ตอนที่ 792 วัตถุเซียนเป็นอิสระ
เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินชำเหลือบมองเซียนผู้คุมกฎนับสิบอย่างเย็นชา เขาจับกระบี่สังหารมังกรขึ้นด้วยสองมือพร้อมกับถ่ายเทพลังบรรพกาลลงไปในกระบี่อย่างไม่หยุดหย่อน
เขารู้ดีว่าการจะหนีในวันนี้เป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา เขาไม่มีความสามารถที่จะหลบหนีจากเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 8 มีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือสู้กับตาย
“แปดตระกูล แม้ว่าข้าจะตายวันนี้ แต่เจ้าจะได้รู้ว่ามันไม่ง่ายนัก” เสียงของเจี้ยนเฉินเย็นชามาก กระบี่สังหารมังกรปลดปล่อยแสงสีดำเข้มออกมา ผนวกกับพลังแห่งการทำลายล้างเริ่มทวีมากขึ้นและทรงพลังมากขึ้น
เจี้ยนเฉินไม่เก็บออมพลังไว้อีกต่อไป เขาถ่ายเทพลังงานจำนวนมหาศาลสำหรับการจู่โจมที่ทรงพลังที่สุด พลังงานบรรพกาลภายในตันเถียนถูกถ่ายเทเข้าไปในกระบี่สังหารมังกรอย่างต่อเนื่อง ภายในตันเถียน เม็ดพลังบรรพกาลขนาดเท่าหัวแม่มือกำลังหดตัวลงด้วยอัตราความเร็วที่มองเห็นได้
เม็ดพลังบรรพกาลคือแหล่งกำเนิดขุมพลังของเจี้ยนเฉิน หากว่าใช้พลังงานบรรพกาลมากเกินไป เม็ดพลังก็จะหดตัวจนกระจัดกระจายหายไป เมื่อเม็ดพลังหมดลง เจี้ยนเฉินก็จะสูญเสียการใช้พลังงานบรรพกาล
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังงานแห่งการทำลายล้างที่เพิ่มขึ้นทุกขณะในยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎ หัวหน้าตระกูลทั้งแปดต่างเริ่มค่อนข้างเคร่งขรึม ทันใดนั้นบางคนก็โห่ร้องออกมาว่า “พวกเราไม่สามารถปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปได้ ผู้อาวุโสฮีเรส มันจะดีกว่าน่ะหากท่านจบชีวิตหยางยู่เทียนเร็ว ๆ ก่อนที่อะไรก็ตามจะเกิดขึ้น”
ฮีเรสกล่าวอย่างไม่แยแส “ไม่มีปัญหา ถึงแม้พลังของหยางยู่เทียนจะแปลกประหลาด แต่เขาอ่อนแอเกินไป แม้ว่าเขาสามารถสำแดงความแข็งแกร่งของเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 5 เมื่อใช้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎได้ แต่เขาก็ไม่อาจคุกคามข้าได้อยู่ดี ข้าอยากจะดีนักว่าไพ่ใบสุดท้ายของหยางยู่เทียนคืออะไรและมันจะทรงพลังมากแค่ไหน” ดวงตาฮีเรสมองเจี้ยนเฉินปรากฏร่องรอยความดูแคลนเล็กน้อย เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “หยางยู่เทียน ข้าจะให้โอกาสครั้งหนึ่งแก่เจ้าเพื่อโจมตี หลังจากนั้น ข้าจะปลิดชีวิตของเจ้า”
เจี้ยนเฉินไม่กล่าวโต้ตอบ เขาควบคุมพลังบรรพกาลทั้งหมดในตันเถียน แล้วถ่ายเทเข้าสู่กระบี่ เนื่องจากพลังบรรพกาลถูกใช้ปริมาณมหาศาล ทำให้เม็ดพลังในตันเถียนหดตัวอย่างรวดเร็ว จากขนาดเท่าหัวแม่มือลดลงมาเหลือขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลือง
กระบี่สังหารมังกรในสองมือของเจี้ยนเฉินถูกห่อหุ้มด้วยไอพลังบรรพกาลทั่วดาบทั้งเล่ม ระลอกคลื่นพลังงานนั้นทรงพลังมาก กดทับช่องว่างมิติ ทำให้ช่องว่างมิติบิดเบือน ขณะเกิดรอยแตกสีดำปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ
แกรก !
ทันใดนั้น มีเสียงแตกร้าวเกิดขึ้นในฉันพลับ เจี้ยนเฉินจู่ ๆ ดวงตาก็หรี่แคบลง ถึงแม้เขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ แต่เขาสามารถรู้สึกถึงมันได้ รอยแตกขนาดเล็กเกิดขึ้นบนกระบี่ พลังบรรพกาลจำนวนมากที่รวมตัวกันในกระบี่ ทำให้ยุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎถึงขีดจำกัดที่จะทนทานต่อพลังได้แล้ว
เศษเสี้ยวความเหี้ยมโหดแวบผ่านนัยน์ตาเจี้ยนเฉิน เขาไม่ได้ยับยั้งพลังงาน ซ้ำยังบังคับพลังบรรพกาลให้พรั่งพรูเข้าไปในกระบี่รุนแรงมากยิ่งขึ้นแทน พลังงานของกระบี่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
เสียงรอยแตกดังขึ้นเรื่อย ๆ รอยแตกบนกระบี่แผ่ขยายไปเรื่อย ๆ จนเกิดรอยแตกระแหงขนาดเล็กปกคลุมกระบี่ทั้งเล่ม ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เหนี่ยวรั้งพลังไว้ เขาควงกระบี่ด้วยสองมือและชูมันขึ้นเหนือศีรษะ ก่อนจะตวัดลงด้วยพลังที่แยกภูเขาได้
ดาบฉีกกระชากพุ่งผ่านช่องว่างมิติและทำลายช่องว่างความว่างเปล่าได้อย่างง่ายดาย ต่อหน้าช่องว่างมิติ มันเชือดเฉือนช่องว่างมิติราวกับตัดเต้าหู้ ฉีกกระชากจนถึงจุดที่ช่องว่างมิติไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ทัน หลังจากนั้นไม่นาน กระบี่สังหารมังกรที่มีพลังงานบรรพกาลจำนวนมหาศาลได้ก่อตัวเป็นรังสีดาบขนาดใหญ่เสร็จสมบรูณ์ ดาบฉีที่น่าสะพรึงกลัวก็ถูกยิงออกไป
การตวัดนี้ไม่เพียงใช้ออกความแข็งแกร่งที่สูงที่สุดของเจี้ยนเฉินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังบรรพกาลส่วนใหญ่ที่มีอยู่ในร่างกายของเขาอีกด้วย การตวัดครั้งนี้นั้นทรงพลังเสียยิ่งกว่าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ที่ใช้ออกด้วยข้อกำหนดทางความแข็งแกร่ง ดังนั้นจะเห็นได้ว่ายุทธภัณฑ์ผู้คุมกฎจึงไม่สามารถทนต่อพลังขนาดนี้ได้
ปราณกระบี่ขนาดใหญ่พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับกลิ่นอายแห่งการทำลายล้าง เหล่าเซียนผู้คุมกฎจากแปดตระกูลที่ล้อมอยู่รอบ ๆ ต่างพากันตื่นตระหนก
“โอ้ พระเจ้า! รวมมือกันต้านมันเร็วเข้า ! ” ฮีเรสตะเบ็งออกมา เพื่อเรียกเซียนผู้คุมกฎทั้งหมดร่วมมือกันเข้าต้านปราณกระบี่ ในตอนนี้ เหล่าเซียนสีหน้าน่าเกลียดอย่างมาก พละกำลังการตวัดของเจี้ยนเฉินเหนือกว่าที่พวกเขาคาดคิดไปมาก พวกเขาไม่อาจเข้าใจว่าเจี้ยนเฉินสามารถสร้างการจู่โจมที่ทรงพลังแบบนั้นได้ยังไง ไม่ว่าพวกเขาจะครุ่นคิดยังไง พวกเขาก็ไม่เข้าใจ ต่อให้เป็นพวกเขาก็ไม่สามารถสร้างการจู่โจมที่ทรงพลังแบบนั้นได้
เซียนนับสิบยกมือขึ้นเพื่อกางม่านพลัง ในตอนนั้นเอง ม่านพลังก็ถูกสร้างขึ้น ปราณกระบี่ยักษ์กับม่านพลังปะทะกันเสียงดัง ม่านพลังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงก่อนที่จะเริ่มแตกเป็นเสี่ยง ๆ อย่างรวดเร็ว
พุ ! เลือดสด ๆ กระอักออกมาจากปากของเซียนคนหนึ่ง พลังการตวัดนี้ถูกสร้างจากพลังบรรพกาลส่วนใหญ่ของเจี้ยนเฉิน ดังนั้นความแข็งแกร่งของมันมีถึงระดับชั้นที่น่าสะพรึงกลัว มันเหนือยิ่งกว่าเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 และอาจทรงพลังถึงเซียนราชา ฮีเรสเป็นผู้ทรงพลังที่สุดท่ามกลางพวกเซียนที่นี่ และเขาเป็นคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในชั้นสวรรค์ที่ 8 พวกเขาไม่สามารถต้านทานปราณกระบี่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันก็ตาม
ปราณกระบี่ขนาดใหญ่ทำให้ม่านพลังแตกเป็นเสี่ยง ๆ ราวกับมีดร้อน ๆ ที่ตัดผ่านเนย และพุ่งไปหาเหล่าเซียนผู้คุมกฎ พวกเขาไม่สามารถที่จะหลบมันได้
ในนาทีวิกฤติ ฝ่ามือยักษ์จู่ ๆ ปรากฏ ราวกับกำแพงที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า มันตั้งตระหง่านอยู่ข้างหน้าเหล่าเซียนผู้คุมกฎและปกป้องพวกเขา
บูม ! ปราณกระบี่ยักษ์ที่ถูกควบรวมจากพลังบรรพกาลเข้าปะทะกับฝ่ามือทำให้เสียงดังกึกก้อง ระลอกคลื่นพลังงานขนาดใหญ่สร้างความหายนะไปทั่วทุกที่ เกิดการทำลายช่องว่างมิติและสร้างหลุมสีดำมืดดูดกลืนทุกสิ่งอย่างเข้าไป
ฝ่ามือราวกับโล่ที่มิอาจผ่านได้ มันปกป้องการจู่โจมของปราณกระบี่ไว้ได้อย่างสมบรูณ์ และช่วยชีวิตเหล่าเซียนผู้คุมกฎจากแปดตระกูลไว้ได้ทั้งหมด
ในที่สุด พลังงานของปรารกระบี่ก็ถูกผลาญไปทั้งหมดและหายไปในกลางอากาศ หลังจากนั้น ฝ่ามือยักษ์ก็จางหายไปอย่างช้า ๆ ก่อนที่จะสลายหมดไป ตอนนั้นเองก็ปรากฏชายชราเสื้อคลุมสีน้ำเงินและผู้หญิงวัยกลางคนเสื้อคลุมสีม่วงในท่าทางที่มือของนางถูกกางออก
“พวกเราทักทายผู้อาวุโสทั้งสอง ! “
ไม่นานเหล่าเซียนกล่าวกับบุคคลทั้งสองที่ปรากฏ เหล่าเซียนทั้งหมดคุกเข่าลงในท้องฟ้า สีหน้าของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
ผู้หญิงถอนมือเรียวบางของนางกลับอย่างช้า ๆ และจ้องมองรอบ ๆ อย่างไม่แยแส นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าระหว่างที่ไปเยือนตระกูลผู้พิทักษ์ เมืองจะวุ่นวายแบบนี้ หากข้าไม่กลับมาในตอนนี้ บางทีพวกเจ้าทั้งหมดคงไปเยี่ยมยมบาลแล้ว”
“ตรงตามที่ผู้อาวุโสว่าไว้ พวกเราขอขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตเรา” บรรพบุรุษทั้งหมดกล่าว เศษเสี้ยวความหม่นหมองปรากฏบนสีหน้าของพวกเขา การจู่โจมที่ตรงหน้าของพวกเขาทำให้พวกเขาทั้งหมดล้วนตกใจกลัว ประสบการณ์เฉียดตายเมื่อครู่นี้ ไม่ได้บังเกิดกับพวกเขามาหลายปีแล้ว
สายตาผู้หญิงมองที่เจี้ยนเฉินก่อนจะเห็นเสือขาวบนคอของเจี้ยนเฉิน กระตุ้นความสนใจของนาง แล้วนางกล่าวอย่างไม่แยแสว่า “เจ้าคงเป็นหยางยู่เทียนใช่หรือไม่ ? “
เจี้ยนเฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขารู้สึกเคร่งขรึมมาก ผู้หญิงคนนี้ป้องกันการจู่โจมที่ใช้พลังบรรพกาลมากที่สุดของเขาได้สบาย ๆ ดังนั้นไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยนางต้องเป็นเซียนราชาและต้องเป็นหนึ่งในเซียนราชาที่แข็งแกร่งที่สุดของที่แห่งนั้น
“ผู้อาวุโส เขาคือหยางยู่เทียน” เซียนผู้คุมกฎคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่ด้านหลังนาง
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะต่อสู้ได้ดีถึงปานนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าจำเป็นต้องปล่อยสัตว์อสูรโบราณข้างหลังนั้น เห็นทีจะเป็นพยัคฆ์ปีกเทวะ”ไม่นานที่ผู้หญิงคนนั้นพูดเสร็จ มิติรอบตัวเจี้ยนเฉินจู่ ๆ ถูกแช่แข็ง มิติที่แช่แข็งนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าของคนอื่น ๆ ที่เขาเคยพบในอดีตเสีย ดูเหมือนการสกัดกั้นนี้จะเป็นสาระสำคัญของธาตุเหล็กที่กักขังเขาอยู่ภายใน เขาไม่สามารถแม้แต่ขยับนิ้วได้ด้วยซ้ำ
ผู้หญิงคนนั้นปรากฏกายข้างหน้าเจี้ยนเฉินโดยไร้ซุ่มเสียง และกางมือขาวอันเรียวบางของนางไปยังเสือขาว
บูม !
ในตอนนั้นเอง เสียงกึกก้องรุนแรงจู่ ๆ ดังกระหึ่มในระยะไกล ๆ เสียงฟ้าร้องและผืนดินสะเทือน ทำให้เมืองทั้งเมืองสั่นไหวอย่างรุนแรง
มือของผู้หญิงคนนั้นที่กำลังจะมาถึงเสือขาวได้ชะงักกลางอากาศในทันที นางพลันหันศีรษะไปทางสำนักงานใหญ่สมาคม ขณะที่ดวงตาของนางหดแคบลงพลางจ้องมองอย่างไม่แยแส
เสียงโจมตีในฉันพลันได้ดึงดูดความสนใจของทุกคน ประธานและผู้อาวุโสสูงสุดก็หันหน้าไปทางที่มาของเสียง และไม่แปลกใจ ที่สำนักงานใหญ่สมาคมจะมุ่งหน้ามา
จู่ ๆ สีหน้าของประธานก็แปรเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาโห่ร้องออกมา “มันคือวัตถุเซียน บัดซบ วัตถุเซียนออกมา” ริ้วแสงสีทองพุ่งมาแต่ไกล ๆ ตรงเข้าไปในมือของเจี้ยนเฉิน มันคือหอคอยสีทอง สูงเพียง 3 นิ้วเท่านั้น
“มันคือวัตถุเซียน วัตถุเซียนของสมาคมเรา ทำไมวัตถุเซียนถึงออกมา ? ” สีหน้าของประธานแปรเปลี่ยนอีกครั้งและจ้องมองด้วยความไม่อยากเชื่อ
ผู้หญิงคนนั้นตกใจกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปในฉันพลัน อย่างไรก็ตาม นางก็ได้สติกลับมาหลังจากนั้นไม่ช้า และจ้องมองที่หอคอยขนาดเท่าฝ่ามือที่บินด้วยตนเองเข้าสู่มือของเจี้ยนเฉิน ประกายความแปลกใจแวบผ่านนัยน์ตาของนาง และนางจู่ ๆ ก็กางมือออกเหยียดมือไปยังมัน
ทันทีที่มือของนางเเอื้อมถึงมัน ทันใดนั้นกำปั้นขนาดใหญ่ก็โผล่ออกมาจากความว่างเปล่าแล้วบินตรงไปยังผู้หญิงคนนั้น
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างมากและมือของนางที่เอื้อมถึงหอคอยหยุดชะงัก เพื่อใช้ต้านรับหมัดที่เต็มไปด้วยชั้นหนาแน่นของพลังงานโลก
ปัง !
ทันใดนั้น เสียงดังราวฟ้าผ่า กำปั้นกระแทกกับมือของผู้หญิงคนนั้น ทำให้ห้วงมิติรอบ ๆ สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
หลังจากการจู่โจมนั้น สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นพลันเปลี่ยนไป นางพลันพุ่งถอยและจ้องไปที่กำปั้นด้วยท่าทีตกใจ นางโห่ร้องออกมาว่า “เซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 9 ! “
ชายวัยกลางคนร่างเปลือยอกปรากฏกายอย่างช้า ๆ เขาร่างกำยำล่ำสัน ไหล่กว้างและหนา และร่างกายของเขาได้แผ่กลิ่นอายความเข้มแข็งออกมา เขาชายตามองผู้หญิงคนนั้นอย่างไม่แยแสก่อนจะละความสนใจ เขาแหงนหน้าไปที่ท้องฟ้าก่อนจะพลันก้มลงมองพื้นดิน เขาเริ่มตื่นเต้นมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น เขาสั่นสะท้านเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า “ข้าได้ออกมาแล้ว ข้าได้ออกมาแล้ว ในที่สุดข้าได้ออกมาแล้ว ในที่สุดข้าจะได้กลับไปโลกบรรพบุรุษของข้า ! “
ชายวัยกลางคนคือสัตว์อสูรเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ภายในวัตถุเซียน มังกรทองเทวะยาว 300 เมตร
หลังจากชายคนนั้น ก็มีร่างอีกนับสิบร่างโผล่ออกมาอย่างช้า ๆ ในท้องฟ้า พวกเขาล้วนแผ่กลิ่นอายความแข็งแกร่งออกมา ส่งแรงกดดันเหล่าเซียนผู้คุมกฎที่อยู่ที่นี่จนถึงจุดที่ทำให้พวกเขาต่างหายใจได้ยากลำบาก
“ในที่สุดก็ได้ออกมา ในที่สุดพวกเราก็ได้ออกมา นับแต่จากนั้นไป พวกเราเป็นอิสระ พวกเราไม่ต้องติดอยู่ในห้วงมิติโลหิตอีกต่อไป”
“ในที่สุดข้าก็ได้ออกมา ข้าเป็นอิสระ…”
“ในที่สุดข้าก็ได้กลับคืนสู่โลกที่บรรพบุรุษของข้าจากมา…”
สัตว์อสูรระดับ 8 ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากวัตถุเซียนคำรามจนผืนดินสะท้านดังก้องไปทั่วท้องฟ้า เสียงของพวกมันเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และมีหลายคนที่กระทั่งเริ่มหลั่งน้ำตาออกมา เป็นน้ำตาแห่งความสุข
สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเริ่มน่าเกลียดมากขึ้นและนางโห่ร้องออกมาอย่างรินโรยว่า “ทำไมเซียนราชานับสิบถึงโผล่ออกมาที่นี่ ? หนึ่งในพวกเขาอย่างน้อยก็เซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 9 ไม่ ไม่ถูกต้อง นี้ไม่ใช่ตัวตนของมนุษย์ พวกมันทั้งหมดแท้จริงแล้วเป็นสัตว์อสูรระดับสูง” ผู้หญิงคนนั้นจู่ ๆ สีหน้าเริ่มซีดเผือด
ในเวลานี้ราชาเสือในปัจจุบันกำลังพักผ่อนอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ในมหาสมุทรทางเหนือ พลันลุกขึ้นยืน มันจ้องมองไปในทิศทางทวีปเทียนหยวนด้วยนัยน์ตาสีเลือดพลางกล่าวว่า “ทำไมตัวตนของสัตว์อสูรระดับ 8 นับสิบถึงจู่ ๆ ปรากฏกาย ? พวกเขาเป็นใคร ? “