ตอนที่ 875 มหามรรคไร้ขอบเขต
ฟุ่บ!
แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งวาบ ผู้ฝึกปราณคนสุดท้ายที่ขวางทางอยู่เบื้องหน้าถูกกำจัดสิ้น
มุมปากของอวี่หลิงคงพลันปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
สำเร็จแล้ว!
นอกพันจั้ง นั่นก็คือจุดหมาย!
เวลานี้เขาหายใจหอบเล็กน้อย ตลอดทางฝ่าทะลวงมาเต็มกำลัง ทำให้เขาเสียแรงไปมากโข ทว่าความหวังอยู่ตรงหน้า นั่นทำให้เขารู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างคุ้มค่า
‘ผู้อาวุโส ในที่สุดท่านก็สมปรารถนาแล้ว…’
อวี่หลิงคงพึมพำอยู่ในใจ เขาไม่มัวรีรอแต่อย่างใด รุดหน้าบุกทะลวง เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องคาดไม่ถึงใดๆ เพราะความเลินเล่อเสี้ยวเดียวในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายนี้แน่!
ตึง!
ทว่ายามอีกเพียงร้อยจั้งเงาร่างของเขาก็จะถึงจุดหมาย ฟ้าดินขมุกขมัวนี้ก็พลันเกิดเสียงดังกึกก้องราวกับเป็นเสียงระฆังลั่นบอกเวลา ขจรขจายไปยังทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน กู่ก้องกังวาน
นี่…
ทีแรกอวี่หลิงคงตะลึงงันไปก่อน รอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากพลันแข็งค้าง ดวงตาเบิกโต ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
“ไม่ เป็นไปไม่ได้ จะมีคนชิงไปถึงก่อนข้าก้าวหนึ่งได้อย่างไร”
อวี่หลิงคงราวกับโดนฟ้าผ่า ในใจถูกความเดือดดาลและไม่ยินยอมซึ่งไม่เคยมีมาก่อนท่วมท้น พาให้เขาแผดเสียงออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ห่างเพียงร้อยจั้ง!
ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน แค่พริบตาเดียวก็ไปถึงจุดหมายได้ ไม่จำเป็นต้องพะวงแต่อย่างใด
ทว่ายามนี้ บนระยะทางอีกแค่ชั่วพริบตานั้น กลับมีคนชิงไปถึงจุดหมายก่อน!
การโจมตีนี้รุนแรงเกินไป ต่อให้อวี่หลิงคงเป็นคนอารมณ์ดีแค่ไหน ยามนี้ก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือด ในใจแค้นจนอยากจะฆ่าคน
เป็นไปได้อย่างไร
ทั่วร่างเขาแผ่พลังน่าหวาดหวั่นออกมา ตรงดิ่งขึ้นไปยังท้องฟ้า เรือนผมแผ่สยายราวกับเทพสวรรค์บันดาลโทสะ สีหน้าคล้ำเขียว กลิ่นอายน่ากลัว
……
‘เขตขีดจำกัดนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ ทะลวงฟันมาตลอดจนถึงยามนี้ ถึงกับปลุกเร้าขีดจำกัดที่มีทั้งหมดของข้า การฝึกฝนเช่นนี้ช่างหาได้ยากนัก’
อีกหนึ่งเขตขีดจำกัด แววตาของจี้ซิงเหยาใสกระจ่าง ประกายแวววาวระยิบระยับตา
นางรู้สึกได้ชัดเจนว่าเมื่อผ่านการเคี่ยวกรำหนนี้แล้ว จะทำให้นางได้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย การฝึกปราณฝึกยุทธ์ก็พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น!
แม้ในใจคิดเช่นนี้ จี้ซิงเหยาก็ยังไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้สักนิด เงาร่างราวกับสายรุ้งน่าตะลึง รุดหน้าฝ่าทะลวงไป
จุดหมายก็อยู่เบื้องหน้านี่เอง!
จี้ซิงเหยามีความมั่นใจอย่างแรงกล้าต่อศักยภาพของตน เชื่อมั่นว่าในการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ รางวัลของสามอันดับแรกจะต้องมีส่วนของตนหนึ่งส่วนแน่
ถึงขั้นที่นางตั้งเป้าว่าจะชิงที่หนึ่งมาได้
นี่ไม่ใช่ความทะนงตน แต่มาจากความมั่นใจที่นางมีต่อศักยภาพของตนเอง
ตึง!
เพียงแต่พริบตาที่นางกำลังจะเข้าใกล้จุดหมาย กลางฟ้าดินพลันมีเสียงระฆังก้องกังวานยาวนาน
ในชั่วพริบตานั้นจี้ซิงเหยาตัวแข็งทื่อ นัยน์ตากระจ่างแผ่แสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา ‘หรือจะเป็นเจ้าอวี่หลิงคงนั่น เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าไม่เคยประมือกับเขา แต่หากพูดถึงพลังเบื้องลึกเบื้องหลัง ข้าย่อมไม่ด้อยไปกว่าเจ้านั่นแน่!’
แม้คิดเช่นนี้ ทว่าในใจกลับมีความหดหู่เสี้ยวหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ ทำให้อารมณ์ของจี้ซิงเหยายากจะสงบนิ่ง
…
‘คงเป็นจี้ซิงเหยา!’
มู่เจี้ยนถิงแห่งอารามพรางมรกตขมวดคิ้ว ในใจทอดถอนใจ ไม่เสียทีที่เป็นธิดาเทพแห่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาในปัจจุบัน ศักยภาพเช่นนี้แน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าทึ่ง ยากจะมีคนไม่ยอมรับ
…
“เป็นไปได้อย่างไร! เวลาเพิ่งจะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ก็มีคนแรกไปถึงจุดหมายแล้ว?”
ซาหลิวฉานตะโกนอย่างแค้นเคืองและไม่ยินยอม
…
“จี้ซิงเหยา? หรือจะเป็นอวี่หลิงคง?”
ทั่วร่างเหลยเชียนจวิน ‘เหลยโหวน้อย’ แห่งเผ่ามหาอสนีเปี่ยมด้วยเจตจำนงต่อสู้ “แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ถึงยิ่งน่าสนุก หากไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ ชีวิตนี้คงน่าเบื่อหน่ายเกินไปแล้ว”
……
ในเขตขีดจำกัดที่แตกต่างกัน เสียงระฆังที่ดังสะเทือนเลือนลั่นในเวลาเดียวกันนั้น ผู้กล้าที่กำลังถกมรรคได้ยินกันถ้วนหน้า
ชั่วพริบตาการตอบสนองของพวกเขาล้วนแตกต่าง สีหน้าก็ต่างกันไปต่างๆ นานา มีทั้งตื่นตะลึง ไม่ยินยอม งงัน ประหลาดใจ
นอกเขาพยับครามในเวลานี้ บรรดาผู้ฝึกปราณที่เฝ้าคอยอยู่ก็ล้วนได้ยินเสียงระฆังดังกึกก้อง ทันใดนั้นก็เกิดความโกลาหลขึ้น
“มีคนไปถึงจุดหมายเป็นคนแรกแล้ว!”
“ต้องเป็นจี้ซิงเหยาแน่ มีเพียงนางเท่านั้นถึงมีความสามารถ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ก้าวนำเหล่าผู้กล้าทั้งหลายไปได้!”
“ไม่ผิด หากพูดถึงคนที่มีศักยภาพมากที่สุดในการชิงที่หนึ่งของการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ จี้ซิงเหยาย่อมเป็นคนที่มีความหวังที่สุดโดยไม่ต้องสงสัย”
“อย่าเพิ่งกล่าวกันเกินเหตุไปก่อนเลย บททดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ยุติธรรมเป็นที่สุด ความยากแปรผันตามศักยภาพของผู้ฝึกปราณแต่ละคน ข้าว่าบุคคลแห่งยุคคนอื่นๆ ก็อาจจะทำได้เช่นเดียวกัน อย่างเช่นเทพมารหลิน”
“เทพมารหลิน? ฮ่าๆๆ เจ้าคงไม่อำข้าเล่นหรอกนะ ถึงกับเอาเขามาเปรียบกับเทพธิดาจี้ นี่เป็นการดูหมิ่นเทพธิดาจี้ชัดๆ!”
“ใช่แล้ว! พูดแบบสมมติสุดๆ ต่อให้เทพธิดาจี้ทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ คนที่มีคุณสมบัติพอจะทำได้ก็ไม่มีทางเป็นเทพมารหลิน บุคคลแห่งยุคอย่างมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวน เหลยเชียนจวิน หรือจงหลีอู๋จี้พวกนั้น ก็ล้วนแต่แข็งแกร่งกว่าเทพมารหลินมากนัก”
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างวิพากษ์วิจารณ์ ถึงขั้นถกเถียงอย่างเอาเป็นเอาตายเสียจนหน้าแดงก่ำ
ส่วนเหล่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ดูเยือกเย็นมาก เพียงแต่ภายในใจพวกเขากลับไม่อาจสงบนิ่ง ยามพูดจาก็ดูสงวนท่าทีอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนยอมรับว่า จี้ซิงเหยาเป็นหนึ่งในคนที่มีความเป็นไปได้สูงสุดที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้
ชั่วขณะหนึ่งมีคนจำนวนไม่น้อยพากันเอ่ยปากแสดงความยินดีแก่ท่านย่ากระเรียนทอง
ท่านย่ากระเรียนทองยิ้มตอบกลับไป เพียงแต่นางในเวลานี้ก็ไม่สามารถกล่าวอะไรได้มากนัก
อย่างไรเสียผลสุดท้ายก็ยังไม่แน่ชัด หากดีใจไปก่อนแล้วผลที่ออกมาผิดคาดไป คงจะอับอายขายหน้าไปยกใหญ่
“เป็นผู้กล้าที่เข้าร่วมถกมรรคสามคนไหน ที่จะได้รับรางวัลสุดท้ายของการทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้ไปกันแน่”
“เวลาหนึ่งก้านธูปจวนจะถึงเต็มทีแล้ว พอถึงเวลานั้นก็จะได้รู้ดำรู้แดงกันไป”
ทุกคนต่างกำลังเฝ้าคอย
…
ตามเสียงระฆังที่ดังขึ้น ป้ายหินโบราณแผ่นหนึ่งปรากฏออกมา บนนั้นสลักอักษรมรรคบรรพกาลไว้เช่นกัน
เมื่อมองเห็นภาพนี้หลินสวินก็แน่ใจได้ในที่สุด ว่าตนมาถึงจุดหมายของเขตขีดจำกัดแล้ว!
“เพียงเท่านี้ก็จบแล้วหรือ”
หลินสวินยังคงไม่กล้าเชื่อเท่าไร เขาเงยหน้ามองอักษรมรรคบรรพกาลบนฟ้าหินนั้น
“ขอบเขตนี้มีฝั่ง มหามรรคไซร้ไร้ขอบเขต!”
เพียงไม่กี่คำ กลับพาให้คนรู้สำเหนียกล้ำลึก
“ดูท่านี่เป็นจุดหมายแท้จริงแน่นอน…” หลินสวินมีความรู้สึกว่ามันยังไม่จบอยู่รางๆ
ก่อนที่จะถึงจุดหมาย เขาจมอยู่ในการเคี่ยวกรำวิชายุทธ์ การควบคุมความล้ำลึกของสี่กระบวนท่าแรกแห่งหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าบรรลุถึงระดับสุดยอด อีกนิดก็จะทะลวงได้แล้ว แต่กลับถึงจุดหมายเสียก่อน…
รสชาติของที่จะขึ้นก็ไม่ขึ้นจะลงก็ไม่ลงนี้น่าอึดอัดพอตัว
ไม่ถูกต้อง!
ทันใดนั้นหลินสวินพลันสังเกตเห็นปัญหาหนึ่ง แม้ว่าตนจะถึงจุดหมายแล้ว แต่การทดสอบถกมรรคด่านที่สองนี้กลับยังไม่สิ้นสุด
เวลาหนึ่งก้านธูปก็ยังไม่หมดลงเช่นกัน
เมื่อใคร่ครวญมาถึงจุดนี้ ทั้งร่างหลินสวินพลันไหววูบ ย้อนกลับไปยังเส้นทางที่ผ่านมา เขาอยากลองดูสักตั้ง
ฮูม!
ไม่ทำให้หลินสวินผิดหวังดังคาด กลางฟ้าดินขมุกขมัว ‘ผู้ฝึกปราณ’ คนแล้วคนเล่าปรากฏกายขึ้น!
ซ้ำยังแตกต่างจากที่ผ่านมา ‘ผู้ฝึกปราณ’ ที่ปรากฏในครั้งนี้ ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนแต่มีท่วงท่าไม่ธรรมดา มีมาดละโลกีย์ที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง ราวกับศิษย์แห่งเซียนที่แท้จริงก็ไม่ปาน
มิหนำซ้ำแม้ว่ารูปลักษณ์ของพวกเขาจะเลือนลาง ทว่าก็พอจะแยกออกได้ว่า ในนัยน์ตามีแสงประกายคล้ายมีสติปัญญาฉายออกมาให้เห็น แตกต่างจากท่าทางของพวกก่อนหน้านั้น ที่รู้จักแต่การบุกทะลวงฆ่าฟันโดยไม่กลัวตายอย่างสิ้นเชิง
สิ่งที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจก็คือ ในเวลานี้ชายที่มีลักษณะยังหนุ่มคนนหึ่งก้าวออกมา แขนเสื้อพัดพลิ้ว ยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ
เขาอมยิ้มพลางประสานหมัดทั้งสองคารวะ กล่าวว่า “ยินดีกับศิษย์น้องที่หยั่งรู้หลักแห่ง ‘มหามรรคไร้ขอบเขต’ เขตนี้ย่อมมีจุดหมาย ทว่ามรรคาของพวกเราย่อมไม่อาจหยุดอยู่เพียงเท่านี้ ศิษย์น้องมีปณิธานที่ยึดถืออยู่ในใจ ภายภาคหน้าต้องประสบความสำเร็จแน่”
เสียงนุ่มนวลแจ่มใสดังกังวานทั่วฟ้าดิน
ในเวลาใกล้เคียง บริเวณรอบๆ พลันปรากฏเหล่า ‘ผู้ฝึกปราณ’ ไม่ว่าหญิงหรือชาย ต่างก็อมยิ้มพลางประสานหมัด อวยพรยินดีแก่หลินสวิน
ต่อให้หลินสวินเยือกเย็นแค่ไหน เวลานี้ก็สับสนอยู่พอตัว
ไม่ใช่แค่เพราะ ‘ผู้ฝึกปราณ’ เหล่านี้ดูประหนึ่งบุคคลเมื่อครั้งบรรพกาลฟื้นคืนชีพ สติปัญญาฟื้นคืนเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คืออีกฝ่ายกลับเรียกขานตนว่า ‘ศิษย์น้อง’!
ผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสี รูปโฉมงดงาม กล่าวพร้อมรอยยิ้มงามว่า “ศิษย์น้องคนนี้ดูท่าจะงุนงงพอตัว คิดว่าคงเข้าร่วมการฝึกหลอมถกมรรคของสำนักเป็นครั้งแรกแน่ นี่ทำให้ข้านึกถึงตอนเข้าร่วมฝึกหลอมถกมรรคเมื่อปีนั้นเลย”
คนอื่นๆ ต่างก็ยิ้มให้ ต่างคนต่างทอดถอนใจไม่หยุด คล้ายกับว่าหวนคิดถึงภาพของการเข้าร่วมฝึกหลอมถกมรรคของตน
ท่าทีของพวกเขาล้วนอ่อนโยน น้ำจิตน้ำใจมากล้นเช่นนั้นทำให้คนเลื่อมใส
“สำนัก?”
“การฝึกหลอมถกมรรค?”
ในใจหลินสวินกระเพื่อมไหวขึ้นลง อดถามไม่ได้ว่า “คือว่า… สหายยุทธ์ทุกท่าน นี่มันเป็นมาอย่างไรกันแน่”
“ศิษย์น้อง พวกข้าล้วนจากสำนักมาหลายปีแล้ว การที่ฟื้นตื่นครั้งนี้ก็เป็นแค่ตราประทับเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งที่หลงเหลืออยู่ที่นี่เท่านั้น”
ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าอมยิ้มพลางกล่าวว่า “ส่วนที่ว่าเรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ รอหลังจากเจ้าจากสำนักไปแล้ว เริ่มแสวงหาเส้นทางแห่งอริยมรรคของตน ตอนนั้นเจ้าจะเข้าใจทุกอย่างเอง”
หนุ่มสาวคนอื่นๆ ต่างพยักหน้า
“จากสำนัก? แสวงหาอริยมรรค?”
หลินสวินสูดหายใจด้วยความตะลึงงัน หรือว่าตอนที่หนุ่มสาวเหล่านี้ได้จากสิ่งที่เรียกว่า ‘สำนัก’ นี้ไป ล้วนแต่มีเส้นสนกลในและพลังปราณที่สามารถแสวงหาอริยมรรคได้?
“ศิษย์น้อง การทดสอบสุดท้ายของการฝึกหลอมถกมรรคด่านที่สองจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว พวกข้าเป็นเพียงตราประทับเจตจำนง แค่ออกแรงเพียงนิดเดียวก็จะไม่เหลือสิ่งใดไว้อีก สามารถใช้พลังที่เยี่ยมยอดที่สุดของระดับกระบวนแปรจุติจู่โจม หากเจ้าอยากได้รางวัลแล้วล่ะก็ จะต้องใช้พลังขีดจำกัดอย่างเต็มกำลัง”
สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมาพร้อมกล่าวเตือน
“ศิษย์พี่หลี่ ท่านอย่าขู่ศิษย์น้องคนนี้ของพวกเราสิ เขาสามารถมาถึงจุดหมายแห่งเขตขีดจำกัดได้เป็นคนแรก ซ้ำยังเข้าใจหลักแห่ง ‘มหามรรคไร้ขอบเขต’ ได้อย่างรวดเร็ว พลังและคุณสมบัติระดับนี้ เมื่อเทียบกับพวกเราเมื่อตอนนั้นแล้ว นับว่าแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย”
หญิงชุดกระโปรงรุ้งเจ็ดสีคนนั้นยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยวาจา
ชายหนุ่มคนนั้นนิ่งไปก่อนกล่าวว่า “เรื่องไร้สาระพูดให้มันน้อยลง เวลาของพวกเรามีไม่มาก มาเริ่มกันเลย”
“เดี๋ยว…”
ในใจของหลินสวินร้อนรนขึ้นมา มีความสงสัยเต็มท้องที่เตรียมจะถามออกมา เวลานี้ใครจะอยากไปรับการทดสอบสุดท้ายอะไรนั่นเล่า!
เพียงแต่ไม่รอให้เขาพูดมากความ แขนเสื้อชายหนุ่มคนนั้นก็กางสยาย เจตกระบี่ที่ทรงพลังไร้เทียมทาน กว้างใหญ่ไพศาลสายหนึ่งปรากฏขึ้น อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาทำให้หลินสวินแข็งค้างไปทั้งร่าง รับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
แย่แล้ว!
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ไม่อาจไปคิดเรื่องอื่นอีก โคจรพลังของตนจนถึงขีดสุด ถึงขั้นใช้วิชาอริยะยุทธ์อย่างไม่มีเก็บงำ!
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลินสวินไม่เคยสำแดงวิชานี้ออกมาเลย
แค่คิดก็รู้ได้ทันทีว่า เจตกระบี่สายนี้สร้างแรงกดดันให้กับหลินสวินมากขนาดไหน ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าตั้งแต่เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นเจตกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยพบมา!