ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 34 หลอมอาวุธคละถิ่นสำเร็จ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

เผชิญหน้ากับบรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล ตงป๋อเสวี่ยอิงก็แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วค้อมกายลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ ก่อนจะหายตัวไปกลางอากาศ

เขาจากไปและแสดงความเคารพก็เพื่อไว้หน้า ‘บรรพชนราตรีนิรันดร์และบรรพชนนิจรัตติกาล’ เขามองออกว่าบรรพชนราตรีนิรันดร์มีจิตคิดล่าถอยแล้ว ด้วยตัวตนของอีกฝ่ายย่อมมิอาจเอ่ยปากยอมแพ้อย่างแน่นอน ในทางกลับกัน เขา ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ยังค้อมกายแสดงความเคารพแล้วจากไป ให้อีกฝ่ายเหนือกว่าขั้นหนึ่ง

“พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์เป็นผู้นำของรัฐโบราณแห่งหนึ่ง แต่ตัวตนของข้า คนวิถีจิตฟ้าผู้นี้ กลับไม่มีจุดบกพร่องเลยแม้แต่น้อย แต่ก็มิอาจดูหมิ่นพวกเขามากจนเกินไปนัก เพื่อป้องกันมิให้พวกเขาโกรธเคือง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเข้าใจในจุดนี้

ถ้าหากเขา ตงป๋อเสวี่ยอิง ก็เป็นบุคคลผู้ไร้เทียมทานเช่นเดียวกัน ดูหมิ่นกันด้วยวาจาก็แล้วไปเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นบุคคลในระดับเดียวกัน

แต่ตอนนี้ถึงอย่างไรพลังยุทธ์ของเขาก็ด้อยกว่า ‘บุคคลผู้ไร้เทียมทาน’ อยู่มากนัก พลังยุทธ์ไม่สู้คน คราวนี้อีกฝ่ายต้องอดทน เดิมทีก็ไม่พอใจอยู่แล้ว ถ้าหากดูหมิ่นตามใจชอบ ก็ยากที่จะให้พวกบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่บ้าคลั่งอาละวาดใส่ผู้ใต้บังคับบัญชา!

“ไป”

บรรพชนนิจรัตติกาลหัวเราะเบาๆ เสียงหนึ่งแล้วก็หายตัวไปมิอาจเห็นได้อีก

บรรพชนราตรีนิรันดร์มองออกไปไกลอย่างเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง คราวนี้ในที่สุดเขาก็ถูกกดดันจนต้องยอมก้มหัวเป็นการชั่วคราว แล้วเขาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที

……

ผู้ที่ได้เห็นการต่อสู้นี้มีน้อยนิดยิ่งนัก แม้กระทั่งเทพจักรวาลส่วนใหญ่ก็มิได้เห็นการต่อสู้ครั้งนี้

ก็มีเพียงแค่บุคคลผู้ไร้เทียมทานและบุคคลขั้นสุดยอดที่มีเพียงน้อยนิด ที่เพราะว่ารู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นของการต่อสู้ จึงได้ ‘ชมดู’ การต่อสู้ครั้งนี้อยู่ห่างๆ! ถึงแม้ว่าจำนวนของผู้แกร่งกล้าที่ชมดูการต่อสู้ครั้งนี้จะน้อยนิดเป็นที่สุด แต่ผลกระทบกลับยิ่งใหญ่เหลือเกิน

“บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันลอบจัดการก็ยังไม่สามารถทำให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตนได้เลย หลังการต่อสู้ครั้งนี้ ภายในระยะเวลาอันสั้น ก็ยากยิ่งที่จะสั่นคลอนคนวิถีจิตฟ้าผู้นี้แล้วล่ะ”

“อืม บรรดามารเหล่านั้นตั้งตารอให้คนวิถีจิตฟ้าเปิดเผยตัวตน เกรงว่าคงต้องรอนานมากเสียแล้วล่ะ”

“ช่างร้ายกาจเสียจริง บรรพชนทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนร่วมมือกันขึ้นมาก็น่าหวาดหวั่นเป็นที่สุด พวกเขาสองคนร่วมมือกันก็ยังจัดการคนวิถีจิตฟ้ามิได้ เกรงว่าคงต้องเป็นรัฐโบราณสหโลกาและรัฐโบราณคิมหันตวายุจึงมีหวังที่จะจัดการคนวิถีจิตฟ้าได้กระมัง เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะ คงมีไม่กี่คนหรอกที่จะไม่รักษาหน้าตาแล้วทำการลอบโจมตีเหมือนพวกบรรพชนราตรีนิรันดร์”

“ในระยะเวลาสั้นๆ นี้ คนวิถีจิตฟ้า ไร้กังวล!”

แต่ละฝ่ายต่างก็ทำการคาดการณ์ออกมา

บุคคลผู้ไร้เทียมทานทำการลอบโจมตีขั้นสุดยอดที่พลังยุทธ์อ่อนแออีกทั้งยังไม่มีสมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงคนหนึ่งอย่างนั้นหรือ เดิมทีก็ไร้ยางอายอยู่พอสมควรแล้ว

ร่วมมือลอบโจมตีหรือ

ก็ยิ่งหน้าไม่อายเข้าไปใหญ่แล้ว

ก็มีแต่สองท่านนั้นของรัฐโบราณบรรพชนที่สามารถทำเช่นนี้ได้อย่างสบายๆ นิสัยอย่าง ‘จักรพรรดิเซี่ย’ หรืออย่าง ‘จักรพรรดิเทพผลาญโลกา’ หากให้พวกเขาทำเช่นนี้ก็เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าอย่างยิ่ง! นอกเสียจากว่าจะมีผู้ที่ส่งผลกระทบไปถึงความหวังในการบรรลุ ‘คละถิ่น’ ของพวกเขาปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงจะไม่เสียดายสิ่งใด อย่างเช่นสงครามประเทศโบราณครั้งที่หนึ่งและสงครามประเทศโบราณครั้งที่สอง

ในยามปกติ คนส่วนใหญ่ต่างก็ให้ความสำคัญกับสถานะและหน้าตากันเป็นอย่างยิ่ง

*******

ชายหนุ่มหล่อเหลางดงามในอาภรณ์ทองงามหรูผู้สวมมงกุฎไว้บนศีรษะนั่งอยู่บนราชบัลลังก์ตามลำพัง ถือสุราผลไม้สีแดงเลือดหมูเอาไว้ เขามองออกไปไกล สายตาของเขามองเห็นลำดับเหตุการณ์การต่อสู้เมื่อครู่ทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

“ตั้งแต่กลับมาถึงยังดินแดนจิตโลกาก็ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมาโดยตลอด” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำ มุมปากผุดรอยยิ้มขึ้นมา “ก็มีแต่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นจึงจะทำให้ข้าได้รู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายของวันคืนเมื่อครั้งกระโน้นได้ใหม่อีกครั้ง”

หุบเขาเขี้ยวหัก

สถานที่อันตรายอันดับหนึ่งแห่งดินแดนจิตโลกา ซากศพของสิ่งมีชีวิตคละถิ่นจำนวนหนึ่งถูกโยนเอาไว้ที่นั่นทั้งยังมีบุคคลผู้ไร้เทียมทานที่ตายตกอยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน

กลับมาถึงบ้านเกิด สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ก็มีเพียงแค่หุบเขาเขี้ยวหักเท่านั้นที่ยังมีแรงดึงดูดต่อเขาบ้าง

“หยวน”

“ข้าล้มเหลวเสียแล้ว ก็จะไม่ให้โอกาสกับข้าอีกแล้วหรืออย่างไรกัน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเงยหน้าขึ้นมอง สายตาทะลุผ่านผนังโถงตำหนัก ทะลุผ่านอากาศอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แล้วก็ได้เห็นห้วงมิติระดับที่สูงกว่าอย่างรางๆ

เขาไม่ยอมจำนนหรอก

ไม่ยอมจำนนใจจริงๆ!

“ยอมไม่ได้จริงๆ ก็แค่มดปลวกในกรงขังตัวหนึ่งเท่านั้นเองนะ” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามเอ่ยเสียงต่ำ

“ราชันย์อนธการ ท่านก็ได้เห็นแล้วนี่ขอรับ คนวิถีจิตฟ้าผู้นั้นยากที่จะไปพัวพันด้วยจริงๆ ดังนั้นยังขอให้ท่านราชันย์อนธการโปรดขยายเวลาให้อีกสักหน่อยเถิด ภายใต้ความจำกัดของระยะเวลาแต่เดิมนั้นข้าไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ นะขอรับ” บรรพชนราตรีนิรันดร์ถ่ายเสียงพูด

มุมปากของชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามผุดรอยยิ้มเย็น “ราตรีนิรันดร์ ตอนนั้นเจ้าเองก็ได้ให้คำสัตย์สาบานเอาไว้แล้ว ตัวเองก็ต้องยอมรับสิ! สำหรับเวลาน่ะหรือ ข้าอนุญาตให้เจ้าได้มากที่สุดเป็นระยะเวลาสองเท่าของกำหนดเวลาเดิม แต่เมื่อใดที่เวลาขยายออกไปถึงสองเท่า ผลประโยชน์ที่ข้ารับปากเอาไว้ก็ต้องลดลงครึ่งหนึ่งล่ะนะ”

บรรพชนราตรีนิรันดร์เงียบงันไปในทันที

“แน่นอน ถ้าหากทำสำเร็จภายในระยะเวลาเท่าเดิม ก็จะเหมือนกับที่ตกลงไว้แต่แรกอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามพูด

เงื่อนไขของเขาก็นับได้ว่าผ่อนคลายแล้ว

อ้างอิงตามเงื่อนไขเดิม เมื่อใดที่เวลาน่าพึงพอใจ เช่นนั้นก็เป็นการผิดคำสาบานเสียแล้ว

ตอนนี้ขยายเวลาออกไปถึงสองเท่า ก็ยังอยู่ในขอบเขตของคำสาบานอยู่

“เอาล่ะ ข้าเห็นด้วย” บรรพชนราตรีนิรันดร์รับคำ

ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยัน จากนั้นนัยน์ตาทั้งสองก็มีเปลวเพลิงสีดำลุกโชน เขาเอ่ยด้วยเสียงเบาทุ้มต่ำว่า “คนวิถีจิตฟ้าหรือ น่าสนใจทีเดียว จะคุกคามเหล่ามารทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาด้วยกำลังของตนเพียงคนเดียว จะสิ้นเปลืองแรงไปหน่อยหรือไม่ ตรวจสอบตัวตนของเขาแล้วหรือ”

สำหรับเหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานของดินแดนจิตโลกา กลิ่นอายที่ปลอมแปลงขึ้นมาของคนวิถีจิตฟ้านั้นไร้ซึ่งจุดบกพร่อง แต่สำหรับราชันย์อนธการอมตะที่ประสบกับภยันตรายจำนวนนับไม่ถ้วนจากภายนอกมาแล้วกลับมีวิธีสอดแนมได้

“โง่เง่านัก”

ชายหนุ่มผู้หล่อเหลางดงามขมวดคิ้วมุ่น “พละกำลังที่สะสมมาอย่างยากลำบาก จะมาใช้กับเรื่องที่เพียงเพราะ ‘ใคร่รู้’ เช่นนี้ได้อย่างไรกัน ดูท่าทางกลับมายังดินแดนจิตโลกาแล้วจะสุขสบายมานานเกินไป ไม่มีอันตราย  บวกกับการตัดโอกาส ความคิดจิตใจของข้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว ความคิดจิตใจเช่นนี้ยังนึกอยากจะไปศึกษา ‘การใช้พลังทำลายกฎ’ ที่เจ้าเมืองหลัวอาศัยความทุ่มเทพากเพียรพยายามอย่างมหาศาลอีกหรือ”

สลัดความคิดที่อยากจะสอดแนมตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าทิ้งไปจากสมองอย่างรวดเร็ว

สำหรับราชันย์อนธการอมตะแล้ว ‘คนวิถีจิตฟ้า’ ก็เป็นเพียงแค่ความสนุกเท่านั้น ไม่มีการคุกคามเลยแม้แต่นิดเดียว

……

กาลเวลาเคลื่อนผ่าน

เช่นเดียวกันกับที่สุดยอดผู้แกร่งกล้าจำนวนมากตระหนักดี ถึงแม้ว่าการเผชิญหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงกับบุคคลผู้ไร้เทียมทานทั้งสองของรัฐโบราณบรรพชนจะมีผู้แกร่งกล้าที่ได้เห็นเพียงน้อยนิดอย่างยิ่ง แต่ผลกระทบก็ยังแผ่ขยายออกมาอยู่ดี

ความเป็นระเบียบทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเป็นอย่างมาก

แม้กระทั่งสถานที่แต่ละแห่งที่มารมารวมตัวกันก็ยังเก็บเนื้อเก็บตัวลงไปเป็นอันมาก! ถึงแม้ว่าจะยังมีเรื่องโหดร้ายทารุณเกิดขึ้นอยู่บ้างเช่นเคย แต่ก็ยังห่างไกล มิอาจเทียบได้กับการสังหารหมู่ ตงป๋อเสวี่ยอิงห้ำหั่นกับบรรดาผู้แกร่งกล้าที่โหดเหี้ยมเหล่านั้น ‘วิธีการคัดกรองของวิถีมาร’ เขาก็มิได้สอดมือยุ่งเกี่ยวเลย

ในระหว่างที่กาลเวลาเคลื่อนผ่านไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ยังคงอาศัยตัวตนของคนวิถีจิตฟ้าออกมาสังหารกำจัดมารที่สังหารหมู่ตามอำเภอใจบ้างเป็นครั้งคราว

มีผู้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อยู่ตลอด

มีผู้ที่คิดว่าคงโชคดีรอดพ้นได้อยู่ตลอด

มีผู้ที่ระงับความบ้าคลั่งในจิตใจเอาไว้มิได้อยู่ตลอด

กำจัดให้สิ้น!

เพียงพริบตาก็ผ่านไปหมื่นล้านปีแล้ว

สำหรับเทพจักรวาลแล้วระยะเวลาเล็กน้อยเท่านี้ก็เป็นเพียงแค่ช่วงเวลาปลีกวิเวกระยะสั้นช่วงหนึ่งเท่านั้นเอง สำหรับตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เป็นระยะเวลาบำเพ็ญที่ค่อนข้างสั้น แม้กระทั่งอาศัย ‘บุปผาโลกา’ ถึงแม้ว่าเขาจะมีความก้าวหน้าในด้านวิถีอากาศมากพอสมควรอีกครั้ง ถึงขนาดที่ทดลองขัดเกลากระบวนสังหารที่ห้าอย่างต่อเนื่อง แต่ระยะเวลา ‘ผ่านไปหมื่นล้านปี’ นี้ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ…

อาวุธคละถิ่น ในที่สุดก็หลอมได้สำเร็จแล้ว!

“ฟึ่บๆๆ”

ที่กลางห้องเงียบ

กลิ่นหอมแผ่กระจาย ตงป๋อเสวี่ยอิงอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น ที่เบื้องหน้าเขา หอกยาวสีดำสนิทเล่มหนึ่งแขวนลอยอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าจะเยือกเย็นและธรรมดา แต่ถ้าหากรับสัมผัสอย่างละเอียดแล้วกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างมิอาจอธิบายได้! นั่นคือพลังที่มาจากโลกระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก วัสดุหลักที่สำคัญที่เป็นหัวใจของอาวุธคละถิ่นก็คือ ‘เม็ดทรายอลวน’

เม็ดทรายอลวนหนึ่งแสนชั่ง ปล้นชิงเม็ดทรายอลวนทั่วทั้งดินแดนจิตโลกาไปกว่าครึ่ง

โชคดีที่ ‘เม็ดทรายอลวน’ สูงส่งเกินไป เป็นมวลสารระดับขั้นที่สูงขึ้นอีก กลับทำให้เหล่าบุคคลผู้ไร้เทียมทานมิอาจใช้ประโยชน์ได้ รู้ดีว่าความเป็นมาไม่ธรรมดา ราคาก็ถูกกำหนดไว้อย่างเรียกได้ว่าแพงลิบลิ่ว แต่ไม่มีวิธีเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ตงป๋อเสวี่ยอิงอาศัยตำราโลกเทียมก็ยังได้มาไว้ในครอบครองจนได้

หล่อหลอมอย่างยากลำบากทีละขั้นละตอนมาเป็นเวลาหมื่นล้านปี ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายแล้ว

“สวบ”

ของเหลวสีม่วงทองกลางอากาศสายหนึ่งเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นค่ายกลแห่งหนึ่งกลางอากาศ ความเร็วในการเปลี่ยนแปลงนั้นเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง

ช่วยไม่ได้ ค่ายกลระดับสูงเกินไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงได้แต่อาศัยเจ็ดกระบวนคละถิ่น ภาพค่ายกลที่มีวิธีการหลอมติดมาด้วย ค่อยๆ ทำการควบคุมอย่างช้าๆ ถ้าหากให้เขาทำออกมาทั้งหมดในคราวเดียวนั้นเขาก็มิอาจทำได้

กว่าหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ผ่านไป ค่ายกลที่แปรเปลี่ยนจากของเหลวสีม่วงทองจึงเสร็จสมบูรณ์ เมื่อค่ายกลสำเร็จ ทั้งหมดก็กึ่งโปร่งแสง วับๆ แวมๆ คล้ายว่าจะอยู่ภายในโลกกำเนิด แล้วก็คล้ายว่าจะเชื่อมต่อกับมิติที่สูงกว่านอกโลกกำเนิด

“พรวด”

ค่ายกลนี้พุ่งเข้าใส่หอกยาวเล่มนี้ตามการควบคุมของตงป๋อเสวี่ยอิง

ในขณะที่พุ่งเข้าไปนั้นเอง

รัศมีค่ายกลจำนวนนับไม่ถ้วนสว่างวาบขึ้นบนหอกยาวในทันที พลังอันน่าหวาดหวั่นพุ่งปะทะออกไปทุกทิศทุกทาง ผิวกายของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีห้วงมิติชั้นแล้วชั้นเล่าต้านทานอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดที่พลังของการปะทะนี้ยังพุ่งทะลุการต้านทานทั้งหมด ปะทะบนร่างของตงป๋อเสวี่ยอิง ทำให้ร่างกายที่แกร่งกล้าของเขายังรู้สึกได้ถึงแรงปะทะอันน่าหวาดหวั่น ถูกทำให้ตื่นตระหนกเสียจนเหินลอยถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัวแล้วกระแทกเข้ากับผนังห้องเงียบ

โชคดีที่ห้องเงียบมีค่ายกลคุ้มกันอยู่อย่างหนาแน่น ด้วยเป็นถึงหัวใจสำคัญของทั้งเมืองหิมะเหิน จึงยังสามารถระงับกลิ่นอายที่ระเบิดออกมานี้เอาไว้ได้

หลังจากที่เก็บกลิ่นอายของหอกยาวสีดำสนิทเล่มนี้เอาไว้แล้ว ความคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงก็แทรกผ่านเข้าไปในทันที อาศัยเคล็ดวิชาเริ่มต้นปลอบประโลมอาวุธคละถิ่นอันน่าหวาดหวั่นเล่มนี้ อาวุธคละถิ่น เดิมทีก็เป็นอาวุธที่สิ่งมีชีวิตคละถิ่นระดับที่สูงกว่าใช้งานอยู่แล้ว แต่ ‘หยวน’ ก็พิจารณาให้กับตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นการเฉพาะ หลอมอาวุธคละถิ่นที่เรียบง่ายที่สุดออกมาโดยอาศัยเม็ดทรายอลวนที่ธรรมดาที่สุดและพบเห็นได้บ่อยที่สุดของห้วงมิติระดับที่สูงกว่าเป็นพื้นฐาน

สำหรับวิธีการหลอมนั้นก็เรียบง่ายอย่างที่สุด

มีเพียงการทำเช่นนี้เท่านั้น…จึงจะสามารถให้เทพจักรวาลใช้การอาวุธคละถิ่นเช่นนี้ได้

แม้กระทั่งอย่างเช่น ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เป็นสิ่งที่หยวนมอบให้ หากมิใช่เขามอบให้ ขั้นสุดยอดจะสามารถมีอาวุธระดับนี้ได้อย่างไร อันที่จริงแล้ว ‘สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูง’ ก็เพียงแค่แฝงเอาไว้ด้วยความเร้นลับของระดับคละถิ่นเท่านั้นเอง

“ในที่สุดก็สำเร็จแล้ว หลอมสำเร็จเสียที” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกได้ถึงพลังอันน่าหวาดหวั่นที่แฝงอยู่ในหอกยาวเล่มนี้ แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความยินดี

“หอกยาวเล่มนี้ จะช่วยให้ข้าเหยียบย่างไปถึงวิถีคละถิ่นได้ ก็เรียกมันว่า…ชิงเหอ ก็แล้วกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ยพึมพำ

ชิงเหอ

ชื่อนี้หมายความถึงเมืองชิงเหออันเป็นบ้านเกิด ทั้งยังหมายความถึงภรรยาและบุตรชายบุตรสาว นั่นจึงจะเป็นบุคคลที่สำคัญที่่สุดในชีวิตเขา