ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 125 แม่กับลูก (2)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เฉินฉางเซิงได้พบกับหญิงวัยกลางคนผู้นี้มาหลายครั้งแล้ว พวกเขาจึงไม่นับว่าเป็นคนแปลกหน้าเสียทีเดียว

เขาขบคิดอยู่หลายหนเกี่ยวกับตัวตนของนาง แต่ก็ไม่อาจพบเบาะแสใด นางนั้นลึกลับอย่างมาก ต้องเป็นคนที่ทรงอำนาจในวังหลวงอย่างแน่นอน

คืนนี้พายุเมฆปรากฏขึ้นในจิงตู สายฝนเริ่มปรอยสายลงมาแล้ว ด้วยฐานะของหญิงวัยกลางคน ย่อมไม่สมเหตุผลที่นางจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่

เฉินฉางเซิงพลันคิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง และใบหน้าของเขาก็เย็นเยียบขึ้นมาในสายฝน

บางทีนางอาจมาฆ่าเขา

โชคดีที่เรื่องเช่นนั้นไม่ได้เกิดขึ้น หาไม่แล้วเขาคงรู้สึกเศร้าอย่างแท้จริง

หญิงวัยกลางคนชี้นิ้วออกเบาๆ ดังเช่นที่นางทำเป็นประจำ บอกใบ้ให้เขานั่งดื่มชา

เฉินฉางเซิงหายใจออก

ป่าในสวนร้อยหญ้าแห่งนี้มีความสำคัญกับเขาอย่างล้ำลึก เป็นที่หนึ่งในจิงตูที่เขาพบว่าเหมาะแก่การสงบใจมากที่สุด

สองปีมานี้ คืนที่เขานั่งดื่มชากับหญิงวัยกลางคนผู้นี้เป็นช่วงเวลาที่เขาสงบจิตใจได้มากที่สุด

หากหญิงวัยกลางคนเลือกที่จะสังหารเขาในป่านี้ ที่โต๊ะหินที่พวกเขาดื่มชากัน เขาก็รู้สึกยินดีมาก

เขาโหยหาความรู้สึกที่เขามียามที่นั่งอย่างเงียบสงบเช่นนี้ สบายอย่างยิ่ง มีอิสระอย่างยิ่ง ชวนให้เขานึกย้อนไปถึงเมืองซีหนิงได้อย่างง่ายดาย

หน้าผากย่นเล็กน้อยเมื่อเขาตระหนักว่าเขาไม่ชอบคิดถึงเมืองซีหนิง

แต่เอาเถิด ลำธารด้านหลังวัดเก่าก็ยังกระจ่างใสเช่นเคย

คิ้วเขาค่อยๆ คลายออก

……

……

ครั้นเห็นคิ้วขมวดของเขาคลายออก เห็นความรู้สึกที่ยังไม่สุกงอมบนใบหน้า นางก็คิดในใจ อ้า อีกไม่กี่วัน เขาก็จะอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่จริงละหรือ แต่เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เขาใกล้ตายอย่างเห็นได้ชัด กระนั้นก็ยังหยุดที่โต๊ะหินในป่า จิบชาขาวที่ยังอุ่น ถึงขนาดใจลอยคิดไปถึงเรื่องอื่นๆ อีก

มุมปากเทียนไห่ยกขึ้นอย่างเชื่องช้ามาก แฝงไว้ด้วยรอยยิ้ม

หากคนผู้นี้เป็นลูกข้าจริง ก็ไม่ใช่เรื่องแย่เท่าไร อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้ข้าละอายนัก เช่นนี้แล้วเมื่อข้ามองเจ้าตาย บางทีข้าอาจรู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ข้าควรรู้สึก มองเห็นร่องรอยวิถีสวรรค์ที่ซ่อนอยู่ในดวงดาวมากมายบนท้องฟ้า สุดท้ายก็ได้รับอิสระที่แท้จริง

มุมปากของเทียนไห่ค่อยๆ กลับไปเรียบดังเดิม รอยยิ้มก็หายไปที่ใดไม่ทราบ

นางมองดูเฉินฉางเซิงเงียบๆ ยื่นนิ้วไปจิ้มตรงหว่างคิ้วของเขา

เฉินฉางเซิงตื่นขึ้นจากความมึนงง ตัวสั่นอยู่บ้าง แต่เขาไม่ได้หลบเลี่ยง

มิใช่เพราะเขาไม่อยากหลบเลี่ยง แต่เพราะไม่อาจทำได้

ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เพิ่งเข้ามาในจิงตูหรือตอนนี้ ไม่ว่านางจะต้องการทำอะไรกับเขา เขาก็ไม่อาจตอบโต้ได้

แรกเริ่มเดิมที เขารู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะเมื่อนางเชยคางหรือลูบแก้มเขา ซึ่งทำให้เขารู้สึกอับอาย ทว่าหลังจากนั้น…บางทีเขาอาจคุ้นชินแล้ว

ด้วยสัมผัสแผ่วเบาของนาง ก็มีการแตกเบาๆ เกิดขึ้นในห้วงแห่งจิตของเขา เฉกเช่นฟองอากาศแตกออก

ลมโชยผ่านสวนร้อยหญ้า พัดพากลิ่นหอมของสมุนไพรและผลไม้วิญญาณ เคล้ากลิ่นบางอย่างที่มีแต่นางที่ได้กลิ่น

เพราะในตอนนั้น นิ้วนางได้แทงผ่านแสงศักดิ์สิทธิ์ที่สวีโหย่วหรงวางไว้ ดวงจิตของนางนำสายลมนี้มา สายลมนี้บรรจุไว้ด้วยไอปราณของเขา

ครั้นนางหลับตาลงสัมผัสกับไอปราณนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ อ่อนลง

ดังที่คาด ไอปราณนี้เป็นดั่งสายลมวสันต์ มอมเมาผู้คน ยากจะจินตนาการได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหากมันเผยออกมาอย่างสมบูรณ์ ไม่รู้จะมีใครต้านทานความยั่วใจนี้ได้หรือไม่

นางลืมตาขึ้น มือค่อยๆ ชี้ไปที่โต๊ะ บอกให้เฉินฉางเซิงดื่ม

เฉินฉางเซิงถือถ้วยชาไว้ในมือตลอดเวลา เขาจิบและวางถ้วยชาลง

เขามองหญิงวัยกลางคน หมายจะเปิดปากกล่าวบางอย่าง ก่อนปิดลงอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่อาจหักห้ามคำพูดได้อีกต่อไป

“ข้า…ในอนาคต ข้าอาจไม่ได้มาที่นี่อีก”

เขาหยุดไป ปรายตามองนางแล้วกล่าว “ข้าคือเฉินฉางเซิง”

นางมองเขาอย่างเงียบงัน ใบหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดให้เห็น

เฉินฉางเซิงตอนแรกก็ประหลาดใจ แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มเย้ยตัวเอง หลังจากพบกันหลายครั้ง เป็นเวลากว่าสองปี ด้วยความแข็งแกร่งของหญิงวัยกลางคน นางย่อมค้นพบความเป็นมาของเขาได้อยู่แล้ว

“เมื่อท่านรู้ว่าข้าเป็นใคร ท่านก็คงรู้ว่าสถานการณ์ของข้าในตอนนี้เป็นเช่นไร” เขาก้มหน้ามองชาสีจางราวน้ำเปล่าในถ้วย น้ำเสียงอ่อนโยนดั่งสายน้ำ “แม้แต่ตอนนี้ ข้าก็ไม่รู้ว่าท่านเป็นใคร บางทีอาจเพราะเหตุนี้ ข้าจึงรู้สึกว่าสิ่งที่ข้าไม่อาจบอกกับคนอื่นได้กลับสามารถบอกกับท่านได้”

นางมองดูเขาเงียบๆ ไม่มีปฏิกิริยาอะไร

ในมุมมองของเฉินฉางเซิง หรือบางทีอาจเป็นความปรารถนาของเขา นี่คือการให้กำลังใจอย่างหนึ่ง

เขาจมอยู่ในความคิดและกล่าว “ข้ากำลังจะตายในไม่ช้า”

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องของเขาออกมา เริ่มตั้งแต่ก่อนเขาเกิด แน่นอนว่าส่วนนี้เป็นผลจากการคำนวณจากผู้เฒ่าความลับสวรรค์ หลังจากนั้นเขาก็บอกเรื่องชีวิตหลังจากเขาเกิดมา เหตุการณ์ที่ศิษย์พี่อวี๋เหรินได้บอกเล่าให้เขาฟัง ลำธารใสและมังกรทอง จากนั้นก็เป็นชีวิตในวัดเก่าเมืองซีหนิง การมาเมืองจิงตูเพื่อยกเลิกการหมั้น เรื่องราวหลังจากนั้น ตลอดมาจนถึงบัดนี้

ในวัดเก่าเมืองซีหนิง ไม่มีใครพูดกับเขา เขาจึงเติบโตขึ้นมาเป็นคนเงียบขรึม หลังจากมาถึงจิงตู เขาก็พัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะหลังจากเป็นเพื่อนกับถังซานสือลิ่ว เขาก็เริ่มแสดงด้านช่างพูดออกมา และเมื่ออยู่กับสวีโหย่วหรง เขาก็มีเรื่องมากมายที่ต้องการพูดกับนาง ทว่าในคืนนี้เขาพูดมากกว่าโอกาสอื่นใด

เขาทบทวนจัดเรียงชีวิตของตน และเล่าออกมาให้นางฟัง

“เมื่อราชามารมาที่หานซาน ข้ามีข้อสงสัยแต่ไม่มีหลักฐาน ดูจากสถานการณ์ตอนนี้…ก็ชัดเจนมาก ข้ารู้ว่าอาจารย์นั้นใช้ประโยชน์จากข้า”

“แต่ข้าป่วยมาตลอด สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะชะตาของข้าไม่ดี จะโทษใครใด้” เขากล่าวจบ

ไม่ว่าเขาจะกล่าวอย่างไร นางก็นิ่งฟังเงียบๆ จิบชาเป็นระยะๆ สีหน้าสงบอย่างมาก

ประหนึ่งว่าวัดเก่าเมืองซีหนิง มังกรทอง ดินแดนเซิ่งกวง เฉินเสวียนป้า โจวตู๋ฟูและชื่ออื่นๆ เหล่านั้นไม่ได้ทำให้นางประหลาดใจ

เมื่อเขาเล่าจบ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกปากแห้ง หลังจากดื่มชาในถ้วยหมด เขาก็ตระหนักว่านางสงบนิ่งเกินไป

นี่ทำให้ความลึกลับของนางในสายตาเขาเพิ่มขึ้น

“ท่าน…เป็นใครกัน”

เขาถามด้วยความสงสัย

สวนร้อยหญ้าค่อนข้างเงียบ ไม่มีแม้แต่กระแสลม ดังนั้นย่อมไม่มีเสียงลม ปรอยฝนก็หยุดลงแล้ว ดังนั้นย่อมไม่มีเสียงฝนเช่นกัน

แม้แต่เสียงแมลงร้องที่ริมกำแพงและพงหญ้าก็หายไป

หลังจากเงียบงันไปนาน เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอย่างฉับพลัน

“ข้าคือใครอย่างนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงตกใจเพราะเขาไม่เคยได้ยินนางพูดมาก่อน

เขาได้ยินเสียงคำพูดของนางดังชัดเจนออกมาจากปากนาง

เขาเชื่อมาตลอดว่านางไม่อาจพูดได้

สองปีมานี้ มีแต่เขาที่เป็นฝ่ายพูด นางไม่เคยพูดอะไรแม้แต่คำเดียว

แต่ที่แท้นางก็พูดได้มาตลอด นางแค่ไม่ต้องการจะพูดออกมา

แล้วนางเป็นใครกัน

เฉินฉางเซินพลันเกิดความรู้สึกกังวลและไม่สบายใจเหนือล้ำไปกว่าความตกใจเสียอีก

เพราะนางยืนขึ้น

นางพลันสูงส่งกว้างใหญ่หาใดเปรียบ ดังหนึ่งว่าเทือกเขาพลันปรากฏขึ้นในโลกนี้

นางเอามือทั้งสองไพล่หลัง สะบัดแขนเสื้อเพียงแผ่วเบา ลมก็พัดไปทั่วป่า

นางมองลงมาที่เฉินฉางเซิง สีหน้าเรียบเฉย อากาศในป่าเย็นลงหลายองศา

สายลมลูบไล้ใบหน้านาง คิ้วทั้งสองทอดยาวไปยังขมับ เฉกเช่นกระบี่สองเล่มหรือปีกสองข้างกางออก

ดวงตานางเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสและศักดิ์สิทธิ์ ราวกับมีดวงดาวอยู่ภายใน

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ใบหน้าธรรมดาของนางก็เปลี่ยนเป็นใบหน้างดงามที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้

ปราณแผ่ออกจากกายนางเป็นพลังอันหาใดเปรียบมิได้

นางคือใคร

แน่นอนว่านางคือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ที่ยิ่งใหญ่สูงส่งที่สุดทั้งสวรรค์เบื้องบนแผ่นดินโลกเบื้องล่าง

ป่าในสวนร้อยหญาเปลี่ยนเป็นเงียบงันกว่าเดิม

เฉินฉางเซิงถือถ้วยชาค้าง ตกใจจนลืมวางลง

หลังจากเวลาผ่านไป เขาก็ตื่นจากภวังค์และวางถ้วยชาลงบนโต๊ะ

เขาเงียบไปเป็นเวลานาน ครั้นแล้วก็มองไปที่ถ้วยชาและกล่าว “สวัสดี”

เป็นคำพูดง่ายๆ มีมารยาท แต่ไม่เคยเกิดขึ้นระหว่างการพบกันของคนทั้งสองมาก่อน

เสียงเขาสงบนิ่งมาก ทว่าอารมณ์ค่อนข้างจะซับซ้อน

ในเวลาเดียวกัน เขาก็เข้าใจเรื่องบางอย่าง

ยามที่สวีโหย่วหรงเข้ามาในสวนโจว นางก็เปลี่ยนแปลงรูปโฉม ไม่มีใครสามารถมองออกได้ หลังจากนั้น นางก็บอกว่าเป็นวิชาลับของสิบสามกระทรวงชิงเหย้า ทว่าเขาผู้รอบรู้ในคัมภีร์เต๋า กลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

ตอนนี้เขาย่อมรู้ว่าวิชาปลอมตัวของสวีโหย่วหรงกับของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์นั้นเหมือนกัน หรือบางทีนี่อาจเป็นความสามารถของหงส์สวรรค์ที่สามารถเปลี่ยนรูปได้อย่างอิสระ

“เจ้าไม่เรียกข้าว่าแม่หรือ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาและถาม

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่แยแสอย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันไร้ซึ่งอารมณ์อย่างแท้จริง

เฉินฉางเซิงเงยหน้ามองไปยังผู้หญิงที่งดงามจนแทบไม่อาจมองตรงๆ ได้ พลางคิดในใจ ‘นี่คือแม่ของข้าหรือ’

หลายปีที่อยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิงหลังจากถูกอาจารย์เก็บมาจากแม่น้ำ เขาก็คิดถึงคำถามที่ว่าแม่ของเขาเป็นใครมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าเขาไม่เคยได้รับคำตอบ

จนกระทั่งตอนที่ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วจิงตูเมื่อปีก่อน เขาถึงได้เผชิญหน้ากับคำถามนี้โดยตรง จากนั้นบนเขาหานซาน เขาก็ได้รับการยืนยันมาบ้าง

ไม่ว่าก่อนหรือหลังข่าวลือ เขาก็นึกสงสัยอยู่เป็นระยะๆ หากพวกเขาพบกัน…จะเป็นภาพแบบไหนกัน เขาจะทำอย่างไร แม้แต่ตอนที่เขากระโดดออกมาจากหน้าต่างบ้านในสำนักฝึกหลวง ตัดสินใจเข้าสู่วังหลวงและไปพบกับนาง เขาก็ยังคิดถึงคำถามเหล่านี้

แต่เมื่อได้มาพบกันจริงๆ เขาก็ตระหนักว่าการเตรียมตัวทั้งหมดไร้ความหมาย

สมองของเขาอึงอล ร่างกายเย็นเยียบ

เขาสำรวจใบหน้างดงามที่เรียบเฉยไร้อารมณ์ของนาง ไม่พบร่องรอยของความรู้สึกที่เขาอยากให้มีอย่างเช่นความอบอุ่น

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเขาและขมวดคิ้ว “ของไร้ประโยชน์ ข้าไม่ควรให้กำเนิดเจ้ามาตั้งแต่แรก”

เมื่อนางพูด คิ้วดุจกระบี่ของนางก็ประหนึ่งว่าจะบินออกไปสู่ท้องฟ้าราตรี

เมื่อผนวกกับใบหน้าไม่แยแส รัศมีของนางก็เย็นเยือกยิ่งกว่าเดิม

เฉินฉางเซิงรู้สึกโกรธอยู่บ้าง ลมหายใจถี่เล็กน้อย “เมื่อครู่ ข้าเพิ่งไปสังหารโจวทงมา”

คำพูดนี้ที่ดังขึ้นในตอนนี้ ออกจะกะทันหันและยากจะอธิบายได้

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ถาม “เจ้าต้องการจะพิสูจน์ว่าเจ้ามีประโยชน์อยู่บ้างเช่นนั้นหรือ ว่าเจ้ามีความกล้าจะเผชิญหน้ากับโลกนี้เช่นนั้นหรือ จะขอลูกกวาดจากข้าเช่นนั้นหรือ”

เฉินฉางเซิงคิด ไม่ใช่สักหน่อย ข้าแค่อยากบอกว่าท่านมีบางเรื่องที่ไม่สนใจ และข้าก็ไม่สนใจได้เช่นกัน ข้ามีความกล้าจะสังหารโจวทง ข้าก็มีความกล้าจะเผชิญหน้ากับท่าน

ต่อให้เราเป็นแม่ลูกกัน ต่อให้ท่านเป็นแม่ที่โหดเหี้ยมจนลงมือสังหารลูกของตัวเองได้ลงคอก็ตาม