“โจวทงก็แค่สุนัขตัวหนึ่ง แค่ขี้ข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่จ้องมองเฉินฉางเซิงด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ในเมื่อเจ้าเป็นลูกชายข้า ต่อให้กำลังจะตาย ต่อให้ต้องตายด้วยมือข้า ต่อให้มีชีวิตอยู่ต่อได้แค่อีกวันเดียว ตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิต เจ้าก็มีค่ามากกว่ามันเป็นพันเท่าหมื่นเท่า หากเจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องแค่นี้ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเป็นลูกชายข้า”
เฉินฉางเซิงนึกถึงสิ่งที่เฉินหลิวอ๋องกล่าวภายในรถม้าก็แทบจะเหมือนกันทุกคำ เขาไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดเหล่านั้น รู้สึกแค่ว่ามันประหลาด ต่างไปจากความเข้าใจในโลกของเขา เมื่อท่านคิดจะสังหารข้าอย่างเลือดเย็น แล้วท่านจะมาสนใจว่าข้ามีสิทธิ์เป็นลูกชายของท่านทำไมกัน
เขาไม่รู้จะพูดอะไร จึงเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยื่นมือมาลูบหน้าเขา
ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งช่วงสองปีมานี้ แต่เขากลับพบว่ามิได้น่าพิสมัยและไม่คุ้นเคย ในตอนนี้รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนอยู่บ้าง สายตารักใคร่พะเน้าพะนอนั่นมอบให้ใครกัน การลูบไล้อย่างใกล้ชิดนี้มาจากไหนกัน เป็นการเสแสร้งแกล้งทำหรือท่านกำลังปลอบใจตัวเองอยู่ หรือท่านอยากจะปลอบโยนเส้นทางแห่งจิตหลังจากสังหารลูกชายของตัวเอง ใจท่านจะได้ไม่ได้รับผลกระทบ
เฉินฉางเซิงรู้สึกราวกับว่ามีอสรพิษเลื้อยอยู่บนใบหน้าเขา ความรู้สึกขยะแขยงอย่างมากสั่นสะท้านทั้งสรรพางค์กาย
เขาพบว่าตนมิอาจทนเรื่องนี้ได้และต้องการจะหลบหลีก ทว่าเขาไม่อาจขยับร่างกาย เขาอยากจะนำเอาจดหมายของซูหลีที่มอบให้เขาออกมา แต่ไม่อาจขยับนิ้วได้
“เจ้าอยากจะฆ่าข้าอย่างนั้นหรือ” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองตาเขาและถาม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง แม้ว่านางจะรับรู้ได้ถึงเจตนาของเฉินฉางเซิง กระนั้นนางก็ไม่โกรธ แต่กลับมีรอยยิ้มในดวงตาดุจดาวของนาง
นี่เป็นรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ ประหนึ่งว่านางชื่นชมที่เฉินฉางเซิงคิดจะทำความผิดร้ายแรงกับมารดาตัวเอง
เฉินฉางเซิงเพียงต้องการจากไปเท่านั้น ไม่คิดอะไรอีก เมื่อมองตานางเขาก็รู้ว่านางเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้หลังจากเข้าใจผิด
“วงจรวิถีสวรรค์ หลักธรรมแห่งฟ้า และความสัมพันธ์อันเหมาะสมของมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งปลอม แม่ฆ่าลูก ลูกฆ่าพ่อ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในโลกนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ข้าเองก็อยากฆ่าเจ้า ฉะนั้นหากเจ้าอยากฆ่าข้า ข้าก็ไม่รู้สึกว่าจะผิดตรงไหน ในทางกลับกันเมื่อไรที่เจ้าไม่สนศีลธรรม คุณธรรม กฎเกณฑ์ หลักการน่าเบื่อพวกนั้น และมีความต้องการจะสังหารข้า ตอนนั้นแหละที่เจ้าจะมีสิทธิ์เป็นลูกชายข้า”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวกับเขา
เฉินฉางเซิงมองนางและถามอย่างจริงจัง “ท่าน…คิดจะฆ่าข้าจริงหรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “ข้าเคยบอกแล้ว ของพวกนั้นล้วนจอมปลอม เช่นนี้แล้วทำไมข้าถึงไม่ควรฆ่าเจ้าเล่า”
หลังจากหยุดไป เฉินฉางเซิงก็ถามขึ้น “เช่นนั้น สิ่งใดที่เรียกว่าแท้จริง”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปที่วังหลวง ไม่กล่าวอะไรเป็นเวลานาน
ในตอนนี้ นางอยู่ในสวนร้อยหญ้า
นางมีชีวิตอยู่มาหลายปีจนนับไม่ถ้วน ทั้งในวังหลวงและสวนร้อยหญ้า
หลายปีก่อน นางเห็นในวังหลวงมีม้ามังกรที่ไม่ยอมเชื่อง จักรพรรดิไท่จงถามทุกคนว่าจะทำให้ม้ามังกรเชื่องได้อย่างไร
นางจึงก้าวออกมาอาสาและจากนั้น…นางก็ถูกเนรเทศมาสวนร้อยหญ้า
ตลอดชีวิตที่เหลือของนาง นางไม่อาจลืมสายตาดูถูกและเกลียดชังที่จักรพรรดิมีได้
ในสวนร้อยหญ้า นางพบกับความยากลำบากเกินจินตนาการ คนในตระกูลของนางลำบากยิ่งกว่า ในตอนนั้นนางเชื่อว่านางคงต้องตาย จักรพรรดิเซียนที่ไม่ลืมนางได้ลอบมาหานาง จากนั้นนางก็เข้าใจบางอย่าง การที่จักรพรรดิไท่จงมองนางด้วยสายตาดูถูกและเกลียดชัง…หมายความว่ามีบางอย่างในตัวนางที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ นั่นคืออะไร คือความแข็งแกร่ง ศักยภาพที่น่าหวาดหวั่น เลือดแท้หงส์สวรรค์ที่หาได้ยาก หรือลางร้ายเลือนรางที่วิถีสวรรค์ส่งมากันแน่
หากพูดถึงความเข้าใจในวิถีสวรรค์ ก็ไม่มีใครในโลกจะเข้าใจลึกซึ้งไปยิ่งกว่านาง แต่ต่อให้เป็นนางเอง ก็ยังรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นบางครั้ง ใช่แล้ว ไม่ใช่สิ้นหวัง ไม่ใช่สับสน แต่อ่อนล้า เพราะการไปอีกฝั่งและเข้าสู่โลกแห่งอิสระที่แท้จริงนั้นต้องใช้เวลายาวนานจนเรียกได้ว่าไม่รู้จบสิ้น
นางหันมาหาเฉินฉางเซิง หมายจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่พลันเห็นว่าใบหน้าเฉินฉางเซิงซีดขาว ในขณะเดียวกันสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้นที่หางตา ในตอนนี้อาการบาดเจ็บได้แสดงอาการออกมาแล้ว เลือดที่บรรจุไว้ด้วยวิญญาณของเขา หรือแสงศักดิ์สิทธิ์ หรือพลังแห่งชีวิต ระเบิดออกมาจากเส้นลมปราณที่ขาดวิ่นซึมไปตามอวัยวะภายใน แสงศักดิ์สิทธิ์ที่คลุมบนร่างของเขาไม่อาจป้องกันกลิ่นนั้นได้อีก ป่าอันมืดมิดในต้นฤดูใบไม้ร่วงพลันดังก้องไปด้วยเสียงแมลงนับไม่ถ้วน
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาอย่างสุขุม ไร้ความรู้สึก
“เป็นปราณชีวิตที่เข้มข้นยิ่งนัก กลิ่นก็ไม่เลวเลย ข้าคิดไม่ผิดจริงๆ”
นี่พูดถึงข้อสรุปที่นางได้มา หลังจากดึงเอาไอปราณเล็กน้อยออกมาจากร่างเฉินฉางเซิง
“ดูเหมือนว่าพวกทายาทราชวงศ์ที่หายไปนั้นไปถึงดินแดนเซิ่งกวงจริงๆ ไม่แปลกที่แม้แต่จักรพรรดิไท่จงที่มีความสามารถเพียงนั้น ก็ยังไม่อาจหาพวกเขาได้ทั้งที่ผ่านไปกว่าสองร้อยปี”
ในตอนนี้ เฉินฉางเซิงเจ็บปวดอย่างยิ่ง ประหนึ่งมีมีดนับหมื่นเล่มขูดไปจนถึงกระดูก อย่างไรก็ตาม คำพูดนี้ก็กระตุ้นความสนใจของเขา
เขารู้ว่าเป้าหมายของคำพูดนี้คือใคร
‘ทายาทราชวงศ์ที่หายไป’ นั้นหมายถึงส่วนหนึ่งของราชวงศ์เฉินที่ได้หนีออกจากจิงตูหลังการยึดอำนาจในสวนร้อยหญ้า ราชวงศ์เฉินส่วนนี้รวมไปถึงครอบครัวองค์ชายรัชทายาท หรือสมาชิกราชวงศ์ที่ใกล้ชิดกับรัชทายาท เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะรวมถึงครอบครัวของเฉินเสวียนป้า ตามบันทึกในคัมภีร์เต๋า ส่วนนี้ของราชวงศ์เฉินมีคนไม่น้อยกว่าพันคน ล้วนแต่มีความสามารถและพรสวรรค์สูงส่ง
ผู้เฒ่าความลับสวรรค์ได้กล่าวว่าร่างเขาบรรจุไว้ด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแน่นอนว่าต้องเกี่ยวข้องกับดินแดนเซิ่งกวง ศิษย์พี่เคยบอกไว้ว่าเขาถูกเก็บมาจากแม่น้ำ แม่น้ำนั้นไหลมาจากสุสานเมฆา สวีโหย่วหรงก็เคยบอกว่าภายในสุสานเมฆามีภูเขาที่อาจเป็นเส้นทางไปสู่ดินแดนเซิ่งกวง…
เมื่อข้อมูลเหล่านี้รวมเข้าด้วยกัน ความจริงของเรื่องนี้ก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
เขาเป็นความหวังของราชวงศ์เฉินในการกลับคืนสู่บัลลังก์อย่างแท้จริง หรือบางทีอาจเป็นวิธีการเพื่อทำเช่นนั้น
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่สูดกลิ่นที่ปกคลุมไปทั่วป่าฤดูใบไม้ร่วง หน้าผากนางเป็นรอยลึกยิ่งกว่าเก่า ดาวสว่างสดใสในส่วนลึกของดวงตาเหมือนจะปรากฏคลื่นเล็กๆ แสงก็เหมือนจะหม่นมัวลง ในเวลาเดียวกัน ใบหน้าก็เผยความกระด้างและเกลียดชัง สองความรู้สึกนี้แม้จะไม่ตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิงแต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะปรากฏขึ้นพร้อมกัน
จากนั้น นางก็หลับตาลง
เมื่อนางลืมตาขึ้นอีกครั้ง อารมณ์เหล่านี้ก็หายไปจนหมดเหลือไว้เพียงความสงบเรียบเฉย
นางสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย แรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ปกคลุมไปทั่วผืนป่าในทันที ลำแสงมากมายพุ่งออกมาจากแขนเสื้อ ตกลงไปบนร่างของเฉินฉางเซิง
ไอปราณนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้โลกถูกครอบงำ ถึงขนาดบ้าคลั่งไป ด้วยว่าความปรารถนาได้ถูกตัดขาดโดยแสงนั้น
แมลงที่ส่งเสียงร้องระงมไปทั่วสวนร้อยหญ้ารู้สึกสับสนและค่อยๆ ลดเสียงร้องลง ป่าฤดูใบไม้ร่วงกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองดูเฉินฉางเซิงและเย้ย “ตอนนี้เจ้ารู้ตัวหรือยังว่ามีคนใช้ประโยชน์จากเจ้าอยู่”
เฉินฉางเซิงเงียบไปเป็นเวลานาน เขายกมือขวาที่เต็มไปด้วความเจ็บปวดขึ้นอย่างยากลำบาก คว้าถ้วยชาที่ว่างเปล่าและตอบ “ข้าไม่เคยพบคนพวกนั้น”
คนพวกนั้นที่เขาพูดถึงก็คือทายาทราชวงศ์ที่หายไปซึ่งซ่อนตัวอยู่ในความมืด ทายาทราชวงศ์เฉินพวกนั้นได้จากต้าลู่ไปนานแล้ว
“มีคนบางพวกที่เจ้าไม่ต้องพบเจอก็รู้ได้ว่าน่ารังเกียจ สกปรกและไร้ยางอายเพียงใด เพราะเลือดของพวกมันเหม็ดโฉ่”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เอามือไพล่หลัง มองดูท้องฟ้าราตรีทางบูรพาอันห่างไกล กล่าวอย่างเรียบเฉย “พ่อฆ่าลูก น้องฆ่าพี่ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับตระกูลนี้มาหลายครั้งหลายครานัก ข้ายังจำได้ตอนที่ไท่จงยังครองอำนาจ ตอนที่รัชทายาทเฉิงเฉียนถูกบีบตาย เว่ยอ๋องไท่ก็เข้าตำหนักเพื่อพบจักรพรรดิไท่จง ครั้นพบหน้าก็โผเข้าอ้อมอกจักรพรรดิไท่จง ร้องไห้พลางพูดไปพลาง ‘นับจากวันนี้ไป นับว่าข้าเป็นบุตรที่แท้จริงของท่าน ข้ามีลูกชาย เมื่อข้าใกล้ตาย ข้าจะฆ่าเขาเพื่อฝ่าบาท และส่งต่อบัลลังก์ให้กับจิ้นอ๋องผู้เป็นที่โปรดปรานของท่าน’”
พูดถึงตอนนี้ นางก็หยุดและหันไปหาเฉินฉางเซิงแล้วถาม “ได้ยินอย่างนี้แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไร”
ร่างของเฉินฉางเซิงยังคงสั่นเพราะความเจ็บปวด แต่ก็เพราะอารมณ์ด้วยเช่นกัน “ข้ารู้สึกว่า…ช่างน่ารังเกียจและเลือดเย็นมาก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยิ้มหยัน “ในตอนนั้น ทุกคนที่ได้ยินก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้าแต่…จักรพรรดิไท่จงของพวกเราดูเหมือนจะไม่คิดแบบเดียวกันแม้แต่น้อย เขารู้สึกพอใจมากและถึงขนาดกล่าว ‘ใครจะไม่รักลูกของตัวเอง เมื่อเราเห็นเว่ยอ๋องในสภาพเช่นนี้ เราก็สงสารมาก’”
เฉินฉางเซิงคิดในใจ จักรพรรดิไท่จงได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ปกครองที่ปราดเปรื่องเหนือยุคใด เขาจะถูกล่อลวงด้วยคำพูดที่เหลวไหลไร้สาระได้อย่างไรกัน
“จักรพรรดิไท่จงย่อมไม่ถูกล่อลวง แต่เขาชื่นชมในความไร้ยางอายของเว่ยอ๋องอย่างมาก เขาเพิ่งสังหารพี่ชายตัวเองแต่ก็ยังโถมเข้าอ้อมอกพ่อร้องไห้ดูดนม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะทำเช่นนี้ได้…ว่ากันว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น จักรพรรดิไท่จงก็ทำแบบเดียวกันนี้กับบิดาของตนเอง แล้วเขาจะมีหน้าไปตำหนิเว่ยอ๋องได้อย่างไรกัน”
เมื่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่พูดถึงจักรพรรดิไท่จง น้ำเสียงนางก็หยาบกร้านจนถึงขั้นหยาบคาย
เฉินฉางเซิงเงยหน้าขึ้นมองนางและถาม “เหตุใดท่านถึงบอกเรื่องพวกนี้กับข้า ก่อนหน้านี้ที่ท่านคิดว่าข้าต้องการจะสังหารท่าน ท่านก็คิดว่าน่าชื่นชม หรือว่าก็เป็นเหตุผลเดียวกัน”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “ข้าต้องการบอกเจ้าว่าราชวงศ์เฉินนั้นไม่ว่าจะเป็นเชื้อสายจักรพรรดิไท่จง หรือทายาทราชวงศ์ที่หายไป ก็ล้วนเป็นพวกโรคจิตและน่ารังเกียจ”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เฉินฉางเซิงก็กล่าว “เลือดตระกูลเฉินก็ไหลอยู่ในกายข้า เช่นนั้นข้าก็เป็นพวกโรคจิตน่ารังเกียจอย่างนั้นหรือ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “เจ้าจะตีความเช่นนั้นก็ได้”
เฉินฉางเซิงมองดวงตานางและกล่าว “ที่สุดแล้วท่านก็แค่ต้องการสังหารข้า ดังนั้นก็แค่หาเหตุผลและข้ออ้างเท่านั้น”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เย้ย “หากข้าอยากฆ่าใครสักคน ข้าต้องหาเหตุผลและข้ออ้างตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เฉินฉางเซิงตอบ “แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ต่างไป”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ขมวดคิ้ว “เจ้าต่างตรงไหน”
เฉินฉางเซิงตอบ “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นลูกชายท่าน หากท่านเป็นเหมือนจักรพรรดิไท่จง เช่นนั้นประวัติศาสตร์ก็จะมีการบันทึกเอาไว้ ดังนั้นท่านก็ต้องให้คำอธิบาย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “ข้าเป็นหญิงที่นั่งบัลลังก์ ไม่เคยใส่ใจเรื่องหลงผิดอย่างการได้รับคำวิจารณ์ที่ดีจากคนรุ่นหลัง เจ้าว่าข้าดูเหมือนคนที่สนใจคำวิจารณ์อย่างนั้นหรือ”
เฉินฉางเซิงคิดถึงวิธีโหดเหี้ยมที่นางใช้ปกครองหลังจากขึ้นสู่บัลลังก์ ก็สรุปว่าคงเป็นเช่นนั้น ทว่ายังมีคำถามอื่นที่จำเป็นต้องหาคำตอบ
เขาตอบ “ทุกคนย่อมมีคำอธิบายให้กับทางเลือกของตนเอง ต่อให้พวกเขาไม่สนใครในโลก ก็ยังต้องการโน้มน้าวตนเอง”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองเขาอย่างสุขุมและกล่าว “คงเป็นเช่นนั้น”
เฉินฉางเซิงกล่าวต่อ “ในเมื่อเราพูดจบแล้วท่านรออะไรอยู่ ฆ่าข้าหรือกินข้า ทำการเปลี่ยนชะตาให้สมบูรณ์ ทำเหตุและผลให้ครบ เพื่อให้ท่านได้อยู่เหนือยุคสมัยเสียสิ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “มีเหตุผล เจ้าก็เป็นชิ้นเนื้อที่ออกมาจากท้องข้า ข้ากินเจ้ากลับลงท้องไปก็สอดคล้องกับกฎของฟ้าดินอย่างแท้จริง”
……