ตอนที่ 874 ช่วงชิงรางวัล
รางวัล!

เมื่อบรรดาคนใหญ่คนโตที่อยู่โลกภายนอกได้รู้ว่า ผู้กล้าสามคนแรกที่สำแดงพลังได้อย่างยอดเยี่ยมในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองจะได้รับรางวัลพิเศษชิ้นหนึ่ง ต่างก็พากันไหวหวั่นไม่ขาดสาย

แม้แต่เทศกาลโคมกถามรรคเมื่อในอดีตก็ไม่เคยมีมาก่อน!

นี่จะเป็นรางวัลอย่างไรกันแน่

บรรดาคนใหญ่คนโตต่างจมสู่ความคิด สีหน้าดูผิดแผกไปจากเดิม

เขาพยับครามได้รับการขนานนามว่าภูเขาเทพบรรพกาล ทุกร้อยปีจะปรากฏออกมาเพียงหนึ่งครั้ง บนนั้นมีต้นโคมสำริดมรรคโบราณ ควบรวมออกมาเป็นดอกโคมสำริด ซ่อนวาสนาที่หาได้ยาก

หากว่าบททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้มีรางวัลพิเศษมอบให้จริงๆ จะต้องไม่ใช่เล็กๆ เป็นแน่

“เขตขีดจำกัด มีเพียงทุ่มพลังทั้งหมดจึงจะมีโอกาสผ่านการทดสอบ ทว่าจะตัดสินอย่างไรกันแน่ว่าผู้ใดสำแดงพลังได้ยอดเยี่ยมที่สุด” มีคนใหญ่คนโตเอ่ยถามออกมา

“ง่ายมาก ด่านนี้มีเวลาจำกัด นี่มีนัยว่าใครที่ใช้เวลาผ่านการทดสอบได้สั้นที่สุด ผู้นั้นก็ย่อมมีผลคะแนนที่สูง”

ท่านย่ากระเรียนทองใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ค่อยเอ่ยวาจา

“แต่ว่าเขตขีดจำกัดนี้ลี้ลับน่าอัศจรรย์อย่างมาก กำจัดศัตรูไปมากน้อยเท่าไร ก็จะส่งผลต่อคะแนนด้วยเช่นกัน”

“อีกทั้งเทศกาลโคมกถามรรคครั้งนี้แตกต่างกับในอดีตอย่างสิ้นเชิง ในนั้นเกรงว่าจะยังแฝงเร้นความลี้ลับอื่นไว้อีก แต่ไม่ว่าอย่างไรหากอยากได้รางวัลพิเศษระดับนี้ ย่อมไม่ง่ายดายแน่นอน”

บรรดาคนใหญ่คนโตต่างเห็นพ้องต้องกัน

“จากที่ข้าคาดการณ์ไว้ รางวัลพิเศษชิ้นนี้จะต้องมีส่วนของจี้ซิงเหยาผู้สืบทอดแห่งสำนักอันทรงเกียรติแน่” มีคนใหญ่คนโตเอ่ยขึ้นมาฉับพลัน

ท่านย่ากระเรียนทองกล่าวด้วยสีหน้าเมินเฉย “วาสนาเช่นนี้ ไม่มีผู้ใดบอกได้หรอกว่าใครจะได้ครอบครอง สหายยุทธ์ทุกท่านอย่ามัวคาดเดามั่วซั่วเลย”

นี่คือการกล่าวเตือนโดยไร้รูปอย่างหนึ่ง

โดดเด่นเกินไปจะมีภัย นางไม่อยากให้ผู้คนจับจ้องไปยังจี้ซิงเหยามากเกินไป

แน่นอนว่าในฐานะคนแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉา หากมีปัญหามาถึงที่จริงๆ พวกเขาก็ย่อมไม่เกรงกลัวแต่อย่างใด

ฟ้าดินขมุกขมัวก่อตัวเป็นผู้ฝึกปราณคนแล้วคนเล่าไม่หยุด พวกเขาเสมือนเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณสักแห่ง มีวิชาอัศจรรย์แตกต่างกัน พลังต่อสู้น่าหวาดผวาเหลือล้น

แม้พวกเขาจะไร้สติปัญญา ทว่าล้วนอาจหาญไม่กลัวตาย ในมือถือของวิเศษอาทิ กระบี่วิญญาณ ทวนวงเดือน หอกยาว ดาบศึก กระถางหยก ตราประทับเป็นต้น บุกทะลวงกลางฟ้าดิน แม้ว่าอานุภาพจะแตกต่างกันไป ทว่าล้วนแต่กดดันททั้งสิ้น

พลังหมัดปลดปล่อยออกไป!

หลินสวินสำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เต็มกำลัง นัยน์ตาเยียบเย็นราวสายฟ้า ผมยาวปลิวไสว สีหน้าผงาดผยองดุจเทพมารบุกทะลวงเก้าชั้นฟ้า

ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ! ผู้ฝึกปราณถูกพิฆาตคนแล้วคนเล่า ร่างประหนึ่งละอองแสงที่แตกระเบิด แปรเป็นเมฆหมอกขมุกขมัวมลายลับไป

ในเวลาเดียวกันหลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งตะลุยไปเบื้องหน้าเต็มกำลัง

เพียงแต่หลินสวินค่อยๆ รู้สึกว่ากินแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย ระดับความเร็วที่บุกทะยานไปเบื้องหน้าก็เริ่มได้รับผลกระทบ

‘แม้แต่เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรก็ไม่อาจสำแดงฤทธิ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์แล้ว…’ สีหน้าของหลินสวินเผยความคร่ำเคร่ง

ตามที่เขาคาดคะเน ศักยภาพของผู้ฝึกปราณที่ได้พบครั้งนี้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถตีเสมอผู้กล้าชั้นยอดระดับอู่ต้วนหยาได้!

‘ช่างวิปริตเสียจริง เพียงแต่…’

หลินสวินนึกถึงจุดนี้ มุมปากก็อดยกโค้งขึ้นมาไม่ได้

นี่จะโทษใครก็ไม่ได้ หากจะโทษคงต้องโทษที่ศักยภาพของเขาแข็งแกร่งเกินไป ทำให้การทำสอบที่ได้รับมายากเย็นและอันตรายยิ่งยวด

หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่า ในผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ คนที่ต้องเจอบททดสอบวิปริตระดับนี้แบบตนต้องมีเพียงไม่กี่คนแน่

อย่างในตอนแรก สำแดงวิชามรรคธารดาราหลอมเพลิง ก็สามารถกวาดล้างอย่างราบคาบได้แถบใหญ่

ทว่าภายหลัง อานุภาพของธารดาราหลอมเพลิงสามารถสังหารศัตรูได้เพียงเจ็ดแปดคนเท่านั้น

และเมื่อใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร รูปการจึงมรความเปลี่ยนแปลง ทำให้หลินสวินเริ่มต้นการบดขยี้อีกครั้ง

มายามนี้… กลับต่างไปแล้ว!

ต่อให้หลินสวินสำแดงพลังถึงขีดสุด ก็สามารถกำราบศัตรูได้มากสุดแค่ห้าหกคนเท่านั้น

นี่ไม่ใช่เพราะพลังของเขาอ่อนแอลง แต่เป็นศักยภาพของศัตรูที่ยกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่องต่างหาก!

ตูมโครม!

กลางฟ้าดินพลังหมัดพุ่งออกไป แวววาวดุจกระแสสายฟ้าที่กรีดผ่าห้วงอากาศ มีผู้ฝึกปราณถูกสังหารไม่หยุด แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี

เพียงแต่ในฟ้าดินขมุกขมัวนี้ยังมีผู้ฝึกปราณที่ร้ายกาจยิ่งกว่าปรากฏตัวตามกันออกมา ศักยภาพทรงพลังแข็งแกร่งเป็นเท่าทวี

ปัง!

ไม่นานนัก หมัดของหลินสวินทำได้เพียงทำให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บสาหัส ถึงขั้นไม่อาจสังหารได้ในการโจมตีเดียว ส่วนฝ่ายหลังยังคงบุกเข้ามาอย่างไม่กลัวตาย

‘ถึงขีดจำกัดแล้ว’

‘ความสามารถของเจ้าพวกนี้ไม่ต่างจากยอดฝีมืออย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย อาศัยแค่เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรคงจะฆ่าไม่ตายแล้ว’

หลินสวินคาดว่าจะเป็นเช่นนี้ไว้ตั้งแต่ต้น จึงเปลี่ยนกลยุทธ์ทันที เรียกดาบหักออกมาเสียงดังชิ้ง

สวบ!

ดาบหักที่เกือบโปร่ง แสงเจิดจ้าวราวหิมะกวาดตวัดกลางห้วงอากาศ ในชั่วพริบตาก็สังหารผู้ฝึกปราณไปสิบกว่าคน

ว่ากันถึงที่สุดแล้วดาบหักคือศาสตราจิต ศักยภาพของมันเดิมก็น่าอัศจรรย์หาใดเทียบ เรียกได้ว่าเป็นดาบดุดันเย้ยฟ้าเล่มหนึ่ง ภายใต้การควบคุมด้วย ‘มรดกอักษรปฐมแห่งค่ายกลลายมรรค’ ของหลินสวิน อานุภาพที่ปลดปล่อยจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี

ฆ่า!

หลินสวินรุดหน้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง

เวลาหนึ่งก้านธูป หากเป็นแต่ก่อนเพียงชั่วดีดนิ้วก็ผ่านไป

ทว่าในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ กลับเหมือนเชื่องช้าผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ทุกเสี้ยวเวลาล้วนทำให้คนทุกข์ทรมานกันถ้วนหน้า

นอกเขาพยับคราม มีผู้กล้าที่เข้าร่วมถกมรรคถูกเคลื่อนย้ายออกมา โดนคัดออกไม่หยุด พาให้เกิดเสียงถอนหายใจมากมายในที่นั้น

ที่ผ่านมาผู้กล้าทุกคนล้วนแต่เป็นเหล่าคนชั้นยอดจากที่ต่างๆ ในแดนฐิติประจิม ได้รับการจับจ้องจากผู้คนนับหมื่น ชื่อเสียงเลื่องลือ

แต่ตอนนี้ แค่บททดสอบถกมรรคด่านที่สองเท่านั้น ก็มีผู้กล้าถูกคัดออกมามากถึงเพียงนี้แล้ว พาให้คนอกสั่นขวัญหายยิ่ง

“แน่นอนว่านี่ไม่เหมือนกับในอดีต แค่อัตราการถูกคัดออกระดับนี้ ก็ไม่มีเทศกาลโคมกถามรรคครั้งใดสามารถนำมาเปรียบเทียบได้”

“ผ่านไปสองเค่อแล้ว เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว ก็ไม่รู้ว่ามีใครสามารถผ่านเขตขีดจำกัดนี้ไปได้บ้าง”

ผู้ฝึกปราณมากมายต่างเฝ้าติดตามอย่างใจจดใจจ่อ ในใจกระสับกระส่าย อยากจะรู้ผลโดยเร็ว

โดยเฉพาะเหล่าบุคคลแห่งยุคอย่างจี้ซิงเหยา อวี่หลิงคง ซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ จงหลีอู๋จี้ มู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนพวกนี้ ยิ่งได้รับความสนใจอย่างที่ไม่มีเคยมีก่อน

ใครจะเป็นคนฝ่าบททดสอบได้เป็นคนแรกกันแน่

ทุกคนต่างเฝ้ารอคอย

“อันดับหนึ่ง!”

“มีเพียงผู้ที่ผ่านการทดสอบเป็นคนแรกเท่านั้น ถึงมีสิทธิ์รับรางวัลใหญ่ที่สุด ของวิเศษที่ผู้อาวุโสไม่อาจลืมเลือนได้ชิ้นนั้น จะต้องปรากฏในการทดสอบครั้งนี้เป็นแน่”

ในเขตขีดจำกัด ทั่วสรรพางค์กายของอวี่หลิงคงอาบไล้แสงศักดิ์สิทธิ์ เจิดจ้าราวตะวันสาดแสงแรงกล้า เขามีรูปร่างสูงโปร่ง เครื่องหน้าหล่อเหลาราวกับเซียนจุติลงมาก็ไม่ปาน มีท่วงท่าที่สง่าผ่าเผยไร้ผู้ใดเทียบ

พลังต่อสู้ของเขาก็น่ากลัวเป็นอย่างมาก ฝ่าทะลวงมาตลอดทาง เมื่อศักยภาพของศัตรูแข็งแกร่งขึ้น พลังต่อสู้ของเขาก็แข็งแกร่งตามไปด้วยเช่นกัน ช่างน่าตื่นตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

“ไม่ว่าใครก็ไม่อาจขวางข้าได้ ที่หนึ่งต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!”

แววตาอวี่หลิงคงประหนึ่งรุ้งเทพ เผยความมั่นใจในตัวเองเต็มเปี่ยม

“นี่เป็นรางวัลพิเศษเชียวนะ จะขาดส่วนของข้าไปได้อย่างไร”

อีกหนึ่งเขตขีดจำกัด จี้ซิงเหยาในชุดกระโปรงสีพื้น บนใบหน้างดงามแฝงความนิ่งสงบและเยือกเย็นอันเป็นเอกลักษณ์

ความเร็วของนางก็เร็วมากเช่นกัน วิธีต่อสู้ของนางดูเหมือนไม่มีความอัศจรรย์ใดๆ แต่พลานุภาพกลับน่าประหวั่นอย่างที่สุด แสงกระบี่พร่างพราวพุ่งกวาด ตัดเปิดเส้นทางตรงแน่วสายหนึ่งให้นางท่ามกลางหมู่ศัตรู

“สามคนแรกถึงจะได้รับรางวัล ต่อให้ไม่สามารถชิงที่หนึ่งมาได้ ก็ต้องชิงสามอันดับแรกมาให้ได้!”

“ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นรางวัลแบบไหน แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่ ข้าจะต้องแย่งมันมาให้จงได้!”

“คนอื่นๆ ต้องจับจ้องไปที่รางวัลสามชิ้นนี้ตั้งแต่ต้นแล้วอย่างที่คาดแน่ แต่ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้!”

ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน บุคคลแห่งยุคอย่างเหลยเชียนจวิน มู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน ต่างก็สำแดงพลังเต็มที่ หมายมาดคว้ารางวัลสุดท้ายนั้นมาให้ได้

นี่ไม่ใช่เพียงแค่วาสนาหนึ่ง ยังเป็นการประลองและแข่งขันกันอย่างไร้รูประหว่างบุคคลแห่งยุคด้วย

ไม่ว่าใครต่างไม่ยอมรั้งท้าย!

ชิ้ง!

ดาบหักทะยานอากาศ คดเคี้ยวดุจสายฟ้า คมดาบแวววาวเจิดจ้าเป็นอย่างยิ่ง ประกายคมไร้เทียมทานระดับนั้นเรียกได้ว่าตัดสะบั้นได้ทุกสิ่ง

หลินสวินในยามนี้เค้นขีดจำกัดของตนออกมา ก่อนหน้านี้ตอนที่รับมือราชันกึ่งระดับลิ่นไท่เจิน ยังไม่เคยต้องเค้นพลังขนาดนี้

ฟุ่บๆๆ ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นถูกสังหารไปคนแล้วคนเล่า ดับสลายไปในความว่างเปล่า ไม่อาจขัดขวางหลินสวินได้แม้เพียงก้าว

‘มิน่าเฒ่าสากกะเบือไป่เฟิงหลิวถึงพูดว่า บททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ล้ำค่ามาก มีประโยชน์ในการเคี่ยวกรำศักยภาพของผู้ฝึกปราณอย่างน่าเหลือเชื่อ หากว่าผ่านไปได้ ศักยภาพของตนก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ในระดับหนึ่ง…’

หลินสวินตระหนักอย่างแจ่มแจ้ง

บุกทะลวงมาตลอดทางจนถึงตอนนี้ ทำให้เขาอยู่ในสภาพที่สู้จนถึงขีดจำกัดมาตลอด จึงต้องเค้นศักยภาพและพลังแฝงของตนออกมาให้ถึงที่สุด ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือการเคี่ยวกรำที่ยากลำบากครั้งหนึ่ง

ก็เหมือนกันตอนนี้ ตามการต่อสู้ที่ทวีความดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้หลินสวินควบคุมดาบหักได้เชี่ยวชาญและคล่องมือยิ่งขึ้น มีความรู้สึกสมบูรณ์รางๆ ราวกับเป็นมือเป็นแขน ช่ำชองดั่งใจ

เช่นเดียวกัน ในระหว่างการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นธารดาราหลอมเพลิง หรือว่าเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ต่างก็ถูกเคี่ยวกรำและชำระล้างไปอีกขั้น

ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินรู้สึกได้อย่างชัดแจ้งว่า ความเข้าใจต่อวิชายุทธ์ของตนกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด…

ฆ่า!

กระทั่งให้หลัง หลินสวินละทิ้งความคิดว้าวุ่นไปทั้งหมด จิตใจจมอยู่ในการต่อสู้อย่างถึงที่สุด สำแดงวิชายุทธ์ของตนออกมาอย่างอหังการ

กระบวนเฉือนคว้าดารา…

กระบวนเฉือนสอยจันทรา…

กระบวนเฉือนเผาตะวัน…

กระบวนเฉือนนภาสงัด…

จนกระทั่งต่อมา ความเร้นลับของหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าก็ถูกหลินสวินสำแดงออกมา ก็เห็นว่ากลางห้วงอากาศ ดาบหักฟาดฟันอย่างแผ่วเบาคราหนึ่งก็สะท้อนพลังน่าพรั่นพรึงไม่เป็นสองรองใคร กวาดล้างออกไปกลางฟ้าดิน ไร้เทียมทานและน่าสะพรึงอย่างที่สุด

ก่อนหน้านี้น้อยมากที่หลินสวินจะสำแดงออกมา

แม้แต่ยามประมือกับบุคคลอย่างซาหลิวฉาน ชิงเหลียนเอ๋อร์ หลินสวินล้วนแต่ยั้งมือมาโดยตลอด ไม่เคยสำแดงความล้ำลึกแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้า

แน่นอนว่ายามนี้หลินสวินควบคุมได้เพียงแค่สี่กระบวนแรก ความเร้นลับของสองกระบวนสุดท้ายอย่าง ‘กระบวนเฉือนเกิดดับ’ และ ‘กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้’ ยังไม่อาจหยั่งถึง

แต่แม้เป็นเช่นนี้ พลานุภาพของมรดกวิชาดาบที่ได้มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์นี้ ก็เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่สะเทือนใต้หล้าแล้ว

หืม?

ฉับพลันนั้น ขณะกำลังหยั่งรู้วิชายุทธ์ หลินสวินที่กำลังฝ่าทะลวงในการต่อสู้ไม่หยุดพลันได้สติขึ้นมา กวาดสายตาสาดส่องไปทั่วทิศ

ทั้งแถบล้วนเงียบงัน ไม่มีศัตรูอีก กลางฟ้าดินขมุกขมัวเหลือแต่เขาคนเดียวอีกครั้ง

“หมดแล้ว?” หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะนึกได้โดยพลันว่า คงไม่ใช่ว่าตนมาถึงที่ที่เรียกว่าอีกฟากฝั่งของเขตขีดจำกัดแล้วหรอกกระมัง?