“พวกข้าไม่ถามชื่อของเจ้า แล้วก็ไม่สนใจประวัติความเป็นมาของเจ้า ในเมื่อลูกสาวของข้าช่วยเจ้าไว้แล้ว แน่นอนว่าพวกข้าทั้งครอบครัวก็ต้องปกป้องเจ้าให้ถึงที่สุด แต่ว่าพรุ่งนี้พวกข้าก็จะไปแล้ว ไม่รู้ว่าเจ้ามีแผนการอันใดต่อหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนแปลทุกคำพูดให้เขาฟัง
ชายหนุ่มดูเหมือนจะไม่คิดว่าพวกเขาจะไป ในสายตานั่นมีความอาลัยอาวรณ์ ในขณะเดียวกันก็คิดอะไรขึ้นได้ กล่าวถามว่า “พวกเจ้าจะไปที่ใด กลับรัฐอู่หรือ แต่ว่าตอนนี้ชายแดนถูกปิด พวกเจ้ากลับไปไม่ได้แน่นอน”
ทุกคนรู้เรื่องที่ชายแดนถูกปิด เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่คิดมาก กล่าวว่า “อันนี้พวกข้ามีวิธีของพวกข้า เจ้าไม่ต้องกังวล ว่าแต่เจ้า มีแผนการอันใดต่อหรือไม่”
ชายหนุ่มก้มตัวลงดื่มน้ำ แต่สายตากลับแอบมองหวงฝู่สือเมิ่งเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนเห็นเข้า ก็ไอแรงๆ หนึ่งครั้ง เพื่อตักเตือน
ชายหนุ่มตกใจ รีบเงยหน้าขึ้น กล่าวถามว่า “พวกเจ้าช่วยข้าหนึ่งเรื่องได้หรือไม่”
“เจ้าพูด”
“ข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าช่วยข้าส่งไปที่ๆ หนึ่ง ไม่นานก็จะมีคนมารับข้า”
“ไกลหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หากไม่ไกล พวกเขาพิจารณาว่าสามารถช่วยได้ แต่ถ้าหากไกล ก็ได้แต่รบกวนเสี่ยวเอ้อร์ เพราะพรุ่งนี้เช้าตรู่พวกเขาทั้งครอบครัวจะต้องรีบผ่านชายแดนไปให้เร็วที่สุด เพื่อกลับไปที่รัฐอู่ เกรงว่าฉู่เหวินเจี๋ยและท่านอ๋องฉีไม่เห็นพวกเขาเสียที ร้อนใจ อาจเสียโอกาสดีๆ ขณะที่สู้รบกับองค์ชายใหญ่ได้
“อยู่ที่ศาลาว่าการที่หนึ่งของเมืองข้างหน้า ผู้บังคับบัญชาที่นั่นเป็นท่านน้าของข้าเอง นำจดหมายของข้าให้เขาก็พอ”
ระยะทางจากที่นี่ถึงเมืองข้างหน้า นั่งรถม้าใช้เวลาแค่ประมาณสี่ชั่วยาม หากขี่ม้าเร็วใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยาม ท้องฟ้ายังไม่มืด วิ่งหนึ่งรอบไม่มีปัญหาอะไร เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ เจ้าเขียน พวกข้าช่วยเจ้าส่ง ไม่ว่าจะมีคนมารับเจ้าหรือไม่ พรุ่งนี้เช้าตรู่ พวกข้าจะต้องไปแน่นอน”
ชายหนุ่มพยักหน้า ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง ยกแก้วชามาที่ข้างโต๊ะ วางแก้วชาลง หยิบพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา ฝนหมึก แล้วรีบเขียนจดหมายให้เสร็จ พับให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ถอดป้ายหยกที่แขวนไว้ที่เอวออกแล้ววางลงบนโต๊ะพร้อมกับจดหมายที่พับเรียบร้อยแล้ว “ขอบพระคุณทุกท่านที่ช่วยมาก รอให้ท่านน้าของข้ามา ข้าจะขอบพระคุณพวกเจ้าเป็นอย่างดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ไม่ต้อง ลูกสาวของข้าช่วยเจ้า เพราะจิตใจดี มิใช่เพราะอยากให้เจ้าตอบแทน”
ชายหนุ่มฟังคำแปลจากหลินหันเยียนจบแล้ว สายตาก็มองไปทางหวงฝู่สือเมิ่งอย่างไม่รู้ตัว
น้ำเสียงที่ไม่ค่อยดีของหวงฝู่อี้เซวียนดังขึ้นมา “พอแล้ว เจ้าพักผ่อนก่อน พวกข้าไปช่วยเจ้าส่งจดหมาย”
ชายหนุ่มเก็บสายตา พยักหน้า แล้วขอบพระคุณอีกครั้ง
หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา หันหลังแล้วเดินออกไป ในขณะที่เดินผ่านโต๊ะ ก็หยิบจดหมายและป้ายหยกขึ้นมา เมิ่งเชี่ยนโยวตามออกไป ที่เหลือก็ตามออกไป
มาถึงอีกห้องหนึ่ง หวงฝู่อี้เซวียนกล่าวกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “ข้าไปส่งจดหมาย เจ้าอยู่ที่โรงเตี๊ยม”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “เจ้าไม่เข้าใจภาษาของรัฐหมิง หากไปตัวคนเดียว แม้ว่าจะพบท่านน้าของชายหนุ่มคนนั้น ก็พูดไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ให้ข้าไปกับคุณหนูหลินเถิด ส่งจดหมายเสร็จพวกข้าจะกลับมาทันที ใช้เวลามากสุดก็แค่สี่ชั่วยาม”
ที่เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยนั้นเป็นความจริง แต่ให้พวกนางไปกันแค่สองคนเขาก็ไม่วางใจ แต่ถ้าหากเขาตามไปด้วย แล้วปล่อยให้เด็กๆ อยู่ในโรงเตี๊ยม เขาก็ยิ่งไม่วางใจ กัดริมฝีปาก สีหน้าก็ไม่ค่อยดี
“วางใจเถิด ไม่นานพวกข้าก็กลับมา” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วปลอบใจ
“เจ้าระวังตัวให้ดี นำสิ่งที่ควรพกพาไปด้วย”
สิ่งที่เรียกว่าควรพกพาก็คือมีดดาบสั้นและยาสลบ เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจว่าเขาหมายถึงสิ่งใด พยักหน้ารับรู้ หยิบของทั้งหมดแล้วก็ไปลานด้านหลังกับหลินหันเยียน จูงม้าสองตัวออกมา คนละหนึ่งตัว แล้วควบม้าตรงไปที่เมืองหน้าอย่างรวดเร็วทันที
ไม่ถึงสองชั่วยาม ก็ถึงประตูหน้าเมือง ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ในขณะที่ใกล้จะถึงหน้าประตูเมือง ทั้งสองขี่ม้าเข้ามาในเมือง แล้วสอบถามว่าที่ศาลาว่าการอยู่ที่ใด ขี่ม้ามาตลอดทางจนถึงหน้าประตูที่ศาลาว่าการ สอบถามเจ้าหน้าที่ว่าผู้บังคับบัญชาอยู่หรือไม่ พวกนางมีเรื่องสำคัญหาเขา
เจ้าหน้าที่ทำการมองพินิจพิเคราะห์ทั้งสอง เห็นว่าทั้งสองไม่เพียงแค่เป็นผู้หญิง ยังเป็นคนรัฐอู่อีกด้วย ในใจก็เกิดความระแวง ตะคอกถามว่า “พวกเจ้าหาผู้บังคับบัญชาเพราะเหตุใด”
“ผู้อื่นฝากมา ให้นำจดหมายมาให้เขา รบกวนช่วยพวกเจ้ารายงานด้วย ท้องฟ้ามืดแล้ว ประตูเมืองจะปิดแล้ว พวกข้ายังต้องรีบกลับไป” หลินหันเยียนกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
เจ้าหน้าที่ทำการมองพวกนางอย่างไม่เชื่อ ยื่นมือออกมา “จดหมายอยู่ที่ใด เอามา ข้าช่วยพวกเจ้าส่งเข้าไป”
“เช่นนี้คงไม่เหมาะสม รับปากผู้อื่นมา ก็ต้องทำให้ได้ พวกข้ารับปากไว้แล้วว่าจะส่งจดหมายให้ถึงมือของท่านผู้บังคับบัญชา จะส่งให้เจ้าได้อย่างไร”
เจ้าหน้าที่ทำการดึงมีดใหญ่ที่อยู่ตรงเอวออกมา หมุนไปมาด้านหน้าหลินหันเยียน “อย่าพูดมาก เอาจดหมายออกมา ไม่เยี่ยงนั้น ข้าจะคิดว่าพวกเจ้าเป็นจารชนที่รัฐอู่ส่งมา แล้วจับพวกเจ้าเข้าเรือนจำ…”
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังไม่เข้าใจ แต่ดูจากท่าทางและน้ำเสียงที่ไม่ดีของเจ้าหน้าที่ทำการแล้ว ก็ขมวดคิ้ว เดินออกมา ไม่พูดจา ยกขาขึ้น แล้วถีบเจ้าหน้าที่ทำการที่กำลังขมขู่ให้หลินหันเยียนตกใจออกไปทันที
หลินหันเยียนตกใจจนอ้าปากค้าง แล้วหันคอที่แข็งกลับไป ตาโตแล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวโยนเชือก เดินผ่านข้างๆ ตัวเอง แล้วดึงตัวเจ้าหน้าที่ทำการที่ล้มจนมึนงงขึ้นมา
เจ้าหน้าที่ทำการที่เหลือร้องตกใจ ต่างดึงมีดใหญ่ที่อยู่ตรงเอวออกมาแล้วยื่นตรงไปทางเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียน
เมิ่งเชี่ยนโยวกวาดสายตาไปที่เจ้าหน้าที่ทำการทุกคนหนึ่งรอบ แล้วลากตัวเจ้าหน้าที่ทำการเข้าไปในที่ศาลาว่าการ
หลินหันเยียนรู้สึกตัวขึ้นมา ปิดปาก แล้วเดินตามหลังนางเข้าไปทันที
เดินตรงเข้ามาในที่ศาลาว่าการ
ผู้บังคับบัญชาที่ไปห้องโถงด้านหลังแล้ว ถูกเสียงเอะอะโวยวายของเจ้าหน้าที่ทำการรบกวน จึงเดินออกมาจากห้องโถงด้านหลัง “เอะอะเสียงดังอะไรกัน…”
ยังไม่ทันเอ่ยจบ เห็นเหตุการณ์ข้างหน้า ก็โมโหมาก จึงตะคอกด้วยความดุดันว่า “พวกเจ้าเป็นผู้ใด ช่างกล้ามาก ถึงกล้าทำเยี่ยงนี้กับเจ้าหน้าที่”
“ใต้ ใต้เท้า พวก พวกนาง…”
“ท่านคือผู้บังคับบัญชา?”
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนแปล
ผู้บังคับบัญชายังไม่หายโมโห ออกเสียง “หึ” ออกมา “ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นผู้ใด ยังไม่รีบวางคนลงเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวปล่อยเจ้าหน้าที่ลง แล้วกล่าวว่า “มีคนให้พวกข้ามาส่งจดหมายแล้วเจ้า”
“พูดจาเหลวไหล ข้าไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนรัฐอู่ จะมีผู้ใดส่งจดหมายให้ข้า ข้าดูเจ้าแล้ว…”
เมิ่งเชี่ยนโยวนำป้ายหยกออกมา แล้วยกขึ้นมาให้เขาดู
ผู้บังคับบัญชากลืนคำพูดลงไป ตาโต แล้วก้าวขายาวออกมา แย่งป้ายหยกจากมือนางไปทันที น้ำเสียงสั่นเล็กน้อย ตะคอกถามว่า “ป้ายหยกนี้อยู่ที่มือเจ้าได้อย่างไร”
“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะให้ข้าพูดต่อหน้าทุกคนเยี่ยงนี้” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวถาม
หลินหันเยียนเอ่ยทุกคำพูดให้ผู้บังคับบัญชาฟัง
ผู้บังคับบัญชาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก็เข้าใจคำพูดของนางทันที โบกมือ แล้วสั่งว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน!”
เจ้าหน้าที่ทำการทุกคนรับคำสั่ง เก็บมีดใหญ่ มีเจ้าหน้าที่สองคนก้าวออกมา พยุงตัวเจ้าหน้าที่ที่อยู่บนพื้น แล้วเดินออกไปทุกคน
“รีบพูด เจ้ามีป้ายหยกนี้ได้เช่นไร” ทันทีที่เจ้าหน้าที่ทุกคนออกไป ผู้บังคับบัญชาก็รีบกล่าวถามทันที ในน้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจและกังวลใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบจดหมายออกมา ยื่นไปข้างหน้าผู้บังคับบัญชา “เขาถูกคนไล่ฆ่า ลูกสาวของข้าช่วยไว้พอดี ตอนนี้เขาอยู่ที่โรงเตี๊ยมหนึ่งในเขตชายแดน”
ผู้บังคับบัญชารับจดหมายมา รีบเปิดออกทันที แล้วดูหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว ใบหน้ามีความโมโหขึ้นมา สีหน้าก็ขรึมลงทันที ตะคอกด้วยความโมโหว่า “พวกเขาช่างกล้ายิ่งนัก จึงกล้า…”
ทันใดนั้นก็คิดขึ้นได้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนยังอยู่ จึงกลืนคำพูดที่เหลือลงไป สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วฝืนยิ้มออกมา ยกมือขึ้นขอบพระคุณ “ขอบพระคุณทั้งสองมาก รีบมาตลอดทางคงจะเหนื่อยมากแล้ว ไปพักที่ห้องโถงด้านหลัง แล้วดื่มชาก่อนถิด”
“ไม่ต้อง จดหมายส่งถึงมือ พวกข้าก็ควรกลับแล้ว หากช้ากว่านี้ ประตูเมืองก็ใกล้ปิดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปทันที
หลังจากหลินหันเยียนรีบแปลอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ตามออกไปทันที
“นี่ พวกเจ้า…” ผู้บังคับบัญชาอยากรั้งทั้งสองไว้
“จริงด้วย” เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดเดิน หันหลัง “ก่อนที่พวกข้ามา มีทหารไปค้นที่โรงเตี๊ยม หากพวกเจ้าไปรับคน ก็รีบหน่อย”
“อืม ได้” ผู้บังคับบัญชารับรู้ มองดูทั้งสองคนหายไปจากด้านนอกประตูที่ศาลาว่าการ เก็บสีหน้าเมื่อครู่ บนใบหน้าแสดงสีหน้าดุร้ายออกมา เอามือไขว้หลัง แล้วตะโกนกับอากาศว่า “ออกมา”
ร่างที่หลบซ่อนอยู่ในที่มืดกระโดดออกมาอยู่ข้างหน้าเขาอย่างรวดเร็ว “นายท่าน”
“ส่งคนตามสองคนเมื่อครู่ไป แล้วปกป้องเปาเอ๋อร์ให้ดี”
รับคำสั่ง ถอยออกไป แล้วโบกมือ ก็มีอีกหลายคนกระโดดออกมาจากที่มืด แล้วตรงไปทางที่เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนไปอย่างรวดเร็ว
ผู้บังคับบัญชาสั่งเสร็จ ก็สะบัดเสื้อขึ้น ไปที่ลานด้านหลัง ไม่นานก็ขี่ม้าหนึ่งตัวออกมา ไปอีกทางหนึ่งอย่างรวดเร็ว
ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวและหลินหันเยียนกลับมาที่โรงเตี๊ยม
ท้องฟ้ามืดหมดแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนยืนรออยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม ได้ยินเสียงม้าวิ่ง ก็ตาโตขึ้นมาทันที ยกข้าแล้วเดินออกไปต้อนรับ
เถ้าแก่แอบมองแผ่นหลังเขา พึมพำในใจ ไม่เคยพบชายใดที่รักภรรยามากเยี่ยงนี้มาก่อน ตั้งแต่หนึ่งชั่วยามที่แล้วก็เริ่มมายืนรอที่นั่นแล้ว ไม่เดินไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว ตอนนี้เห็นคนแล้ว ก็ยังเดินออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ก็ไม่รู้ว่าแม่นางคนนั้นสะสมบุญวาสนามากี่ชาติ จึงได้สามีที่มีหน้าตาหล่อเหลา แล้วยังรักนางมากเยี่ยงนี้
เมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นเขา ดึงเชือกให้หยุด กระโดดลงมาจากหลังม้า ยิ้มแล้วกล่าวถามว่า “รอจนใจร้อนแล้วหรือ วางใจเถิด ตลอดทางไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
เงยหน้าขึ้น แล้วกวาดสายตาไปด้านหลังนางด้วยสีหน้าเรียบ เก็บสายตา แล้วนำเสื้อผ้าที่เตรียมไว้คลุมบนตัวนาง โอบนางแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม “หนาวแล้วสิ กลับห้องไปดื่มน้ำร้อนเถิด”
หลินหันเยียนผู้ที่ถูกลืมมองหลังทั้งสองด้วยความอิจฉา อดคิดขึ้นมาไม่ได้ว่า หากตอนนั้นตัวเองไม่ทำเรื่องราวเกินเลยเช่นนั้น วันนี้เขาและหวงฝู่อวี้ก็น่าจะเป็นเยี่ยงนี้
กลับไปที่ห้อง หวงฝู่อี้เชวียนเทน้ำร้อนหนึ่งแก้ว วางลงบนมือของเมิ่งเชี่ยนโยว “ถือไว้ ให้ร่างกายอุ่นก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถือไว้ แล้วก้มตัวลงไปดื่มหนึ่งคำ เงยหน้าขึ้น แล้วพูดเรื่องราวเมื่อสักครู่ให้เขาฟัง
“ในเมื่อคนของพวกเขามาถึงแล้ว พรุ่งนี้เช้าตรู่เรารีบกลับไปกันเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจ เงยหน้าขึ้นมองเขา
หวงฝู่อี้เซวียนอธิบาย “ด้านหลังเจ้ามีคนตามมา เก็บลมหายใจ วิชาต่อสู้ไม่ธรรมดา เพียงพอสำหรับดูแลปกป้องเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหัวไปมา “ข้ากลับไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ดูแล้วหลายปีนี้ข้าใช้ชีวิตที่เงียบสงบมานานเกินไปแล้วจริงๆ”