ตอนที่ 901 ศิษย์ล้างครู

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

กึก!

กระบี่ปะทะเข้าหากัน ถึงแม้ว่ามู่เฉียนซีจะมีกระบี่มังกรเพลิงอยู่ในมือ แต่มู่เฉียนซีกลับมิได้ได้เปรียบเลยแม้แต่น้อย ซ้ำยังถูกกู้ไป๋อีบีบเค้นเข้าไปอยู่ในจุดที่น่าอายเสียอีก

ความแตกต่างในปัจจุบันนี้มากเสียกว่าตอนที่นางสะกดพลังความสามารถเอาไว้เสียอีก!

กู้ไป๋อีกล่าวอย่างราบเรียบ “เจ้ามิใช้กระบวนท่านั้นหรือ?”

กระบวนท่าเดียวที่นางมิได้ใช้นั่นก็คือบัวแดงพิฆาต นั่นเป็นกระบวนท่าขั้นสูงในชั้นกลางที่เอาไว้พิฆาตฆ่าศัตรู

“กู้ไป๋อี เจ้าเข้าใจอะไรผิดไปหรือไม่! ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงจักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น มิใช่จักรพรรดิยอดยุทธ์ขั้นที่เก้าเต็มขั้น ถ้าหากว่ากระบวนท่านี้ตกลงไปบนตัวของเจ้า ถึงต่อให้ข้ามิอยากที่จะฆ่าเจ้า แต่เกรงว่าชีวิตของเจ้าคงจะถึงแก่อนิจจา”

กู้ไป๋อีกล่าว “ข้ารักชีวิตของตน”

หากเขากล่าวว่ารักชีวิต แน่นอนว่าจะไม่เอาชีวิตของตนเองมาล้อเล่นอย่างแน่นอน

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าเองก็อยากที่จะทำให้เจ้าพ่ายแพ้อย่างหนักหน่วง ในเมื่อเป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจแล้ว”

กระบี่เล่มยาวของมู่เฉียนซีฟาดฟันออกไป พลังวิญญาณที่รอบด้านนั้นได้ก่อตัวหมุนวนขึ้นมา เพลิงสีแดงเข้มก็ได้ปะทุออกมา ทำให้บรรยากาศรอบด้านนั้นร้อนระอุ

กู้ไป๋อีได้นำกระบี่ของเขาขึ้นมาแล้วอัดพลังชีวิตเข้าไปในนั้น กระบี่ยาวเล่มนั้นได้ฟาดฟันกวาดผ่านออกไปเป็นพลังอันเย็นยะเยือกพลังหนึ่ง

“เงาเหมันต์จันทรา!”

วงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันเย็นยะเยือกสีเงินได้ปะทะเข้ากับดอกบัวสีแดงดอกนั้น!

บึ้ม!

ในตอนนี้น้ำแข็งและเปลวเพลิงได้ปะทะเข้าด้วยกัน ทั้งจวนตระกูลเย่ได้เกิดเสียงระเบิดกึกก้องอันน่ากลัวขึ้นมา

เย่เฉินที่เพิ่งจัดการธุระเสร็จแล้วได้กลับมายังจวน เมื่อได้ยินเสียงนั้นเข้าก็ตะลึงงัน

นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?

เขาพุ่งเข้าไปในที่เกิดเหตุทันที บัดนี้ก็ได้เห็นผู้เป็นนายของตนร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศพร้อมด้วยเลือด เขาคิดที่จะพุ่งเข้าไป

แต่เมื่อมองไปที่เงาร่างสีขาวที่เหาะอยู่นั้น อย่างน้อยผู้นั้นต้องเป็นระดับจักรพรรดิผู้หนึ่ง

ชุดสีขาวนั้นเยือกเย็นราวกับเทพแห่งภูเขาน้ำแข็งก็มิปาน และเป็นผู้ที่เขาเองก็คุ้นเคย เห็นกันอยู่ว่าเมื่อตอนเช้านั้นเขายังเป็นผู้ที่ไร้วรยุทธ์ผู้หนึ่ง แต่บัดนี้กลับกลายเป็นจักรพรรดิยอดยุทธ์

เย่เฉินกล่าว “ท่านกู้ นายท่าน นี่คือ?”

“การประลอง!” กู้ไป๋อีกล่าวอย่างเย็นชา

“ท่านกู้ นี่ท่านลงมือหนักไปหน่อยหรือไม่?” เย่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ยังมีลมหายใจอยู่!” เมื่อกล่าวจบ เขาก็ได้พามู่เฉียนซีจากไป

ยังเหลือลมหายใจอยู่ไม่นับว่าลงมือหนักหน่วงไปหรือ?

เมื่อมู่เฉียนซีตื่นขึ้นมาก็รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างกำลังจะแหลกแยกออกจากันก็มิปาน

แสงจันทราอันเย็นยะเยือกที่ถูกปล่อยออกมานั้นแข็งแกร่งไปนัก

เดิมทีนางคิดว่าตนเองมีวิชาที่ได้รับการสืบทอดมาจากกระบี่มังกรเพลิง คงยากที่ทักษะกระบี่ของผู้ใดจะมาเทียบกับนางได้ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อเจอเข้ากับเจ้าตัวประหลาดกู้ไป๋อีแล้วจะพ่ายแพ้อย่างอนาถ!

เมื่อนางได้ลืมตาขึ้นมา บาดแผลก็ได้ถูกจัดการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แต่ทว่าก็ยังคงเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวเช่นเดิม มู่เฉียนซีรีบใส่ยาให้กับตนเอง อาการบาดเจ็บที่ช้ำในนั้นได้ฟื้นฟูขึ้นมาจนดีแล้ว

เมื่อจัดการเสร็จสิ้นมู่เฉียนซีหันหัวกลับไปก็ได้เห็นดวงตาที่เย็นยะเยือกคู่หนึ่ง มู่เฉียนซีพ่ายแพ้ให้แก่เขาก็เกิดความหดหู่ใจอยู่บ้างจึงมิได้กล่าวอะไร

กู้ไป๋อีกล่าวขึ้น “คุณหนูใหญ่คงแปลกใจเป็นอย่างมากว่าเหตุใดตนถึงพ่ายแพ้?”

มู่เฉียนซีพยักหน้าแล้วกล่าว “เจ้ารู้ใช่หรือไม่? จงบอกข้า”

“ทักษะกระบี่ของคุณหนูใหญ่ฝึกฝนมาไม่เพียงพอ และคุณหนูพึ่งพากระบี่ของตนเองมากไปนัก”

“อย่างที่สอง คุณหนูเป็นผู้บำเพ็ญภูตธาตุน้ำแต่กลับฝืนวิถีไปใช้ทักษะกระบี่ของธาตุไฟ ข้อบกพร่องนับเป็นร้อยประการ! คนปกติทั่วไปมองไม่ออก แต่ทว่ากับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง เพียงแค่มองครั้งเดียวก็สามารถอ่านได้ทะลุปรุโปร่ง”

“ดังนั้นแล้วทักษะกระบี่ในการโจมตีของคุณหนูยังมิสู้ทักษะวิญญาณในการโจมตี มันเป็นแค่เพียงการหลอกลวงเท่านั้น”

ทักษะวิญญาณของธาตุน้ำนั้นได้มาจากแหวนมังกรเทพวารี ความสามารถในการข้ามขั้นนั้นมีไม่มาก นางนั้นชำนาญเป็นอย่างดี

ส่วนทักษะตราประทับเลือดทั้งสองซึ่งก็คือ ทักษะเทียนซวนและทักษะตี้ซวนนั้นได้ถูกพญามารอย่างจิ่วเยี่ยฝึกฝนออกมา แต่ทว่าทักษะกระบี่ของกระบี่มังกรเพลิง…..

ดูเหมือนว่ากระบี่มังกรเพลิงจะยัดเยียดให้แก่นาง เมื่อมีพลังวิญญาณที่เพียงพอก็สามารถที่จะใช้มันออกมาได้

แต่ทว่ามิได้ล้ำลึกเข้าไปในวิถีของกระบี่ ทำให้เมื่อนางพบเจอกับผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงจึงปรากฏข้อบกพร่องนับร้อยประการ

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เสี่ยวไป๋ สอนทักษะกระบี่ให้แก่ข้า”

“คุณหนูเป็นผู้บำเพ็ญภูต!” ทักษะกระบี่ของนางเหมาะสมที่จะให้ผู้บำเพ็ญภูตมาสอนเสียมากกว่า ส่วนเขาเองนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ผู้หนึ่ง

มู่เฉียนซีโคจรเคล็ดวิชาต้านสวรรค์ขึ้นมา จากนั้นก็ยิ้มให้กับกู้ไป๋อีแล้วกล่าว “เสี่ยวไป๋ ตอนนี้เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญภูต?”

เคล็ดวิชาต้านสวรรค์นั้นเดิมทีมันเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของผู้บำเพ็ญภูตและผู้ฝึกยุทธ์ แต่ด้วยเพื่อป้องกันมิให้พิเศษเกินไป พลังชีวิตจึงได้ถูกเคล็ดวิชาต้านสวรรค์ปิดซ่อนเอาไว้

ปัง!

กู้ไป๋อีลุกขึ้นอย่างยืนดุดันขึ้นมา และมองที่มู่เฉียนซีด้วยความตะลึง

“เจ้า…เจ้ากลับเป็นผู้ที่สามารถฝึกได้ทั้งยุทธ์และบำเพ็ญภูต”

ผู้ที่สามารถมีความสามารถทั้งสองอย่างนี้ได้ โดยปกติแล้วจะมีอยู่เพียงแค่ในตำนานเท่านั้น เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

“เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่สามารถฝึกได้ทั้งยุทธ์และบำเพ็ญภูต แต่เจ้ากลับฝึกฝนพลังวิญญาณเป็นหลัก ช่างสิ้นเปลืองพรสวรรค์ของเจ้าเสียจริง”

มู่เฉียนซีโบกมือแล้วกล่าว “จะทำอย่างไรได้ พลังวิญญาณนั้นสะดวกแก่การปรุงยา แน่นอนว่าข้าจึงได้ฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณเป็นหลัก และด้วยเหตุเช่นนี้การฝึกยุทธ์ของข้ามันก็มิได้ตกต่ำลงด้วยมิใช่หรือ?”

“วันนี้ข้าถูกเจ้ากระตุ้นเข้า ดังนั้นแล้วข้าจึงไม่คิดที่จะปิดบัง ข้าอยากจะถามเจ้าว่าตกลงเจ้าจะตอบรับหรือไม่?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

กู้ไป๋อีมิได้กล่าวอะไร มู่เฉียนซีกระพริบตาแล้วกล่าวขึ้น “เจ้าคงไม่คิดที่จะให้ข้าไหว้ขอให้เจ้าเป็นอาจารย์จริง ๆ หรอกกระมัง!”

กู้ไป๋อีกล่าว “ถึงต่อให้รับเจ้าเป็นศิษย์ ด้วยความดื้อรั้นของเด็กสาวเช่นเจ้า ไม่แน่ว่าวันหลังเจ้าอาจจะเป็นศิษย์ล้างครู อย่างไรเสียก็ลืมมันไปเสียเถอะ”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าเจ้าไม่อยากที่จะสอนแล้ว ข้าเองก็จะไม่บังคับ!” มู่เฉียนซีกล่าวด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง

“ข้าสามารถสอนเจ้าได้ แต่ว่าเจ้าต้องนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน” กู้ไป๋อีกล่าว

“เอาของอะไรไปแลกเปลี่ยน?” มู่เฉียนซีถามขึ้น

“กระบี่คู่กายของข้านั้นไม่มีแล้ว กระบี่ของเจ้าที่ข้าใช้นั้นก็ได้พังไปเมื่อสู้กับเจ้าเมื่อก่อนหน้า ในเมื่อเจ้าเป็นนักหลอมอาวุธ เช่นนั้นจงหลอมกระบี่ให้ข้าหนึ่งเล่มก็แล้วกัน!”

มู่เฉียนซีตะลึงค้าง “เจ้าต้องการให้ข้าหลอมกระบี่?”

นางค่อนข้างที่จะรักไปในทางปรุงยา เรื่องการเรียนหลอมอาวุธนั้นเป็นเพราะจำเป็นต้องทำ ถึงแม้ว่าทักษะจะไม่เท่าไรก็ตาม

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าหลอมกระบี่? ข้าสามารถจ่ายหนักเพื่อที่จะให้นักหลอมอาวุธตีกระบี่ที่เจ้าพอใจขึ้นมา”

“คุณหนูใหญ่คิดว่า ถ้าหากว่าข้าต้องการให้นักหลอมอาวุธตีกระบี่ให้ข้า เช่นนั้นแล้วยังจะต้องให้คุณหนูออกโรงอีกหรือ?”

นางคิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าถูกต้อง เจ้าหมอนี่เป็นถึงบุคคลที่อยู่ระดับขั้นสุดยอด ไม่ว่านักหลอมอาวุธที่เก่งกาจเพียงใดก็ล้วนแต่ยินดีที่จะตีกระบี่ให้เขา

“แล้วทำไมเจ้า…?” มู่เฉียนซีไม่รู้ว่าเขามีแผนอะไรกันแน่

“การใช้กระบี่ของผู้หัดใหม่นั้น นับว่าเป็นการลองประสบการณ์ที่แตกต่างออกไป”

มู่เฉียนซีกล่าว “ข้าตอบตกลง”

กระบี่ที่ไม่ได้เรื่องเล่มหนึ่ง แลกกับผู้ที่เป็นยอดฝีมือในเรื่องทักษะกระบี่ของโลกทั้งสี่ทิศมาเป็นอาจารย์นั้นมันคุ้มค่ายิ่งนัก

“ข้าจะไปหลอมกระบี่ให้เจ้าเดี๋ยวนี้!” มู่เฉียนซีคิดที่จะลุกยืนขึ้นมา แต่ก็ได้ถูกกู้ไป๋อีจับตัวเอาไว้

“ในตอนนี้เจ้าจงพักฟื้นก่อน!”

มู่เฉียนซีตะลึงงัน นางนั้นลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท

“ยาของข้านั้นมีฤทธิ์ที่ไม่เลว ถึงแม้ว่าจะถูกเจ้าทำให้บาดเจ็บอย่างอนาถ แต่ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ดังนั้น….”

ปรากฏว่ากู้ไป๋อีก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “รักษาอาการบาดเจ็บก่อน!”

มู่เฉียนซีพยักหน้ากล่าว “ก็ได้ ๆ ข้าจะรักษาอาการก่อน”

เมื่อพบจุดอ่อนของตนเองแล้ว แน่นอนว่านางจึงอยากที่จะอุดจุดอ่อนนั้นให้ดี มิเช่นนั้นหากถึงเวลาที่ศัตรูค้นพบเข้า เช่นนั้นจะต้องตายอย่างอนาถเป็นแน่แท้

มู่เฉียนซีได้รักษาอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว นางได้ถามเย่เฉินถึงตำแหน่งห้องหลอมอาวุธของจวนตระกูลเย่

เมื่อเย่เฉินได้ยินว่ามู่เฉียนซีจะไปที่ห้องหลอมอาวุธก็ตะลึงงัน “ห้องหลอมอาวุธ? นายท่านจะไปที่ห้องหลอมอาวุธทำไม?”