ตอนที่ 1381 ขีดจำกัดความเร็ว โดย Ink Stone_Fantasy
หลังทั้งสามคนข้ามภูเขาเคจเมาเธ่น พวกเธอก็มุ่งหน้าไปทางเทือกเขาสิ้นวิถีที่อยู่ทางตะวันตก
หลังจากนั้นไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เมซี่ก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไปก่อน
บนท้องฟ้าที่อยู่เหนือพื้นดินขึ้นไป 1,500 เมตร ฟินิกส์ที่มีเครื่องยนต์สองตัวสามารถทำความเร็ว 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้สบายๆ
“เป็นยังไงบ้าง?” ทิลลีเอามือปิดปาก
‘…หม่อมฉัน หม่อมฉันยังบินไหว…แฮ่ก!’ เมซี่หอบหายใจ
‘เจ้าพยายามเต็มที่แล้ว ต่อไปเดี๋ยวข้าจัดการเอง’
ไลต์นิ่งจับเมซี่ที่สีหน้าไม่ยอมแพ้ยัดใส่เข้าไปในหน้าอก ก่อนจะรับช่วงต่อมาจากเธอ
หนึ่งคนกับหนึ่งเครื่องบินเปิดฉากบินไล่ครั้งใหม่ขึ้นมาบนท้องฟ้าที่อึมครึม
ภาพทิวทัศน์ที่อยู่ใต้เท้าหดเล็กลงเรื่อยๆ เทือกเขาที่แบ่งเขตอาณาจักรของมนุษย์เองก็ค่อยๆ กลายเป็นเส้นหมึกที่คดเคี้ยว ทิลลีมองเห็นหมอกแดงที่ไหลลงมาจากสันหลังของทวีปเข้าปกคลุมอยู่เหนืออีเทอรืนอลวินเทอร์และวูล์ฟฮาร์ทเหมือนเป็นบาเรียหนาๆ แต่ขอเพียงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า บนพื้นดินที่อยู่ในบาเรียนั้นย่อมต้องเต็มไปด้วยละอองสีแดง แต่ขอเพียงบินขึ้นไปบนท้องฟ้า ก็จะสามารถมองเห็นหน้าตาที่แท้จริงของโลกได้
‘พระองค์เร็วสุดได้แค่นี้เหรอเพคะ?’ เสียงของไลต์นิ่งดังขึ้นมา ‘หม่อมฉันยังบินได้เร็วกว่านี้อีกนะเพคะ!’
ถ้าพูดถึงเรื่องความเร็วเพียงอย่างเดียว ความสามารถของอีกฝ่ายนั้นไม่มีใครจะมาเทียบได้จริงๆ ต่อให้เป็นสกายลอร์ดที่มีพลังประตูมิติก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้เธอ
แต่สำหรับทิลลีแล้ว ชัยชนะนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด
การขับเจ้าเครื่องจักรที่ใหญ่โตแต่คล่องแคล่ว แล้วก็แสดงประสิทธิภาพของมันออกมาให้ถึงขีดสุดนั้นคือความสุขอย่างหนึ่ง
เธอหันสายตากลับมาพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย จากนั้นจึงเชิดหัวเครื่องบินขึ้นยังท้องฟ้าด้านบน
ไลต์นิ่งเองก็ตามขึ้นไป เธอยังรักษาระยะห่างนำอยู่หน้าเครื่องบินประมาณ 100 เมตร
ตามที่คู่มือระบุเอาไว้ ฟินิกส์นั้นได้รับการปรับปรุงจากเทคโนโลยีในโลกแห่งความฝัน ชิ้นส่วนสำคัญๆ ล้วนแต่ได้อันนาเป็นคนทำขึ้นมา คุณภาพของมันเรียกได้ว่าเหนือกว่าเฮฟเว่นเฟลมมาก ความเร็วสูงสุดในการบินแนวระนาบอยู่ที่ 550 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางในการบินสูงสุดอยู่ที่ 1,500 กิโลเมตร เครื่องยนต์สูบดาวสองตัวที่วางซ้อนกันยังมีการติดตั้งระบบเทอร์โบเอาไว้ ทำให้มันสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าที่สูงขึ้นไป 3,000 กิโลเมตรได้โดยที่ความเร็วไม่ลดลง นี่ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เฮฟเว่นเฟลมไม่อาจเทียบได้
แต่ว่านี่ไม่ใช่จุดเด่นที่สุดของฟินิกส์
โครงสร้างตัวเครื่องของมันถูกแคนเดิลและดอริสทำให้แข็งแกร่งขึ้น ความแข็งแรงและความทนทานของมันเรียกได้ว่าเหนือกว่าตัววัสดุมาก ถือได้ว่าเป็นเครื่องบินลำแรกที่มีการผสานเข้าด้วยกันระหว่างเทคโนโลยีทางอุตสาหกรรมและพลังเวทมนตร์
ทิลลีรู้ดีว่าใบพัดจะแสดงประสิทธิภาพออกมาได้มากที่สุดในตอนที่บินด้วยความเร็วต่ำ แต่เมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนของมันก็จะลดลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นถ้าอยากอาศัยแรงขับเคลื่อนของตัวใบพัดในการไล่ตามไลต์นิ่งให้ทันนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เธอต้องยืมแรงอื่นมาช่วย
หลังบินขึ้นไปบนชั้นเมฆที่อยู่เหนือขึ้นไปแล้ว ทิลลีก็เหยียบคันเร่งจนสุด พร้อมกับกดคันเร่งลง
เครื่องยนต์ระเบิดเสียงคำรามออกมาทันที!
ฟินิกส์พุ่งดิ่งลงไปข้างล่าง
เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ข้างหน้าตลอดเวลา ไลต์นิ่งเองก็ได้ปรับทิศทางและรีบดิ่งตามลงไปอย่างรวดเร็ว เพียงแต่เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดผลกระทบซึ่งกันและกัน เธอจึงบินห่างออกไปด้านข้างประมาณ 1 กิโลเมตร แต่ระยะที่นำอยู่ยังคงอยู่ที่ประมาณ 100 เมตรเหมือนเดิม ภายใต้ความเร็วกับความสูงนี้ ม่านพลังที่เกิดจากการสอดประสานพลังเวทมนตร์ปรากฏขึ้นมาให้เห็นรอบตัวเธออย่างชัดเจน คลื่นลำแสงที่สว่างวูบวาบขึ้นมาช่วยปกป้องเธอเอาไว้จากลมหนาวและความกดดันต่ำที่อยู่ภายนอก
เมื่ออยู่ในสภาพนี้ การใช้พลังเวทมนตร์ของเธอจะมากกว่าเวลาบินปกติอย่างมาก
ในตอนที่ทดสอบพลังโรแลนด์ก็เคยเตือนแล้ว ที่ไลต์นิ่งไม่สามารถบินในสภาพความเร็วเหนือเสียงได้เป็นระยะเวลานาน บางทีอาจไม่ได้เป็นเพราะว่าการบินด้วยความเร็วสูงนั้นต้องใช้พลังเวทมนตร์เยอะ หากแต่เป็นเพราะการสอดประสานพลังเวทมนตร์ที่ทำให้ร่างกายสามารถอยู่ในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงได้ต่างหากที่ใช้พลังเวทมนตร์เยอะ
ด้วยเหตุนี้เวลาลาดตระเวนปกติเธอจึงไม่ค่อยบินด้วยความเร็วเสียง
สำหรับแม่มดแล้ว การใช้พลังเวทมนตร์สุ่มสี่สุ่มห้าจนหมดถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
แต่แน่นอน ในเวลานี้ทิลลีเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่านั้น อากาศที่เบาบางทำให้เธอหายใจได้ลำบากอย่างมาก การหมุนด้วยความเร็วสูงสุดของเครื่องยนต์และลมอันรุนแรงที่ปะทะเข้ามาทำให้ห้องโดยสารมีเสียงรบกวนและสั่นสะเทือนขึ้นมา เมื่อไม่มีการสอดประสานพลังเวทมนตร์ช่วยปกป้องร่างกายเอาไว้ เธอก็ได้แต่ต้องพึ่งร่างกายตัวเองเท่านั้น
บนหน้าปัดแสดงความเร็วแสดงให้เห็นว่าตอนนี้ฟินิกส์บินด้วยความเร็วเกือบ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว
นี่มันเกินกว่าขีดจำกัดความเร็วของมันไปมากแล้ว
ถึงแม้ไลต์นิ่งจะยังคงบินนำหน้าเครื่องบินอยู่ แต่เธอก็ไม่มีเวลาที่จะใช้รูนสดับในการพูดกับทิลลีอีก
ถูกต้อง แรงที่ทิลลียืมก็คือแรงโน้มถ่วง
ก่อนหน้านี้ตอนที่จับเครื่องบินปีกสองชั้น เธอพบว่าในตอนที่ระดับความสูงที่สะสมเอาไว้เปลี่ยนเป็นความเร็ว มันจะสามารถทำลายขีดจำกัดของเครื่องบินได้
แต่การทำแบบนี้ก็มีความเสี่ยงที่ไม่อาจมองข้ามได้เหมือนกัน น้อยหน่อยก็จะไม่สามารถเชิดหน้าขึ้นมาได้ หนักหน่อยก็อาจจะเครื่องบินแยกส่วนกลางอากาศ
ถ้าไม่เป็นเพราะเธอสามารถใช้ความสามารถในการรับรู้ขีดจำกัดนั้นได้ เธอคงไม่กล้าใช้การพุ่งลงมาในการเพิ่มความเร็วในระหว่างที่ทำการทดลองบินแบบนี้ได้
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ โอกาสที่จะไล่ตามไลต์นิ่งได้ทันก็ยังน้อยนิด
เธอจำคำพูดที่โรแลนด์เคยบอกเธอได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดของใบพัด การที่เครื่องบินที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ลูกสูบจะบินเร็วกว่าความเร็วเหนือเสียงได้นั้นจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สูงมาก พูดอีกอย่างก็คือได้ไม่คุ้มเสีย จนกระทั่งภายหลังเมื่อมีเครื่องยนต์ไอพ่นออกมา ใบพัดจึงได้ถูกแทนที่อย่างรวดเร็ว แต่ไลต์นิ่งกลับเร่งความเร็วทะลุกำแพงเสียงได้ทุกเมื่อ ความแตกต่างของทั้งสองนั้นไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
ดังนั้นเธอจึงต้องใช้สิ่งอื่นมาช่วย
เมื่อพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง ชั้นเมฆที่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น ณ ระดับความสูง 2,500 เมตรนั้นเป็นเหมือนแผ่นดินที่พุ่งขึ้นมาชนทั้งสองคน
ฟินิกส์พุ่งเข้าไปในก้อนเมฆ บนชั้นเมฆมี ‘เสาหมอก’ พุ่งขึ้นมา!
ความเร็วของเครื่องบินในเวลานี้มากกว่า 900 กิโลเมตรต่อชั่วโมง การสั่นสะเทือนเริ่มลามจากตัวเครื่องไปยังปีกทั้งสองข้าง เธอสามารถรับรู้ถึงปีกเครื่องบินที่กำลังผ่ากระแสอากาศที่อยู่ด้านหน้าเหมือนใบมีดได้ การเสียดสีด้วยความเร็วสูงทำให้อากาศไม่ได้เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อีกต่อไป หากแต่เหมือนกำแพงหนาๆ
ไลต์นิ่งหายไปจากสายตาของเธอแล้ว
ทิลลีรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว
ถ้าเป็นคนทั่วไป สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือจะทำอย่างไรถึงจะทำให้เครื่องบินเชิดหน้าขึ้นมาใหม่ได้ แต่ไม่ได้คิดที่จะทำให้มันพุ่งลงไปให้เร็วขึ้น มีแต่ทิลลีเท่านั้นที่ยังควบคุมเครื่องบินที่อยู่ในสภาพที่สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงได้อย่างแม่นยำ แล้วก็ใช้ประโยชน์จากการปรับหางเสือมาเพิ่มความเร็วให้มากขึ้น
ถึงแม้ความเร็วที่เพิ่มขึ้นจะไม่ได้มาก แต่มันก็เพียงพอที่จะทำให้ร่นระยะห่างจากคนที่บินนำอยู่ข้างหน้าได้
ในตอนที่ฟินิกส์เข้าใกล้ขีดจำกัด เครื่องบินของเธอก็พุ่งออกมาจากชั้นเมฆ!
แผ่นดินที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาปรากฏขึ้นตรงหน้าเธออีกครั้ง
สิ่งที่ปรากฏขึ้นมาพร้อมกันยังมีไลต์นิ่งด้วย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ที่เธอบินนำอยู่ 100 เมตรมาโดยตลอด ในเวลานี้เธอบินอยู่ในระนาบเดียวกับเครื่องบินรุ่นใหม่แล้ว ทิลลีรู้ว่าตัวเองได้เข้าสู่ความเร็วเสียงแล้ว แต่จากนั้นเธอก็ลดความเร็วลง ก่อนจะเอียงตัวไปพิงกระจกด้านหนึ่งในห้องคนขับ
‘สมแล้วที่เป็นองค์หญิงทิลลี’ สีหน้าของไลต์นิ่งไม่ได้แสดงออกถึงความเสียใจ หากแต่เผยให้เห็นถึงความนับถือ ‘แม้แต่ชั้นเมฆก็ยังเอาไปคิดคำนวณด้วย’
“ถ้ามันบางกว่านี้อีกนิด ข้าคงตามไม่ทันเจ้าแล้ว” ทิลลีด้านหนึ่งก็ดึงเครื่องบินให้กลับมาอยู่ในแนวราบ อีกด้านก็ยิ้มๆ พูดตอบกลับไป
แผนการตั้งแต่แรกของเธอคือใช้ประโยชน์จากการพุ่งลงมาทำให้ไลต์นิ่งเคยชินกับการเร่งความเร็วที่คงที่ ก่อนที่สุดท้ายเธอจะทำการโจมตีกลับโดยใช้ก้อนเมฆบดบังตัวเองเอาไว้ ถึงแม้มันจะแค่ชั่วพริบตา แต่ฟินิกส์ก็สามารถไล่ตามขึ้นมาได้จริงๆ
‘เดี๋ยวๆ นี่พวกเราบินมาที่ไหนเนี่ยจิ๊บ?’ เมซี่ยื่นหน้าออกมาจากอกของไลต์นิ่ง
“เอ่อ…” ทิลลีเอียงตัวก้มมอง ก่อนจะพบว่าภาพทิวทัศน์ด้านล่างล้วนแต่เป็นภาพที่เธอไม่เคยเห็น ส่วนเทือกเขาสิ้นวิถีนั้นถูกพวกเธอสลัดทิ้งไปไกลแล้ว เมื่อครู่นี้เธอทุ่มสมาธิอยู่กับการไล่ตามจนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเธอบินมาทางตะวันตกเฉียงเหนือไกลเท่าไร “ที่นี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบลุ่มบริบูรณ์ล่ะมั้ง?”
‘น่าจะใช่เพคะ’ ไลต์นิ่งหยิบเอากล้องส่งทางไกลขึ้นมา ‘แต่ว่าเป็นที่ราบลุ่มบริบูรณ์ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยเข้าไปมาก่อน ถ้าวิเคราะห์ดูตามเส้นทางล่ะก็ ด้านตะวันออกของพวกเราน่าจะเป็นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างวูล์ฟฮาร์ทกับอีเทอร์นอลวินเทอร์ ส่วนตรงหน้าเราก็คือสันหลังของทวีป…’
พอพูดถึงตรงนี้เสียงของเธอพลันหยุดชะงักไปทันที
“ทำไมเหรอ?”
ทิลลีมองไปตามทิศทางที่ไลต์นิ่งบอก จากนั้นเธอพลันตกตะลึงไปทันที
อีกด้านหนึ่งไกลออกไปมีเทือกเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอก ดูแล้วสูงใหญ่กว่าเทือกเขาสิ้นวิถีมาก แต่เนื่องจากเธอเคยได้ยินเรื่องของมันจากปากอกาธากับทีมนักสำรวจมานานแล้ว เธอจึงไม่ได้รู้สึกตกใจอะไรมากในตอนที่เห็นมันเป็นครั้งแรก
สิ่งที่ทำให้เธอตกตะลึงคือด้านบนเทือกเขา
เธอเห็นชั้นเมฆสีแดงคล้ำที่หนาแน่นจับตัวอยู่เหนือยอดเขา สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนแลบแปลบๆ อยู่ในหมู่เมฆ ดูแล้วเหมือนเป็นพายุที่ก่อตัวขึ้นมาจากเลือดสดๆ
นั่นไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติแน่นอน
เมฆสีแดงเหล่านั้นทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
…………………………………………………………….