ตอนที่ 1383 ส่งข่าว โดย Ink Stone_Fantasy

“พระองค์ทรงแน่ใจว่าพ่ะย่ะค่ะ ว่าพระองค์ทรงไม่ได้ดูผิดไป?”

ในตอนที่ขวานเหล็กได้ยินข่าวนี้ สีหน้าเขาพลันแสดงความตกใจออกมา เขากับเอดิธส์สบตากัน ทั้งสองคนต่างมองเห็นความตกตะลึงในดวงตาของอีกฝ่าย

ความจริงแล้วทิลลีเองก็ลังเลอยู่ว่าจะบอกขวานเหล็กเรื่องนี้ดีหรือไม่ เพราะว่าเรื่องนี้มันใกล้เคียงกับคำว่าปาฏิหาริย์มากทีเดียว ถ้าปีศาจสามารถทำแบบนี้ได้จริงๆ ขวัญกำลังใจและความมั่นใจของนายทหารระดับสูงจะต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน คนที่ใจไม่แข็งพออาจจะเกิดความคิดที่จะยอมแพ้ขึ้นมาก็ได้

“ทุกคนไม่ได้มองผิดไปจิ๊บ” เมซี่พูดพร้อมกับตบหน้าอกตัวเอง “ข้ากับไลต์นิ่งเคยไปที่สันหลังของทวีป ที่นั่นไม่มีภูเขาแบบนี้อยู่เลยจิ๊บ!”

จากนั้นไลต์นิ่งจึงค่อยๆ พยักหน้า “มันจะใช่สิ่งที่ปีศาสร้างขึ้นมาหรือไม่ ตอนนี้พวกเรายังไม่อาจแน่ใจได้ แต่อย่างน้อยก็มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจได้ นั่นคือมันเพิ่งจะปรากฏขึ้นมาตรงนั้นเมื่อประมาณครึ่งเดือนนี้เอง”

“อย่างนี้นี่เอง..” เอดิธส์เหมือนอยากจะพูดอะไร “แบบนี้มันก็เข้าใจได้แล้ว”

“เจ้าเชื่อเหรอ?” ทิลลีรู้สึกแปลกใจอย่างมาก

เดิมเธอคิดว่าอีกฝ่ายต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจสักพัก จากนั้นออกคำสั่งสังเกตการณ์แล้วค่อยทำการตัดสินใจต่อไป แต่คิดไม่ถึงเลยว่าไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเหมือนว่าจะเชื่อคำพูดของพวกเธอ เพราะถึงแม้จะเป็นพวกเธอสามคนที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ยังต้องใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะแน่ใจว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอคิดไปเอง

“ถ้าจะโทษก็ต้องโทษฝ่าบาทโรแลนด์นั่นแหละเพคะ” เอดิธส์ถอนใจออกมา “หากเป็นเมื่อสามปีก่อน หม่อมฉันเกรงว่าคงจะมองเรื่องแบบนี้เป็นคำพูดของคนบ้า…แต่ตอนนี้หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ล้วนแต่เป็นไปได้ทั้งนั้น ถ้าหม่อมฉันยังอยู่ในเมืองเล็กๆ แบบนั้น หม่อมฉันคงไม่รู้ว่าโลกนี้มันเกิดการเปลี่ยนแปลงไปมากแค่ไหน”

“นอกจากนี้ ปฏิบัติการแปลกๆ ของปีศาจในช่วงนี้ก็ช่วยยืนยันเรื่องนี้เหมือนกัน” เธอหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเล่าเรื่องจดหมายที่ฮิลล์ ฟ็อกส์ได้รับมาให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ “เมืองของพวกขุนนางไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากขนาดนี้ได้ แต่ถ้าเป็นแผ่นดินลอยฟ้าล่ะก็ อันนั้นมันก็ไม่แน่”

“ปีศาจ…เอาคนไปอยู่ด้วยเหรอ?” ไลต์นิ่งพูดอย่างประหลาดใจ

“เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน อกาธาก็เคยบอกไม่ใช่เหรอว่าตอนที่เกิดสงครามแห่งโชคชะตาครั้งที่หนึ่ง มนุษย์ส่วนหนึ่งและปีศาจเคยก่อตั้ง ‘กองทัพพันธมิตร’ ขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับแม่มด” เอดิธส์ยักไหล่ “ตอนนั้นสิ่งที่พวกเขากลัวคือพลังของแม่มด ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนเป็นพลังของฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้น พวกเขาไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง แล้วก็ไม่ยอมเป็นส่วนหนึ่งของการถูกเปลี่ยนแปลงด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงมีทางเลือกไม่มากนัก”

“พวกเขาไม่คิดว่าคำเตือนเรื่องสงครามแห่งโชคชะตาเป็นเรื่องจริง…” ทิลลีกำหมัดขึ้นมา

“ไม่เพคะ..” เอดิธส์ยิ้มแปลกๆ ขึ้นมา “ต่อให้พวกขุนนางรู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริง พวกเขาก็ยังจะตัดสินใจแบบนี้อยู่ดี สงครามกว่าจะจบอาจจะใช้เวลาหลายปีหรืออาจจะหลายสิบปี แต่เรื่องที่ฝ่าบาททรงริบเอาอำนาจและที่ดินของขุนนางกลับมานั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าตอนนี้ สำหรับคนพวกนี้แล้ว นี่มันไม่ได้ต่างอะไรกับการเอาชีวิตพวกเขาเลย ทางหนึ่งคือตายทันทีตอนนี้ อีกทางหนึ่งคือค่อยตายทีหลัง แน่นอนว่าเลือกอย่างหลังย่อมต้องดีกว่า”

“เอาล่ะ” ขวานเหล็กพูดตัดบทขึ้นมาอย่างเหนื่อยใจ เขารู้ว่าทันทีที่ไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือเริ่มเข้าสู่โหมดพูดจาส่อเสียดขึ้นมา เธอจะไม่มีวันหยุดลงง่ายๆ แถมยังอาจจะลามไปถึงคนอื่นหรือตัวเองด้วยซ้ำ “เข้าเรื่องกันดีกว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คือพวกเราจะรับมือกับแผ่นดินลอยฟ้านี่ยังไง?”

สีหน้าของเอดิธส์กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ไม่ พวกเราจัดการไม่ได้ ถ้ามันตั้งอยู่ที่สันหลังของทวีปมาตั้งแต่แรกก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าเจ้าสิ่งนั้นมันเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นจริงๆ อย่างนั้นพวกเราก็มีปัญหาใหญ่แล้ว การที่องค์หญิงทิลลีสามารถมองเห็นมันได้จากระยะหลายร้อยกิโลเมตร ขนาดของมันคงจะใหญ่กว่าที่เราจินตนาการไว้มาก ท่านคิดว่าอาศัยแค่เฮฟเว่นเฟลมจะสามารถทำลายมุมหนึ่งของเทือกเขาสิ้นวิถีได้ไหมล่ะ?”

“ต้องรีบเอาเรื่องนี้บอกท่านพี่” ทิลลีพูดเสียงคร่ำเคร่ง

“หม่อมฉันก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” เอดิธส์พยักหน้า “เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับแผนการและกลยุทธ์ มีเพียงฝ่าบาทโรแลนด์เท่านั้นถึงจะสามารถคิดแผนรับมือได้”

“เสียดายที่หอสื่อสารอันใหม่ยังสร้างไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เราคงคุยกับฝ่าบาทได้แล้ว” ขวานเหล็กเดินไปที่โต๊ะทำงาน ก่อนจะหยิบปากกาขึ้นมาเริ่มเขียนจดหมาย “ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องให้นกเอาจดหมายส่งกลับไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

“ไม่ต้อง เดี๋ยวข้าเป็นคนเอาจดหมายไปส่งเอง” ทิลลีก้าวออกมา “ด้วยความเร็วของฟินิกส์ ถ้าออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า ตอนเที่ยงก็ถึงเนเวอร์วินเทอร์แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าก็อยากไปขอบคุณเขาเรื่องของขวัญชิ้นใหม่พอดี”

พอพูดจบเธอก็มองไปทางไลต์นิ่งกับเมซี่ “เรื่องการสอดแนมทางตะวันตกของเทือกเขาสิ้นวิธี ข้าฝากพวกเจ้าด้วยนะ”

“หม่อมฉันจัดการเองเพคะ” ทั้งสองคนรับปากอย่างจริงจัง

…..

วันถัดมา ทิลลีขับฟินิกส์ออกมาเดินมาคนเดียว เธอบินไปทางทะเลตะวันออกก่อน จากนั้นค่อยบินเลียบชายฝั่งลงมาทางใต้ ไม่ถึงสี่ชั่วโมงเธอก็ร่อนลงจอดที่โรงเรียนอัศวินอากาศในเมืองหลวง

ในวันนี้หลายคนต่างได้เห็นเจ้าเครื่องบินสีแดงที่เหมือนดาวตกนี้บินผ่านท้องฟ้าไป

เธอกระโดดลงมาจากเครื่องบิน ก่อนจะรีบวิ่งไปที่ปราสาท เมื่อเห็นผมสีเทาที่กำลังปลิวไสว เหล่าทหารยามไม่มีใครกล้ารั้งตัวเธอไว้แม้แต่คนเดียว

เมื่อผลักประตูห้องทำงานเข้าไป โรแลนด์กะพริบตาอย่างประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาแปลกใจที่เห็นเธอปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้

“เอ่อ…เครื่องบินใหม่มีปัญหาเหรอ?”

ฝีเท้าของทิลลีหยุดชะงักไปทันที ภายในใจเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา ตัวเองบีบเขาเรื่องเครื่องบินมากเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ถึงขนาดเจอหน้ากันก็ถามเรื่องเครื่องบินขึ้นมาก่อนเลย “ไม่ เครื่องบิน…ข้าหมายถึงฟินิกส์ดีกว่าที่ข้าคิดเอาไว้เสียอีก เอ่อ…ขอบคุณนะ ท่านพี่”

“ฟู่ว” โรแลนด์โล่งใจ แต่สีหน้าเขากลับคร่ำเคร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “อย่างนั้นที่เจ้ามา เป็นเพราะว่า…มีเรื่องสำคัญใช่ไหม?”

“ใช่ ตอนที่ข้าเอาฟินิกส์ไปลองบิน ข้าบังเอิญไปเจอความเคลื่อนไหวของปีศาจ” ทิลลีเล่าเรื่องที่ทั้งสามคนไปเจอมาอย่างละเอียด

โรแลนด์ฟังจบพลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ถ้าอยากจะมองเห็นวัตถุอย่างนั้นจากระยะไกล นอกจากจะต้องไม่มีอะไรมาบดบังแล้ว ขนาดของมันยังต้องใหญ่มากพอด้วย เหมือนอย่างพระจันทร์กับดวงดาวบนท้องฟ้า เมื่ออยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แม้แต่เทือกเขาสิ้นวิถีก็ยังกลายเป็นเส้นยาวๆ ที่คดเคี้ยว สันหลังของทวีปก็กลายเป็นเพียงเนินเขาสีเทาๆ การที่สามารถมองเห็นมันได้จากระยะไกลขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องใหญ่อย่างมากแน่นอน

ตอนนี้ปีศาจสามารถเคลื่อนย้ายแผ่นดินขนาดใหญ่ขึ้นไปบนท้องฟ้าได้แล้วงั้นเหรอ?

แต่เทคโนโลยีในยุคสมัยนี้ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้

ถ้ามันเป็นแผ่นดินจริงๆ อย่างนั้นอานุภาพทำลายล้างของอาวุธทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้จะต้องลดลงอย่างมากแน่นอน — เพราะการที่สามารถยกเอาสิ่งที่มีน้ำหนักมากขนาดนั้นลอยขึ้นไปได้มันก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังที่น่าตกตะลึงในตัวของมันเองแล้ว

พลังเวทมนตร์นี่ไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ…

แต่โรแลนด์เข้าใจความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาเจออันนาแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือทำการหาข้อมูลของเจ้าวัตถุยักษ์นี้

เขาคิดถึงคนๆ หนึ่งขึ้นมา

เมื่อเข้าไปในโลกแห่งความฝัน โรแลนด์หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาโทรหาวัลคีรีย์

……………………………………………………..