ตอนที่ 1384 ก้าวไปข้างหน้า โดย Ink Stone_Fantasy
“ฉันไปล่ะ”
“ไปโรงฝึกอีกแล้วเหรอ?” วัลคีรีย์ที่สวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องนอน ก่อนจะเห็นเฟยอวี่หานกำลังจัดของอยู่หน้าประตู
“อื้อ ศึกสุดท้ายใกล้จะมาถึงแล้ว ฉันต้องรีบแล้วล่ะ” อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อย “อีกเดี๋ยวเธอจะตามมาไหม?”
เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่าย สีหน้าเธอจึงเหม่อลอยเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าออกมา “ถ้าไม่มีธุระอื่นล่ะก็”
“อย่างนั้นฉันไปล่ะ”
ประตูถูกเปิดออกก่อนจะปิดลง ไอเย็นที่พุ่งเข้ามาหายไปอย่างรวดเร็ว วัลคีรีย์ก้มหน้ามองดูฝ่ามือของตน ก่อนจะค่อยๆ กำมันเข้ามา
บ้าเอ้ย ตัวเองกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย?
ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ เธอแทบจะรวมเข้าโลกนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่จะกลายเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น แต่เธอยังออกไปสู้กับฟอลเลนอีวิลพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย
เพื่อที่จะทำให้โลกนี้ไม่ดับสลาย ดังนั้นเธอจึงต้องสู้กับพระเจ้า บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เธอเข้าร่วมต่อสู้ด้วย แต่ในใจวัลคีรีย์รู้ดีว่านั่นเป็นแค่วิธีบรรเทาความกดดันเท่านั้น ปัญหาที่เธอต้องเผชิญจริงๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ หากแต่อยู่ที่ด้านนอกของโลกแห่งจิตสำนึก เธอไม่ชอบถูกขังอยู่ที่นี่โดยที่ไม่ได้ทำอะไร ด้วยเหตุนี้เธอถึงใช้วิธีนี้มาทำให้ตัวเองดูเหมือนว่ากำลังช่วยแก้ไขปัญหาสงครามแห่งโชคชะตาอยู่
ถ้าการต่อสู้มันโหดร้ายทารุณหรือยากลำบากก็ว่าไปอย่าง เพราะว่าพวกเขากำลังสู้กับ ‘พระเจ้า’ อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่าการกำจัดฟอลเลนอีวิลนั้นเกิดขึ้นแค่ในที่ที่ทุกคนมองไม่เห็น ทั้งเมืองยังคงดูสงบเรียบร้อย เวลาที่ไม่มีภารกิจ ทุกคนก็จะมีเวลาดื่มชาตอนบ่ายซักแก้ว หรือไม่ก็ไปหาอะไรกินกันตอนกลางคืน
นี่แตกต่างกับสงครามที่เธอเคยชินอย่างมาก
แต่สิ่งที่ทำให้เธอยิ่งรู้สึกแย่ก็คือตัวเองกลับเคยชินกับชีวิตแบบนี้ได้อย่างรวดเร็ว…
ยิ่งเค้กจากคาบสมุทรคาร์การ์ดยิ่งอร่อย เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดอยู่ในใจ อนาคตของเผ่าพันธุ์จะเป็นยังไงก็ยังไม่อาจทราบได้ เพื่อที่จะเอาชนะสงครามแห่งโชคชะตาแล้ว เผ่าพันธุ์ของเธอแทบจะทุ่มเททุกอย่างที่มี แต่เธอกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ที่นี่ ความรู้สึกแตกต่างแบบนี้ทำให้วัลคีรีย์รู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก บางครั้งเธออยากจะระบายความโกรธภายในใจใส่คนที่อยู่รอบข้าง
แต่ที่น่าเจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือสติสัมปชัญญะของเธอยังคงมีอยู่ แล้วก็ไม่ได้บิดเบี้ยวไปเพราะความกดดันมหาศาลที่มีอยู่ในตอนนี้ — สติได้บอกเธอว่าถึงทำแบบนี้ไปมันก็ไม่ได้ทำให้โลกแห่งความฝันแตกสลาย แล้วก็ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด มันมีแต่จะทำให้สถานการณ์ของเธอแย่ลงไปอีก
ขณะเดียวกัน สิ่งที่หยุดไม่ให้ไนท์แมร์ทำเช่นนี้ก็คือเธอพบว่าตัวเองไม่ได้เกลียดเฟยอวี่หานอย่างที่คิดเอาไว้
ถึงแม้มนุษย์ผู้หญิงคนนี้จะแอบฟังเธอคุยกับโรแลนด์ แต่อีกฝ่ายก็ทำไปเพราะต้องการควบคุมชะตาชีวิตของตัวเอง ยิ่งไปกว่าเธอยังเล่าสิ่งที่ตัวเองทำออกมาในภายหลัง แถมยังยอมรับความจริงที่ว่าตัวเธอมีตัวตนอยู่แค่ในโลกแห่งความฝันได้อย่างสบายๆ ความกล้านี้ทำให้ไนท์แมร์รู้สึกประทับใจทีเดียว
เธอทั้งบริสุทธ์และเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น จิตใจมุ่งมั่น มีเป้าหมายที่ชัดเจน…จุดเด่นเด่นเหล่านี้ทำให้วัลคีรีย์อดนึกถึงทรานฟอร์มเมอร์ขึ้นมาไม่ได้
แสงที่เปล่งประกายของคนบางคนเพียงพอที่จะก้าวข้ามช่องว่างระหว่างเผ่าพันธุ์มาได้ ก็เหมือนกับที่ทรานฟอร์มเมอร์ถูกสำนักซีคลาวด์ยอมรับอย่างไรอย่างนั้น
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เธอยังไม่ย้ายออกไปจากที่นี่
เพียงแต่แสงสว่างนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความรู้สึกกดดัน แต่มันกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกสับสนด้วย
ความจริงแล้ววัลคีรีย์พอจะรู้ว่าอะไรกันแน่ถึงจะเป็นการทำประโยชน์ที่แท้จริงเพื่อเผ่าพันธุ์ แต่เธอกลับไม่สามารถที่จะเผชิญหน้ากับมันอย่างสบายๆ ได้ ทันทีที่เธอก้าวเท้าออกไป เธอก็จะไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก ถ้าจะให้เธอแบกรับความกดดันและความเสี่ยงทั้งหมดคนเดียว ต่อให้เป็นเธอก็ยากที่จะตัดสินใจได้
ถ้าพูดถึงการเผชิญหน้ากับชะตาชีวิตตรงๆ แล้ว เธอยังสู้มนุษย์ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
ในเวลานี้นี่เอง เสียงโทรศัพท์พลันดังขึ้นมา
บนหน้าจอโทรศัพท์โชว์ชื่อโรแลนด์
วัลคีรีย์ลังเล แต่สุดท้ายก็รับโทรศัพท์ขึ้นมา “มีอะไรอีก? ถ้าจะมาพูดเรื่องแนวหน้าที่แต่งขึ้นมาฝ่ายเดียวนั่นล่ะก็ ข้าว่าอย่าดีกว่า ถ้าไม่มีเฮคซอดมายืนยัน ข้าไม่มีทาง..”
“ข้าอยากจะถามหน่อย แผ่นดินที่ลอยอยู่บนฟ้ามันคืออะไรกันแน่?”
คำพูดปะโยคแรกของอีกฝ่ายทำให้เธอตกตะลึงไปทันที
….
ร้านกาแฟโรสคาเฟ่
หลังฟังโรแลนด์เล่าจบ วัลคีรีย์ก็นั่งพิงไปบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยล้า เธอถอนใจออกมาเบาๆ “พระผู้สร้าง…”
“พระผู้….อะไรนะ?”
เธอมองดูอีกฝ่ายเงียบๆ เหมือนอย่างจะหาอะไรบางอย่างจากในดวงตาของเขา แต่ผลลัพธ์ที่ได้บอกเธอว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมา โรแลนด์ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองเห็นแม้แต่น้อย การเปิดเผยของพระผู้สร้างนั้นเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ความบังเอิญแบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วก็ไม่มีทางสร้างผลกระทบอะไรต่อสถานการณ์การรบด้วย ในฐานะที่เป็นไพ่ตายของเผ่าพันธุ์ พวกราชาระดับสูงนั้นกลับอยากจะให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์นี้เร็วๆ ด้วยซ้ำ เพราะต่อให้ได้เห็นมันล่วงหน้า พวกเขาก็จะมีแต่หวาดกลัวและสิ้นหวังเพิ่มขึ้นเท่านั้น
แต่วัลคีรีย์กลับคิดไปมากกว่านั้น
เดิมพระผู้สร้างควรจะเป็นอาวุธสุดยอดที่ใช้สู้กับอาณาจักรซีสกาย แต่ตอนนี้จู่ๆ มันกลับมาปรากฏอยู่ที่แนวรบตะวันตก นี่แสดงให้เห็นถึงเรื่องๆ หนึ่ง
สถานการณ์การรบของแนวรบตะวันตกนั้นยากที่จะก้าวต่อไปได้แล้ว
เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนี้ จักรพรรดิก็ไม่มีทางเห็นด้วยที่จะเอาพระผู้สร้างมาใช้รับมือมนุษย์แน่
นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้
มีแต่แนวรบประสบความพ่ายแพ้ เหล่าราชาถึงได้ใช้พระผู้สร้างมากอบกู้สถานการณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้ แม่มดถึงได้มีโอกาสเจอพระผู้สร้างเข้า นี่หมายความว่ารายงานสถานการณ์การรบที่โรแลนด์ส่งมาก่อนหน้านี้ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง ซึ่งนี่ก็เป็นการแสดงให้ถึงความจริงใจของอีกฝ่ายอย่างอ้อมๆ ด้วย
นอกเสียจากว่าโรแลนด์จะไปถามเรื่องพระผู้สร้างมาจากราชาตัวอื่น
แต่ความเป็นไปได้นี้มันน้อยอย่างมาก ถ้ามีราชาปีศาจตัวอื่นยินดีที่จะร่วมมือจริงๆ ล่ะก็ เขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาหาตนเพื่อเล่นละครแบบนี้เลย
ความเจ็บปวดภายในใจทำให้วัลคีรีย์กำหมัดแน่น
แต่สติสัมปชัญญะทำให้เธอไม่สามารถหลอกตัวเองได้
เท้าของเธอเหมือนกำลังยืนอยู่ริมหน้าผ้า ด้านหน้ามีเพียงท่อนไม้ท่อนเดียวที่สามารถเดินไปได้ ความรู้สึกขัดแย้งแทบจะกลืนกินเธอ ในขณะที่ความกดดันอันมหาศาลกำลังจะกดทับเธอ ภาพเฟยอวี่หานที่อยู่ในห้องประชุมวันนั้นพลันลอยขึ้นมาในหัวของเธอ
ตอนนั้นเธอได้ยินเสียงอีกฝ่ายกำลังโต้แย้งอย่างไม่ยอมถอยผ่านประตูห้องประชุม
‘การที่หยุดเดินต่อไปข้างหน้าเพราะหวาดกลัวต่ออนาคตที่น่ากลัวนั้นเป็นคือสิ่งที่คนขี้ขลาดทำกัน ต่อให้สุดท้ายพวกเราจะพ่ายแพ้ แต่พวกเราก็ได้พยายามทำมันอย่างเต็มที่แล้ว!’
ก้าวไปข้างหน้า…โดยไม่หวาดกลัวอะไรอย่างนั้นเหรอ….
วัลคีรีย์จ้องมองโรแลนด์อยู่นาน จากนั้นจึงหลับตาลง
“สิ่งที่เจ้าเห็นคือพระผู้สร้าง” เธอพูดซ้ำ “นั่นคือไพ่ตายที่เผ่าพันธุ์ข้าเตรียมเอาไว้เพื่อขึ้นไปบนอาณาจักรซีสกาย แล้วก็เป็นการแสดงสิ่งที่พวกข้าดูดซับมาจากชิ้นส่วนสืบทอดของอารยธรรมใต้ดินออกมา เมื่อหลายร้อยปีก่อนเผ่าพันธุ์ของข้านั้นมีความคิดที่อยากจะหลุดพ้นออกจากข้อจำกัดของละอองชีวิตหรือก็คือหมอกแดงที่พวกเจ้าว่า วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือการทำให้หอคอยแห่งการให้กำเนิดซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดหมอกแดงเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ยากจะเป็นจริงได้มากที่สุด เพียงแค่จะทำให้หอคอยขนาดใหญ่เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมันก็ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องสายแร่หินอาญาสิทธิ์ที่อยู่ใต้ดินเลย”
“จนกระทั่งเดอะแมสก์ได้ศึกษาเทคโนโลยีทางเวทมนตร์ของอารยธรรมใต้ดินจนหมดแล้ว เผ่าพันธุ์ข้าจึงเริ่มมองเห็นแสงสว่างจากแผนการที่ว่านี้ ข้าไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้มันเป็นจริงได้อย่างไร แต่แท้จริงแล้วมันก็คือการเอาหอคอยแห่งการให้กำเนิดมาเปลี่ยนให้เป็นแกนเวทมนตร์ขนาดใหญ่ แล้วก็ทำให้แกนเวทมนตร์นี้มีพลังเพิ่มมากขึ้น ขอเพียงมีพลังเวทมนตร์เพียงพอ ปรากฏการณ์ขนาดใหญ่ที่มันสร้างขึ้นมาก็เรียกได้ว่าไม่ได้ต่างอะไรจากปาฏิหาริย์เลย ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิจึงตั้งชื่อให้มันว่า พระผู้สร้าง”
วัลคีรีย์ได้ก้าวเท้าก้าวนั้นออกไปแล้ว
………………………………………………..