จอมกระบี่ปีศาจนั่งอยู่ที่นั่น สายตากวาดมองลงมายังเบื้องล่าง แลกเปลี่ยนสายตากับคนคุ้นเคยบางคนอย่างง่ายๆ หรือแม้กระทั่งถ่ายเสียงทักทาย
เขาก็มองมาทางตงป๋อเสวี่ยอิงนี้เช่นกันแล้วแย้มยิ้มน้อยๆ พลางถ่ายเสียงพูดว่า “น้องเฟยเสวี่ย ยังจำตอนที่เจ้ากับข้าบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์นั่นด้วยกันที่วังเทพจิตโลกาได้หรือไม่ ถ้าหากครั้งนั้นข้าสามารถไปถึงขั้นสุดยอดได้ ก็มีความหวังที่จะพาเจ้าหนีไปได้แล้วล่ะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผชิญกับความเมตตาและความกระตือรือร้นของอีกฝ่ายแล้วก็ตกตะลึงอยู่บ้าง เขาถ่ายเสียงตอบกลับไปว่า “ตอนนั้นพี่กระบี่ปีศาจก็ทุ่มเทเพื่อข้าอย่างสุดกำลัง ข้าก็ซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งแล้ว”
ในเวลานั้นจอมกระบี่ปีศาจที่ยังเป็นเพียงแค่จอมเคารพแต่ก็ไปขัดขวาง ถ้าหากมิใช่เพราะบรรพชนราตรีนิรันดร์ไม่อยากจะฉีกหน้ารัฐโบราณคิมหันตวายุ เกรงว่าแค่โบกมือก็ล้างผลาญจอมกระบี่ปีศาจในตอนนั้นได้แล้ว
จอมกระบี่ปีศาจแย้มยิ้มแล้วก็ถ่ายเสียงพูดคุยกับมิตรสหายที่คุ้นเคยคนอื่นๆ อีกหลายประโยค
และในขณะเดียวกันนั้นเอง…
จักรพรรดิชางก็กำลังจัดการพิธีฉลองในครั้งนี้ ถึงอย่างไรผู้ที่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดในครั้งนี้ก็เป็นศิษย์สกุลชางของเขา
……
พวกจักรพรรดิเซี่ยอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด จัดพิธีเฉลิมฉลองอย่างมีชีวิตชีวายิ่งนัก การแสดงมากมายทำให้ตงป๋อเสวี่ยอิงได้เปิดวิสัยทัศน์กว้าง พิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเก้าวันจึงค่อยเลิกราไป
“ประมุขรัฐเมฆทักษิณา พวกเราสองคนก็มิได้พบกันนานมากแล้วกระมัง คืนนี้ข้าจัดงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่งขึ้นที่เมืองจักรพรรดิชาง พอจะมีเวลาไปพบปะสังสรรค์กันสักหน่อยหรือไม่เล่า พี่สวรรค์โบราณก็อยู่ด้วย อ้อ พอถึงเวลา จ้าวหิมะเหินไปด้วยกันสิ”
“พี่เมฆทักษิณา”
“เมฆทักษิณา…”
เพราะเทพจักรวาลที่เข้าร่วมงานพิธีเฉลิมฉลองมีเป็นจำนวนมาก ยากนักที่ทุกคนจะได้มาพบปะกัน รอจนงานเลี้ยงเลิกราไปแล้ว ทว่าแต่ละคนที่ได้รับเชิญมากลับไปจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขนาดย่อมๆ กันขึ้นมาเสียแล้ว
ถึงอย่างไรแม้ว่าพิธีเฉลิมฉลองครั้งนี้จะคึกคัก แต่ก็ค่อนข้างเคร่งครัด งานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ จึงจะมีความผ่อนคลายมากกว่า
ประมุขรัฐเมฆทักษิณาเป็นถึงจอมเคารพที่มั่งคั่งที่สุด เป็นผู้ก่อตั้งสำนักวิชาเมฆทักษิณาทิพย์ที่เป็นถึงหนึ่งในสิบสำนักใหญ่ เป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ล้ำเลิศแห่งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่มาเชื้อเชิญเขาก็ย่อมต้องมีมากมายอยู่แล้ว หลายคนก็ไว้หน้า เชิญ ‘จ้าวหิมะเหิน’ ให้ไปด้วยกัน จ้าวหิมะเหินที่เป็นเพียงแค่เทพจักรวาลชั้นที่สองคนหนึ่ง ธรรมดาสามัญเหลือเกินในหมู่เทพจักรวาลที่มาเข้าร่วมงาน
“น้องเฟยเสวี่ย อย่ารีบไปนักเลย” ทว่าจอมกระบี่ปีศาจกลับมาเชื้อเชิญ ลากตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเดินไปด้วย “ข้ามีงานเลี้ยงสังสรรค์เล็กๆ งานหนึ่ง จัดเลี้ยงมิตรสหายจำนวนหนึ่งเป็นการส่วนตัว เจ้ากับข้าเคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน อย่างไรก็อย่าได้ปฏิเสธเลยนะ”
ตงป๋อเสวี่ยอิงมิอาจปฏิเสธได้ ก็ได้แต่ไปด้วยกันเท่านั้น
นี่ทำให้เหล่าเทพจักรวาลกลุ่มใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ต่างพากันปากอ้าตาค้างอยู่บ้าง
“จอมกระบี่ปีศาจกับจ้าวหิมะเหินผู้นี้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ได้ยินว่าพวกเขาบุกผ่านด่านสิบแปดกัลป์ของวังเทพจิตโลกาด้วยกัน”
“ก็แค่บุกผ่านวังเทพจิตโลกาเท่านั้น ความสัมพันธ์ก็สนิทชิดเชื้อกันเช่นนี้เลยหรือ”
เทพจักรวาลจำนวนมากต่างพากันริษยาเป็นอย่างยิ่ง
มาถึงระดับอย่างขั้นสุดยอดนี้ จอมกระบี่ปีศาจก็ทำอะไรตามอำเภอใจอย่างยิ่ง เขาอยากจะเชิญใครก็เชิญคนนั้น! ก็ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินผู้ใด ถึงอย่างไรขั้นสุดยอดหากตัวเป็นมาร ก็จะเป็นพญามารผู้ไร้เทียมทานในทันที… บุคคลผู้ไร้เทียมทานก็ยากที่จะจัดการได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขา จอมกระบี่ปีศาจนั้นแสนสั้น มีความหวังที่จะได้สมบัติลับล้ำค่าขั้นสูงมาครอง เบื้องหลังยังมีพันธมิตรที่กล้าแข็งอย่างจักรพรรดิเซี่ย จักรพรรดิชางและบรรพชนฝานอยู่อีกด้วย
ดังนั้นจอมกระบี่ปีศาจก็เชื้อเชิญเพียงแค่ผู้ที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดที่สุดเพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น แม้กระทั่งประมุขรัฐเมฆทักษิณาเขาก็ยังมิได้เชิญมาเลย
งานเลี้ยงสังสรรค์ในคืนนั้น
จอมกระบี่ปีศาจก็ได้แนะนำตงป๋อเสวี่ยอิงให้กับมิตรสหายจำนวนหนึ่ง ให้ผู้อื่นได้รู้ว่าจ้าวหิมะเหินก็คือสหายร่วมเป็นร่วมตายของเขา จอมกระบี่ปีศาจ เพียงชั่วครู่ในสายตาของเทพจักรวาลจำนวนมากมายทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา จ้าวหิมะเหินผู้นี้ก็มีอาจารย์อย่าง ‘ประมุขรัฐเมฆทักษิณา’ อีกทั้งยังมีจอมกระบี่ปีศาจที่ร้ายกาจยิ่งกว่าเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เทพจักรวาลจำนวนมากก็มีความเคารพยำเกรงในตัวจ้าวหิมะเหินเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าหากขอให้คนช่วยเหลือ ก็คงจะง่ายดายเป็นอย่างมาก
แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงในตอนนี้กลับทุ่มเทจิตใจให้กับการบำเพ็ญเพียงอย่างเดียว อาศัยร่างแปรคนวิถีจิตฟ้ามาห้ำหั่นเหล่ามารเป็นครั้งคราวเท่านั้น
……
ณ คีรีมารสกุลฝาน
ต้นไม้เทพผลาญจิตที่ต้นเตี้ยกว้างใหญ่แข็งแกร่ง กิ่งก้านสาขาขนาดมหึมาสีม่วงเข้มแผ่ปกคลุมเบื้องล่างหนุ่มน้อยอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่น
เวลาเคลื่อนผ่านไป มีใบไม้ที่ราวกับหินหยกสีม่วงเข้มสลักเสลาใบแล้วใบเล่าปลิดปลิวร่วงหล่นลงมา
นับตั้งแต่หลังจากทำข้อตกลงตำราโลกเทียมในตอนนั้นแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีร่างแยกร่างหนึ่งบำเพ็ญอยู่ที่นี่มาโดยตลอด อ้างอิงจากเงื่อนไขของข้อตกลง เขาก็มีสิทธิ์บำเพ็ญภายใต้ต้นไม้เทพผลาญจิตเป็นเวลานานล้านล้านปี! แต่ถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสามแสนล้านปีแล้ว
หลังจากจอมกระบี่ปีศาจสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดเพียงแค่หมื่นกว่าปีเท่านั้น
ตงป๋อเสวี่ยอิงลืมตาขึ้นในทันใด นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมืดมัวคล้ายกับมีการทำลายล้างอันน่าหวาดหวั่นอยู่
อีกพริบตาเดียว นัยน์ตาก็กลับเป็นปกติ
“สี่สายผสานรวมสำเร็จแล้ว”
ตงป๋อเสวี่ยอิงเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “วิถีเขตลวงโลกเทียม ข้าก็ผสานรวมสี่สายได้สำเร็จโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ห่างจากห้าสายผสานรวมไปถึงขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวสุดท้ายก้าวเดียวเท่านั้นเอง”
ห่างอีกเพียงก้าวเดียววิถีอากาศก็จะกลายเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
ตอนนี้วิถีเขตลวงโลกเทียมก็เป็นเช่นนี้!
แต่ทั้งสองมีความหมายที่แตกต่างกัน
‘วิถีเขตลวงโลกเทียม’ เป็นถึงวิถีทางด้านวิญญาณ ระดับความยากก็ย่อมสูงเป็นอย่างยิ่ง ดูทั้งดินแดนจิตโลกา ผู้ที่สำเร็จเป็นเทพจักรวาลทางด้านวิถีวิญญาณนั้นมีน้อยยิ่งกว่าน้อย! ผู้ที่วิถีวิญญาณไปถึงระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองนั้นมีน้อยยิ่งกว่าขั้นสุดยอดของวิถีอื่นๆ เสียอีก!
วิถีนี้ยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั่งตำราก็ยังล้ำค่าหาใดเปรียบ!
“สี่สายผสานรวม” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มน้อยๆ “ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย พรสวรรค์ทางด้านโลกเทียมของข้ายังสูงส่งกว่าวิถีอากาศเสียอีก”
ก็จริงอยู่
วิถีอากาศ เป็นเพราะว่ามีคนเดินไปก่อนหน้ามากมายเหลือเกิน ดังนั้นตนเองจึงได้รับโอกาสมามากมาย อย่างเช่นชุดเกราะของแม่ทัพโม่กู่ ศาสตร์ลับสี่ภาพวาดของจักรพรรดิเก้าเมฆา วิชาลับผู้ท่องของบรรพชนห้วงอากาศ เป็นต้น… ผลประโยชน์ต่างๆ นานา ซึ่งได้รับที่ดินแดนจิตโลกา อย่างเช่นยุทธวิธีเมฆาแดง วิชาเมฆทักษิณาทิพย์สิบสองกระบวนท่า และปุจฉวิถีคละถิ่นอันใดก็ช่างเถิด บุปผาโลกาเก้าดอกที่เจ้าเมืองหลัวมอบให้ เคล็ดสืบทอดลับขั้นสูงที่วังเทพจิตโลกาของหยวนที่ตนได้มา!
โอกาสอันดีมากมาย บวกกับพรสวรรค์ของตน จึงเดินมาถึงก้าวที่อยู่ในทุกวันนี้ได้
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว วิถีเขตลวงโลกเทียม โอกาสของโลกภายนอกก็น้อยนิดเป็นอย่างยิ่ง
ที่อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด ตนสำเร็จเป็นขั้นอลวน ก็คือคนแรกของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว! ตนเองก็เป็นคนเปิดทางเลยทีเดียว
และมาถึงดินแดนจิตโลกาก็ต้องลำบากลำบนกว่าจะได้รับตำราโลกจิตของบรรพชนฝานมา แม้กระทั่งตนเองเหนือกว่าบรรพชนฝานได้อย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งบรรพชนฝานนึกอยากจะศึกษาตำราโลกเทียมที่ตนคิดค้นขึ้น ตอนนี้ตนผสานรวมสี่สาย… มองดูทั่วทั้งดินแดนจิตโลกา วิถีเขตลวงโลกเทียมก็มีเพียงแค่เขา ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่เป็นสี่สายผสานรวม
เรียกได้ว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของทั้งดินแดนจิตโลกา!
……
ณ สถานที่อันไกลโพ้นแห่งหนึ่งของห้วงมิติระดับที่สูงกว่า
ชายชราผู้หนึ่งนั่งประจันหน้าจิบน้ำชาอยู่กับเจ้าเมืองหลัว
“หืม”
ชายชรากลับมองไกลออกไปยังทิศทางหนึ่งในทันใด
“ผู้อาวุโส เป็นอะไรไปหรือ” เจ้าเมืองหลัวถาม
“วิถีเขตลวงโลกเทียมของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นั้น สี่สายผสานรวมเรียบร้อยแล้ว” หยวนตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาเป็นผู้สร้างดินแดนจิตโลกาขึ้นมา ส่วนตงป๋อเสวี่ยอิงก็คือหนึ่งในผู้ที่เขาให้ความสนใจในโลกกำเนิดจำนวนมากมาย มิฉะนั้นเขาก็คงไม่ขัดเกลาวิธีการหลอมอาวุธคละถิ่นที่ดัดแปลงให้ง่ายขึ้นมาให้เป็นการเฉพาะหรอก แล้วก็ยิ่งไม่มีทางมอบโลหิตหัวใจของมารดามังกรหมื่นสัมผัสให้ด้วย
“สี่สายผสานรวมก็มิได้อยู่ห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้นแล้วหรือไร” เจ้าเมืองหลัวตกตะลึง “ที่ดินแดนจิตโลกาของท่านแห่งนั้น ผู้ที่วิถีทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวก็มีแต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงผู้เดียวเท่านั้นกระมัง”
“ถูกต้อง มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!” หยวนก็อุทานเช่นกัน
วิถีวิญญาณก้าวหน้าได้ยากเย็นเหลือเกิน
ตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองคิดว่าเป็นวิถีเขตลวงโลกเทียมคนแรกของดินแดนจิตโลกา แต่เขากลับไม่รู้ว่าตัวเขานั้นเป็นวิถีทางด้านวิญญาณคนแรกของดินแดนจิตโลกาอีกด้วย!
“โลกกำเนิดแต่ละแห่ง ส่วนใหญ่ต่างก็มิได้มีผู้แกร่งกล้ามากเท่าดินแดนจิตโลกาหรอก” หยวนอุทาน “ถึงแม้จะอาศัยจำนวนที่มากมายมหาศาล นับรวมทั้งผู้บำเพ็ญจำนวนหนึ่งของสถานที่พิเศษบางแห่งของมิติคละถิ่น… ผู้ที่ทางด้านวิญญาณห่างจากขั้นสุดยอดอีกเพียงแค่ก้าวเดียวนั้นถึงแม้ว่าจะมีอยู่เกินกว่าร้อยคน ทว่าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียวที่บำเพ็ญเป็นระยะเวลาอันสั้นถึงเพียงนี้เหมือนกับตงป๋อเสวี่ยอิง!”
“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวพยักหน้า
เท่าที่พวกเขาสองคนรู้
แต่ไหนแต่ไร…
แต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีวิถีวิญญาณไปถึงขั้นสุดยอดเกิดขึ้นมาเลย! ไม่มีเลยแม้แต่คนเดียว! ดังนั้นหยวนก็ไม่มีหนทางมอบตำราลงมาให้กับดินแดนจิตโลกาได้เลย เพราะถึงแม้ว่าพวกเขาต่างก็เป็นผู้แกร่งกล้าในบรรดาสิ่งมีชีวิตคละถิ่นด้วยกันทั้งสิ้น แต่ก็มิได้เชี่ยวชาญทางด้านวิถีวิญญาณ
ตอนนี้เท่าที่พวกเขาล่วงรู้ ผู้ที่ลึกซึ้งที่สุดทางด้านวิถีวิญญาณก็คือเหลืออีกเพียงก้าวเดียวก็จะเป็นขั้นสุดยอดแล้ว
“ระยะเวลาในการบำเพ็ญของเขาสั้นเกินไปแล้ว” เจ้าเมืองหลัวก็ทอดถอนใจ “นับรวมกับระยะเวลาที่เขามีประสบการณ์ที่โลกกำเนิดบ้านเกิดของเขาและที่ดินแดนจิตโลกา รวมกันขึ้นมาแล้วก็ยังไม่ถึงสองล้านล้านปีเลยด้วยซ้ำ! ไม่ถึงสองล้านล้านปีก็ยกระดับวิถีเขตลวงโลกเทียมมาถึงขั้นนี้ได้แล้ว… ช่างน่าหวาดหวั่นเหลือเกิน พรสวรรค์ทางด้านเขตลวงโลกเทียมของเขาช่างชวนให้คนตื่นตกใจจริงๆ”
“อืม” สองตาของหยวนก็เปล่งประกาย “ข้ามีการคาดการณ์อย่างหนึ่งว่าถ้าหากเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอดแล้วเกรงว่าการจะสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่นก็มิใช่เรื่องยากแล้วล่ะ ฮ่าฮ่า เขาคงจะบำเพ็ญจนบรรลุที่ดินแดนจิตโลกาของข้า ดูจากอุปนิสัยของเขายังใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านั้นมากกว่าเจ้ากับข้าเสียอีกนะ ช่างมีใจรำลึกถึงความหลัง รู้จักสำนึกบุญคุณ เมื่อถึงเวลาก็น่าจะเข้าร่วมกับพวกเราทางนี้ได้อย่างง่ายดาย”
“ใช่แล้ว” เจ้าเมืองหลัวยิ้มตาหยี “ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ส่งมอบบุปผาโลกาเก้าดอกให้กับเขา แต่ว่าเงื่อนไขทั้งหมดก็คือเขตลวงโลกเทียมของเขาไปถึงขั้นสุดยอด! วิถีทางตามปกติ การบรรลุไปถึงก้าวสุดท้ายของขั้นสุดยอดนั้นก็ยากเย็นเป็นที่สุดอยู่แล้ว เกรงว่าการจะบรรลุเขตลวงโลกเทียมได้นั้นก็คงจะยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก! โลกกำเนิดมากมาย ร้อยกว่าคนนั้นที่ทางด้านวิญญาณอยู่ห่างจากก้าวสุดท้ายเพียงแค่ก้าวเดียว ทว่าแต่ละคนต่างก็ติดค้างอยู่ที่นั่น ไม่มีผู้ใดสามารถก้าวออกจากก้าวสุดท้ายนั้นได้เลยแม้แต่คนเดียว”
หยวนพยักหน้าเบาๆ “ข้าเคยมอบโลหิตหัวใจมารดามังกรหมื่นสัมผัสหยดหนึ่งให้กับเขา สำหรับเขา เทพจักรวาลผู้ที่มิได้หนีออกจากกรงขังคนหนึ่งแล้ว นี่ก็คือขั้นสุดยอดของวิญญาณของเขาแล้ว พวกเราช่วยเขามิได้หรอก เขาก็ยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของวิถีเขตลวงโลกเทียมแล้ว หลังจากนี้ไปก็ต้องให้เขาเดินไปเองแล้วล่ะ”
“อัตราเร็วในการบำเพ็ญของเขาช่างรวดเร็วจริงๆ พรสวรรค์ทางด้านนี้ก็ห่างชั้นกับคนอื่นๆ ที่รู้จักทั้งหมด” เจ้าเมืองหลัวก็พยักหน้า “ถึงแม้ว่าก้าวสุดท้ายจะยากเย็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากพูดถึงความหวัง เขาก็มีหวังมากที่สุด”
“รอก่อนเถิด” หยวนแย้มยิ้มน้อยๆ “ใครๆ ก็ว่ากันว่าการที่ข้ารังสรรค์ดินแดนจิตโลกานั้นเป็นเรื่องเสียเวลา ทว่าพวกเขากลับไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานพอ แล้วยังต้องมีความอดทนมากพอ จึงจะมีผู้แกร่งกล้าที่แท้จริงปรากฏตัวขึ้น”
พวกเขาสองคนให้ความสนใจอยู่รอบหนึ่งแล้วก็มิได้ใส่ใจอะไรมากอีกแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้อยากจะให้เขตลวงโลกเทียมไปถึงขั้นสุดยอด เกรงว่าคงจะมิได้ง่ายดายเช่นนั้น
……………………………………………..