ภาคที่ 35 มหาเคารพหิมะเหิน ตอนที่ 37 จักรพรรดิจวินเดือดดาล

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ณ อากาศอันสับสนอลหม่านบ้านเกิด

ที่แห่งนี้สงบเงียบกว่าดินแดนจิตโลกามากมายนัก หากแต่เป็นความสงบเงียบก่อนพายุฝนจะมา!

‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ผู้แกร่งกล้าอันดับหนึ่งของทั้งอากาศอันสับสนอลหม่านทุ่มเทจิตใจเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ ได้รับความศรัทธาของเหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนในโลกทิพย์โบราณอันกว้างใหญ่ อาศัยร่างแปรทิพย์โบราณเปลี่ยนเป็นพลังต้นกำเนิด สถานที่แต่ละแห่งอย่างเช่นแผ่นดินอลหม่าน ก็มีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ศรัทธาในตัวเขา ส่งพลังศรัทธาให้อย่างต่อเนื่อง ‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ก็สะสมอยู่ตลอด เตรียมตัวสำหรับการโจมตีสุดท้ายอีกครั้งยามที่มหาวินาศมาถึง ทดลองดูว่าสามารถควบคุม ‘กฎเกณฑ์สูงสุด’ ที่ยุคนี้ได้หรือไม่ ให้ตนเองสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น ถ้าหากล้มเหลวก็ได้แต่รอยุคต่อไปแล้ว

ส่วนเหล่าเทพจักรวาลคนอื่นๆ อย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นต้น ต่างก็กำลังทุ่มเทเก็บตัวเพื่อบำเพ็ญ

ไม่สำเร็จเป็นขั้นสุดยอด ก็ไม่มีทางต้านทานการแหลกสลายของโลกกำเนิดและถือกำเนิดขึ้นใหม่ได้

……

และที่ทางเดินโลกาพิศวง

ภายในมิติปิดผนึกแห่งหนึ่ง มีดอกไม้สีดำดอกหนึ่งแขวนลอยอยู่ กลีบของดอกไม้ประสานปิดโดยสมบูรณ์

หลังจากผ่านไปเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ดอกไม้สีดำดอกนี้ก็แย้มบานอย่างช้าๆ ในที่สุด เผยตัวบุรุษผอมบางที่มีหางหุ้มเกล็ดยาวเหยียดผู้ดูร้ายกาจที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่งออกมา ซึ่งก็คือฝูงมารผลาญทำลายคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้นำของฝูงมารผลาญทำลายทั้งหมดที่มีอยู่ในทางเดินโลกาพิศวงในตอนนี้อีกด้วย… นั่นก็คือจักรพรรดิจวิน

จักรพรรดิจวินค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ นัยน์ตากลับมีสีอันแปลกประหลาดอยู่

“ในที่สุดข้าก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว!” จักรพรรดิจวินมิอาจปิดบังความตื่นเต้นได้ เขามองดูห้วงมิติเบื้องหน้า เส้นสายพลังจำนวนนับไม่ถ้วนแผ่ปกคลุมทั่วทุกหนแห่ง และกฎเกณฑ์ทั้งหมดก็ถูกเขาควบคุมเอาไว้จนสิ้น เขาก็สามารถควบคุมพลังขั้นสุดยอดขุมนี้เอาไว้ได้อย่างสบายๆ

“ไปถึงขั้นสุดยอด อย่างน้อยต่อให้โลกกำเนิดแห่งนี้เกิดมหาวินาศ ข้าก็สามารถต้านทานได้อย่างง่ายดาย สามารถมีชีวิตอยู่รอดไปถึงยุคหน้าได้อย่างง่ายดายแล้ว” จักรพรรดิจวินหรี่ตาคิดใคร่ครวญ “ฟังผู้อาวุโสชี้แนะ ภายในโลกกำเนิดแห่งนี้มีเจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนที่ไปถึงขั้นสุดยอด จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นฝูงมารผลาญทำลายของสักยุคหนึ่งเมื่อเนิ่นนานมาแล้วก่อนหน้า แต่ว่าโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง ในท้ายที่สุดแล้วก็มีคนที่ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุดได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น พวกเขาล้วนเป็นคู่ต่อสู้ของข้าทั้งสิ้น”

หลังจากที่จักรพรรดิจวินไปถึงขั้นสุดยอดแล้วก็วางแผนหนีออกจากกรงขัง ไปถึงสิ่งมีชีวิตคละถิ่นแล้ว

แต่สำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตคละถิ่น…

รูปแบบที่เห็นได้บ่อยที่สุดก็คือควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่ง อาศัยพลังมหาศาลของโลกกำเนิดแห่งหนึ่งมาเป็นพลังของตน ทำให้ตนไปถึงระดับชีวิตอีกขั้นหนึ่งได้

สำหรับอีกรูปแบบหนึ่งนั้นก็คือการใช้พลังทำลายกฎ! บำเพ็ญตนเอง ก็สามารถฝืนหลบหนีออกจากกรงขังแห่งนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น ในทางกลับกันก็สามารถควบคุมโลกกำเนิดแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว

“เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ต่างก็สำเร็จเป็นขั้นสุดยอดมาเนิ่นนานเหลือเกินแล้ว พื้นฐานของพวกเขาต่างก็ล้ำลึกกว่าข้าทั้งสิ้น”

“ข้าจะต้องคว้าโอกาสมาให้ได้ ตอนนี้ ยุคนี้ ข้าก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่กฎเกณฑ์สูงสุดให้กำเนิดออกมา เกิดมาก็เพื่อทำลายล้าง ขอเพียงแค่ข้ายิ่งทำลายล้างได้มาก กฎเกณฑ์สูงสุดก็ยิ่งมอบผลประโยชน์ให้มาก” จักรพรรดิจวินเอ่ยพึมพำ “ไม่ลงมือก็แล้วไปเถิด แต่พอลงมือแล้วก็ไม่ให้โอกาสจอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาเลยแม้แต่น้อย จะต้องทำลายล้างทั้งโลกกำเนิดให้เร็วที่สุด ทำให้มันเข้าสู่มหาวินาศอย่างรวดเร็ว”

เมื่อใดที่เกิดมหาวินาศ

มิได้เป็นขั้นสุดยอดก็ต้องตายจนหมดสิ้น ก็คือฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้น ก็อาจถูกผลาญทำลายจนหมดสิ้น

แต่จักรพรรดิจวินกลับมิได้สนใจ

สิ่งที่เขาสนใจก็คือตนเองสามารถได้รับผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของกฎเกณฑ์สูงสุด! เขาผลาญทำลายก็เพราะทำไปตามครรลอง ทำไปตามอิทธิพลของกฎเกณฑ์สูงสุดเท่านั้น

แต่ว่าสำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างเช่นตงป๋อเสวี่ยอิง พวกเขากลับไม่ยอมจำนนสูญสลายไปเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนมีความปรารถนาที่จะอยู่รอด ก็ย่อมพยายามรักษายุคนี้เอาไว้อย่างสุดกำลังอยู่แล้ว

“รวบรวมพลังยุทธ์ก่อน”

“เมื่อใดที่เหมาะสม ก็เป็นเวลาลงมือแล้ว” จักรพรรดิจวินเผยรอยยิ้มหนึ่งออกมา “ถึงแม้ว่าพวกจอมเทพศักดิ์สิทธิ์จะมิได้ด้อยไปกว่าข้า แต่ก็มิอาจคุกคามข้าได้ มิอาจต้านทานข้าได้เช่นกัน”

……

เพียงแค่ไม่กี่หมื่นปีให้หลัง จักรพรรดิจวินก็คิดว่าตนรวบรวมพลังยุทธ์ได้แล้ว

“ควรลงมือได้แล้วสินะ”

จักรพรรดิจวินแสยะยิ้ม

พรึ่บ… ห้วงอากาศโดยรอบพลันบิดเบี้ยวกลายเป็นถ้ำดำมืดออกมา จักรพรรดิจวินก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับเข้าไปภายในถ้ำมืดนั้นแล้ว

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ที่โลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว

“โลกทิพย์นิจนิรันดร์”

จักรพรรดิจวินเดินออกมาจากถ้ำดำมืดแล้วมองลงไปยังเบื้องล่าง มองเห็นว่าท่ามกลางความเวิ้งว้างว่างเปล่าอันไกลโพ้นนั้นมีชนเผ่าอยู่เผ่าหนึ่ง ภายในเผ่ายังมีประชากรจำนวนมากดำรงชีวิตอยู่ที่นี่ บริเวณที่ไกลออกไปลิบๆ มีปราการเมืองขนาดมหึมาอยู่แห่งหนึ่ง

“หึๆๆ”

จักรพรรดิจวินหัวเราะเยียบเย็นเสียงหนึ่ง หางยาวเป็นเกล็ดของเขาก็แกว่งไกว

จากนั้นจึงโบกมือที่เต็มไปด้วยเกล็ดของเขาออกมา

“ครืน…”

ห้วงอากาศอันไร้ขอบเขตเบื้องหน้าพลันเริ่มบิดเบี้ยว แผ่นดินถูกบิดเบี้ยวทำลายล้างอย่างสมบูรณ์ แม้กระทั่งส่วนที่ลึกที่สุดของแผ่นดินก็ยังถูกทะลุทะลวงจนมองเห็นอากาศอันสับสนอลหม่านที่อีกฟากหนึ่งของส่วนล่างสุดของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ การบิดเบี้ยวนี้ก็แผ่ระลอกคลื่นไปทุกทิศทุกทาง ชนเผ่านั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่า ปราการเมืองขนาดมหึมาที่อยู่ไกลออกไปก็ถูกระลอกคลื่นบิดเบี้ยวผลาญทำลายไปในทันที

เหล่าประชากรจำนวนนับไม่ถ้วนภายในปราการเมือง อีกทั้งยังมีเจ้าเมืองขั้นอลวนคนหนึ่งอยู่อีกด้วย!

แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีกำลังต้านทานเลยแม้แต่น้อย ปราการเมืองขนาดมหึมาแห่งนั้นพร้อมกับสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายในถูกล้างผลาญไปราวกับเช็ดถูทิ้งจากบนรูปภาพอย่างไรอย่างนั้น

กระบวนท่าของจักรพรรดิจวินโหดเหี้ยมเกินไป เขามิได้จงใจจะไปสังหารหมู่ วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของเขาก็คือต้องการจะทำลายล้างทั้งโลกทิพย์นิจนิรันดร์! โลกทิพย์นิจนิรันดร์เป็นสถานที่ซึ่งพวกบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกาสั่งสมมาเป็นเวลาช้านานอย่างลำบากยากเข็ญจึงจะสร้างขึ้นมาได้ ต่อให้ขั้นสุดยอดอยากจะทำลายล้างให้หมดสิ้นก็ยังต้องอาศัยเวลาสักเล็กน้อย

“อะไรกัน”

ณ โลกทิพย์โบราณ

‘จอมเทพศักดิ์สิทธิ์’ ที่เป็นถึงผู้แกร่งกล้าขั้นสุดยอดรับสัมผัสได้อย่างเฉียบแหลมเพียงใด เคล็ดวิชาที่สำแดงอย่างสุดกำลังตามอำเภอใจนั้นของจักรพรรดิจวิน ขณะที่เพิ่งสำแดง จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็รับสัมผัสได้แล้ว

เขาสวมอาภรณ์ผ้าโปร่งสีดำ มองบริเวณไกลๆ อยู่ห่างๆ มองปราดเดียวก็เห็นภาพเหตุการณ์ภายในโลกทิพย์นิจนิรันดร์แล้ว

“เขาสำเร็จเป็นขั้นสุดยอดแล้วหรือ” จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึงอยู่บ้าง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนไปเสียแล้ว

ถึงแม้ว่าจะเป็นฝูงมารผลาญทำลายเช่นเดียวกัน

ทว่าจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กลับมิได้มีความยินดีเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงข้ามกลับมีเพียงแค่ความโมโหเท่านั้น!

“อยากจะได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดผ่านการทำลายล้างหรือ ในอนาคตก็ยิ่งมีความมั่นใจในการถือครองกฎเกณฑ์ขั้นสูงกว่าอย่างนั้นหรือ” ประกายหนาวเหน็บในดวงตาของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์กะพริบวาบแล้วเขาก็หายตัวไปกลางอากาศ ก็เหมือนกับเจ้าศิลาที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตัดสินใจเดินบนเส้นทางการใช้พลังทำลายกฎ แต่ทุกๆ ช่วงเวลาวิกฤติก็ยังดึงลากขาจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่! เพราะว่าเมื่อใดที่จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ควบคุมกฎเกณฑ์สูงสุด ความเป็นความตายของเจ้าศิลาก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์แล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดิจวินไม่มีทางเดินบนเส้นทางอันยากเข็ญเป็นที่สุดอย่างการ ‘ใช้พลังทำลายกฎ’ ถึงแปดเก้าส่วนในสิบส่วน

เพราะว่าเจ้าศิลาเป็นสายฝึกกาย ไม่มีหนทางจึงได้เลือกการใช้พลังทำลายกฎ!

ดังนั้น…

จักรพรรดิจวินจึงจะเป็นคู่ต่อสู้ตัวฉกาจที่สุดของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในอนาคต

……

“หืม”

เจ้าศิลาที่หลับสนิทอยู่ที่ดวงอาทิตย์ดั้งเดิม ถึงแม้ว่าจะหลับ แต่การรับสัมผัสต่อโลกภายนอกก็ยังคงเฉียบแหลมเช่นเดิม

พละกำลังอันน่าหวาดหวั่นขุมนั้นระเบิดออก แต่กลับแตกต่างกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างสิ้นเชิง ชั่วครู่เดียวก็ทำให้เจ้าศิลาตื่นขึ้นมาเสียแล้ว

ร่างกายใหญ่มหึมาของเขาพุ่งขึ้นมาจากดวงอาทิตย์ดั้งเดิม

“ขั้นสุดยอดคนใหม่ อีกทั้งยังเป็นฝูงมารผลาญทำลายอีกด้วยหรือ” ชายชราร่างผอมเล็กก้าวยาวๆ ก้าวหนึ่งก็หายลับไปจากบนดวงอาทิตย์ดั้งเดิม เขาไม่มีทางทำให้ขั้นสุดยอดอีกคนหนึ่งได้รับผลประโยชน์จากกฎเกณฑ์สูงสุดไปอย่างง่ายๆ อยู่แล้ว

……

“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

“ก็ได้แต่ขอร้องท่านอาจารย์แล้วล่ะ” บรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ทั้งสองท่านเป็นถึงผู้นำของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ ก็ย่อมต้องรับสัมผัสได้ในทันทีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเผชิญหน้ากับการทำลายตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวิน พวกเขาก็ยังปวดเศียรเวียนเกล้า

จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น เพื่อสืบทอดคำสอน เพื่อให้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนศรัทธาในตัวเขา แต่มิใช่ตั้งหน้าตั้งตาทำลายล้างเพียงอย่างเดียว

จักรพรรดิจวินนั้นไม่เหมือนกัน

แม้กระทั่งบรรพชนโลกาและบรรพชนทิพย์ไปขัดขวาง จักรพรรดิจวินก็อาจสำแดงเคล็ดวิชาขนาดใหญ่ตามอำเภอใจ ยอดฝีมือระดับเทพจักรวาลชั้นที่สองขั้นสุดยอดสองคนก็ย่อมไม่สามารถคุ้มครองผู้อ่อนแอได้อยู่แล้ว

“หยุดมือนะ” เสียงตะโกนอย่างเย็นชา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว

“โลกกำเนิดนี้กำลังค่อยๆ คืบคลานเข้าใกล้มหาวินาศทีละน้อยแล้ว ท่านจำเป็นต้องสังหารหมู่ด้วยหรือไร” เจ้าศิลาร่างผอมเล็กก็มาแล้วเช่นกัน

พวกเขาสองคนลงมือพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

“จอมเทพศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็คือมารผู้ยิ่งใหญ่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ถึงกับมาช่วยสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เชียวหรือ” จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง แต่กลับเคลื่อนย้ายไปเป็นระยะทางกว่าครึ่งของโลกทิพย์นิจนิรันดร์ในทันใด ไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่งเพื่อทำลายล้างต่อไป

“ปัง”

เจ้าศิลาปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศข้างกายจักรพรรดิจวินแล้วกระแทกออกไปหมัดหนึ่ง

ทว่าจักรพรรดิจวินกลับยิ้ม เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณรอบๆ บิดเบี้ยว ทำให้หมัดอันน่าหวาดหวั่นของเจ้าศิลาถูกขจัดออกไปเป็นส่วนใหญ่ พละกำลังที่เหลืออยู่ ทว่าเงาร่างของจักรพรรดิจวินกลับกะพริบวาบราวกับภูตผีแล้วหลบหลีกไปไกลแสนไกลเสียแล้ว

“เปรี้ยง…” สายฟ้าสีเทาฟาดลงมา จอมเทพศักดิ์สิทธิ์กุมหอกยาวเอาไว้ในมือแล้วพยายามขัดขวางอย่างสุดกำลัง

“ฮ่าฮ่า…”

จักรพรรดิจวินหัวเราะเสียงดัง เส้นสายบริเวณรอบๆ จำนวนนับไม่ถ้วนบิดเบี้ยว เขาทำได้เพียงแค่ป้องกันและหลบหนีเท่านั้น ไม่มีอิทธิพลคุกคามเลยแม้แต่น้อย

ถึงอย่างไรก็เป็นขั้นสุดยอดเช่นเดียวกัน ความสามารถในการรักษาชีวิตรอดต่างก็แข็งแกร่งเป็นที่สุด ถ้าหากตั้งใจจะหลบหนีหรือซ่อนตัว จอมเทพศักดิ์สิทธิ์และเจ้าศิลาต่างก็ยากยิ่งที่จะทำร้ายเขาได้

“พลั่ก…” แต่จักรพรรดิจวินยังคงสำแดงเคล็ดวิชาอยู่ เขาฟาดฟันฝ่ามือคราหนึ่ง ห้วงอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนก็บิดเบี้ยวแหลกสลาย เคล็ดวิชาการโจมตีของเขายิ่งกินอาณาบริเวณกว้างมากขึ้น วิถีอสนีบาตของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไปถึงขั้นสุดยอดแล้ว ส่วนเจ้าศิลานั้นเป็นสายฝึกกายเชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวเป็นที่สุด ภายในชั่วครู่เดียวพวกเขาต่างก็ยากที่จะต้านทานการทำลายล้างตามอำเภอใจของจักรพรรดิจวินได้

“ชิ้ง”

ประกายกระบี่สายหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันยิ่ง

แทงตรงเข้ามาจากด้านหลังของจักรพรรดิจวิน ทะลุออกมาจากทรวงอก

จักรพรรดิจวินก้มหน้าลงมองปลายกระบี่ที่ทรวงอกอย่างยากจะเชื่อแล้วหันหน้าไปมองทางด้านหลัง ก็คือบุรุษผมขาวคนหนึ่ง

“จอมกระบี่หรือ” จักรพรรดิจวินจ้องมองบุรุษผมขาว

“จอมกระบี่หรือ” เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ที่จนใจไม่รู้จะทำอย่างไรกับจักรพรรดิจวินมาโดยตลอดก็มองดูภาพเหตุการณ์นี้อย่างตื่นตะลึง กระบี่ที่เงียบงันไร้สุ้มเสียงแต่กลับน่าหวาดหวั่นอย่างที่สุดนั้น เจ้าศิลาและจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังค้นพบหลังจากที่จักรพรรดิจวินถูกกระบี่แทงแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกได้ถึงพลังคุกคามอันแรงกล้า พลังคุกคามที่จอมกระบี่นำพามานั้นยังเหนือกว่าจักรพรรดิจวินเสียอีก

………………………………………