที่อยู่บนต้นไทรย้อยจะสัมผัสได้ว่าเขาจากไป ก็ต้องยอมมอบอิสรภาพครั้งสุดท้ายให้แก่เขา ในฐานะลูกหมาป่าที่โตมาในทุ่งหิมะที่รกร้างและอาบเลือด เขาย่อมรู้ว่าความตายควรจะเป็นเรื่องสงบเงียบ

สายฝนร่วงลงบนร่มกระดาษทองอย่างไร้เสียง เป็นฝนที่อ่อนโยนและชุ่มชื่น

เขากางร่มเดินเข้าสู่ป่าแน่นขนัดริมทะเลสาบ จากนั้นก็ถอยหลัง ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงกำแพงส่วนนอก

ลึกเข้าไปในป่าทึบเป็นประตูที่นำไปยังวังหลวง

บนกำแพงมีประตูที่ลั่วลั่วใช้ให้คนของนางสร้างขึ้น

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ใช้ประตูพวกนั้นเพราะเขาไม่อาจแน่ใจได้ว่าคนจากวังหลวงหรือคนที่อาจารย์อาส่งมาจะเฝ้าประตูนั้นอยู่หรือไม่

เขามองไปที่กำแพงเก่าที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำและกระโดดลอยตัวข้ามไป

หลังจากสายลมวสันตฤดูและสายฝนสารทฤดูของปีนี้ สวนร้อยหญ้าที่ถูกเขากับถังซานสือลิ่วยกเค้าก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง สมุนไพรล้ำค่าผลไม้วิญญาณมองดูเขาจากบนกิ่งก้านรอให้เขามาเด็ดไป แต่กระนั้น เขามีเพียงความแน่วแน่และเดินตรงต่อไป

จุดหมายปลายทางก็คือวังหลวง

เขาอยากจะยืนยันว่าสวีโหย่วหรงปลอดภัยดี

เขาอยากจะพบกับจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่และถามนางบางเรื่อง อยากถามนางว่าสิ่งต่างๆ เป็นเรื่องจริงหรือไม่ นางเป็นมารดาของเขาจริงหรือไม่ และเท่านั้น..เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

เขายังมีจดหมายของซูหลีอยู่ในอกเสื้อ แผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ห้าแผ่นที่เป็นลูกปัดหินอยู่บนข้อมือ รวมทั้งสวนโจว

แต่เขาไม่ได้คิดที่จะทำอะไรในวังหลวง มันพอแล้วจริงๆ แผนอะไรนั่น เรื่องส่วนรวมอะไรนั่น สิ่งควรทำอะไรนั่น สงครามระหว่างมนุษย์และมารอะไรนั่น สำหรับคนที่กำลังจะตายอย่างเขา มันจะไปมีความสำคัญอะไรกัน แล้วยังจะมีใครไร้หัวใจถึงขนาดมาขอร้องให้เขาทำอะไรอีกในตอนนี้เช่นนั้นหรือ

เขาแค่อยากจะรู้เรื่องบางอย่าง จากนั้นก็จะจากไปอย่างเงียบๆ

ไม่มีใครจะตัดสินใจได้ว่าตนจะมาโลกนี้อย่างไร แต่เมื่อยามจากไป ทุกคนล้วนหวังว่าจะไปอย่างใจสงบ

มีคนมากมายเคยพูดเช่นนี้ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วเขาก็ควรทำเช่นนั้น

แต่เขาไม่ได้เข้าไปในวังหลวง

เพราะลึกเข้าไปในป่าของสวนร้อยหญ้า เขาเห็นภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อน

มีโต๊ะหินอยู่ในป่า กาน้ำชาเหล็กวางอยู่บนโต๊ะ มีถ้วยชาสองถ้วยอยู่ด้านข้าง ดูจากสีของชาในถ้วย ชาที่ชงในวันนี้น่าจะเป็นชาขาว

คนที่ดื่มชาก็ยังคงเป็นหญิงวัยกลางคนผู้นั้น

ครั้นเห็นสีหน้าสงบของนาง เฉินฉางเซิงก็รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง