GGS:บทที่ 1023 น้ำหอมที่รุนแรงประดุจดั่งพายุ (2)

“คุณจ้าวคะ….. คือ…พวกเราไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำหอมยี่ห้อเทียนซินได้เลยค่ะ” ณ บริษัทน้ำหอมซือหลัน หญิงวัยกลางคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะในสำนักงานด้วยท่าทีที่เหม่อลอย ผ่อนคลาย แต่มีแววตาที่เคร่งขรึมราวกับหญิงแกร่งคนหนึ่ง
ข้างหน้าเธอนั้นมีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ยืนอยู่กับอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตตัวโดยมีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มมารายงานผลลัพท์ด้วยท่าทีอึกอัก
“หาต่อไป เพิ่มเงินรางวัลเข้าไปอีก” สาวแกร่งที่น่าจะเป็นประธานบริษัทพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“คุณจ้าวครับ ไม่เพียงแต่เราเท่านั้นที่กำลังควานหา ตอนนี้มีอีกหลายๆกลุ่มที่เริ่มตามหาที่มาของน้ำหอมนี่แล้วเหมือนกันแต่ว่ายังไม่มีใครหาเจอเลยครับ

ดูเหมือนว่าเจ้าของน้ำหอมนั่นไม่เพียงจะส่งให้กับคุณจ้าวตงเท่านั้นแต่ยังส่งน้ำหอมนี้ไปอีกหลายคนทีเดียว ผมไม่รู้จริงๆว่าเขาต้องการอะไรกันแน่” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นฉันพอจะเข้าใจแล้วล่ะ ฉันว่าน้ำหอมยี่ห้อเทียนซิน(เป็นที่รัก)นี้ไม่ควรจะมีในโลก หรือไม่ก็เป็นไปได้ยังไม่ได้เปิดตัวเข้าสู่ตลาดน้ำหอม
หากนี่เป็นความจริงล่ะก็เกรงว่าที่มีคนส่งน้ำหอมมานี่เพียงเพื่อจะดูผลตอบรับเท่านั้น หรือไม่ก็เขาอาจจะกำลังลองโยนหินถามทางดูเพื่อหาสปอนเซอร์ในการผลิตอยู่
หากเป็นอย่างหลังล่ะก็เรายิ่งต้องรีบเข้าไปอีกก่อนที่จะมีคนอื่นมาชุบมือเปิบไป หากเป็นไปได้ล่ะก็เราควรจะซื้อสูตรทำน้ำหอมจากคนนั้นโดยตรงให้ได้” หญิงแกร่งได้รีบพูดออกมา

“ครับ” เหล่ากลุ่มคนชายหญิงที่ได้ยินการคาดการณ์จากหญิงแกร่งผู้เป็นเจ้านายก็เพิ่งจะรู้สึกถึงความพิเศษของน้ำหอมเทียนซินนี้และทำให้พวกเขานั้นเริ่มจริงจังในการหาข้อมูลมากกว่าเดิม
พวกเขาเองก็ได้สัมผัสกลิ่นหอมนี้แล้วด้วยเช่นเดียวกันและนั่นก็ทำให้พวกเขารู้ถึงมูลค่าที่น้ำหอมนี้จะทำได้ในทันทีหากว่ามันวางขายในตลาดน้ำหอม
หากเป็นน้ำหอมนี้พวกเขาแน่นอนเลยว่าหากได้มาแล้วจะทำให้บริษัทของพวกเขาเป็นหนึ่งในประเทศได้อย่างง่ายดาย

ขณะเดียวกัน หวังซือหยาที่กำลังนั่งอยู่ในสำนักงานของบริษัทซือหยาคอสเมติกก็มีท่าทีร้อนรนเช่นเดียวกัน เธอนั้นสั่งให้ทุ่มกำลังค้นหาที่มาของน้ำหอมเทียนซินนี้หลังจากที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมของมัน
ตอนแรกที่เธอได้รับน้ำหอมนี้มานั้นเธอเพียงแค่งุนงงในคราแรกและตกตะลึงหลังจากที่ได้สัมผัสกลิ่นหอมอย่างที่สุดนี้

นอกจากนี้เธอยังมารู้ทีหลังอีกว่านอกจากเธอแล้ว โจวเสวี่ย และหยินหนิงหนงเองก็ได้รับคนละขวดเช่นเดียวกัน ถึงแม้น้ำหอมที่พวกเธอได้รับนั้นจะเป็นคนละกลิ่นกัน นี่ทำให้หวังซือหยาตื่นเต้นเพราะเธอไม่คิดว่าน้ำหอมที่ดึงดูดเย้ายวนใจขนาดนี้จะมีอีกหลายกลิ่น
ด้วยการที่บริษัทของเธอนั้นทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยงามของผู้หญิง นอกจากเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว และเสื้อผ้าแล้ว แน่นอนว่าสิ่งที่บริษัทของเธอจะขาดไม่ได้นั่นก็คือน้ำหอม
อย่างไรก็ตามด้วยการที่บริษัทของเธอนั้นพึ่งจะเข้ามาในตลาดไม่นาน หากเทียบกับบริษัทอื่นแล้วที่จริงบริษัทของเธอควรจะระดับอยู่แค่กลางๆของวงการเท่านั้น
เพียงหลังจากที่ซูจิ้งเข้ามาร่วมหุ้นกับบริษัทของเธอเท่านั้นทำให้บริษัทของเธอสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศมากมายออกมา

ไม่ว่าจะเป็นผงเสริมความงาม ผงเสริมทรวงอก ผงลดน้ำหนัก เสื้อผ้าร่วมสมัย และสินค้าอื่นๆอีก ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้แบรนด์ของบริษัทของเธอเป็นที่รู้จักและกลายเป็นแบรนด์ชั้นนำของโลกในตอนนี้
ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่กับเรื่องน้ำหอมนี้ยังเป็นจุดด้อยของบริษัทเธออยู่ดี มาตอนนี้นี่จะเป็นโอกาสที่ดีอย่างมากหากเธอสามารถซื้อลิขสิทธิ์น้ำหอมสุดพิเศษนี้มาได้ล่ะก็นี่จะเป็นการกลบจุดด่างพร้อยของบริษัทได้ในที่สุด
นอกจากนี้นี่ยังถือได้ว่าเป็นการเปิดตลาดใหม่ได้อย่างแน่นอน เธอมั่นใจเรื่องนี้เป็นอย่างดีว่าน้ำหอมนี้จะมีมูลค่ามหาศาลทันทีที่วางตลาด นั่นก็เพราะว่ามีน้ำหอมหลายกลิ่นที่น่าหลงใหลไม่แพ้กัน
แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเธอไม่สามารถหาข้อมูลที่มาของน้ำหอมเทียนซินนี้ได้เลยแม้แต่น้อย คนที่ส่งน้ำหอมนี้มาไม่ได้ทิ้งช่องทางให้ติดต่อหรือร่องรอยให้ติดตามได้เลยแม้แต่น้อย

นี่ทำให้เธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าคนที่ส่งมานี่กำลังรอคอยหรือถูกติดต่อโดยบริษัทอื่นไปแล้วรึเปล่าก็ไม่รู้ นี่ทำให้หวังซือหยารู้สึกอึดอัดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
“ประธานหวังคะ ฉันว่าคุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้ให้มากนักจะดีกว่า ตอนนี้บริษัทอื่นเองสมควรจะตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ต่างไปจากพวกเราอย่างแน่นอน ขนาดเรายังไม่ได้ร่องรอยอะไรเลยแล้วคนพวกนั้นจะไปหาที่มาของน้ำเทียนซินนี่ได้ยังไงกัน” สาววัยกลางคนคนหนึ่งพูดออกมา

“ก็จริงที่ตอนนี้สมควรที่บริษัทอื่นจะประสบปัญหาเช่นเดียวกับเรา แต่เราเองก็ไม่สามารถนิ่งนอนใจได้เช่นเดียวกนนะ หากว่ามีใครบางคนเจอร่องรอยล่ะก็พวกเราจะสูญเสียโอกาสที่จะกลายเป็นหนึ่งในวงการไปเลยนะ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็ทัดทานขึ้นมาในทันที
“การที่อีกฝั่งหนึ่งส่งน้ำหอมให้กับพวกเราแบบนี้แต่กลับไม่ทิ้งช่องทางติดต่อกลับไปแบบนี้ช่างเป็นการกระทำที่น่าฉงนจริงๆ เขาอาจจะสร้างสถานการณ์ที่ทำให้น้ำหอมนี้มีมูลค่าสูงขึ้นก็ได้จากการที่เราหาที่มาไม่เจอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็ฉันยินดีที่จะกระโจนเข้าไปในสถานการณ์นี้อย่างเต็มใจเลย เพียงน้ำหอมขวดเล็กๆขวดหนึ่งแต่กลิ่นของมันช่างเหมาะสมกับคำว่าสุดยอดน้ำหอมขนาดนี้มันคุ้มค่าแล้วล่ะ”

หวังซือหยาที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วยและพูดออกมาว่า “น้ำหอมเทียนซินนี้คุ้มค่ากับราคาที่สูงล้ำอย่างแน่นอน คนทั่วไปนั้นล้วนแล้วแต่ให้ความสำคัญกับกลิ่นกายของตัวเองทั้งนั้น
น้ำหอมนี้หากวางตลาดจริงๆล่ะก็การขายไปในราคาที่ถูกไม่มีทางเป็นไปได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้พวกเราไม่ได้มันมาขายก็จริงแต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้ของดีขายด้วยราคาอันต่ำต้อยไปได้
พวกเราต้องทำทุกทางแม้แต่การสู้รบปล้นชิงกับบริษัทอื่นก่อนที่น้ำหอมนี้จะโดนฉกไปต่อหน้าต่อตา”

หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ไม่มีใครเลยแม้แต่บริษัทเดียวที่หาที่มาของน้ำหอมเทียนซินขวดนี้ นี่ยิ่งทำให้หวังซือหยาอยากจะได้บริษัทที่ผลิตน้ำหอมเทียนซินนี้มาอยู่ในกำมือเข้าไปใหญ่ แน่นอนว่าบริษัทอื่นๆเองก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากเธอ
เย็นวันนั้น เชิงชิเหยาได้เข้ามาในบริษัทด้วยชุดเดรสสีแดงยาว เธอตรงไปหาซือหยาเพื่อที่จะคุยเรื่องงาน แต่พอไปถึงก็พบว่าหวังซือหยากำลังคุยกับโจวเสวี่ยและหยินหนิงหนิงเกี่ยวกับน้ำหอมอยู่
หวังซือหยาในตอนนี้เริ่มสงสัยอะไรบางอย่าง
เธอสงสัยว่าการที่เจ้าของน้ำหอมส่งน้ำหอมมาให้เธอกับหยินหนิงหนิงนั้นเรื่องนี้ยังพอเข้าใจได้เพราะกับเธอนั้นเป็นเจ้าของบริษัทชื่อดังและหยินหนิงหนิงนั้นเป็นดาราดังในตอนนี้ แต่ประเด็นคือทำไมต้องเป็นโจวเสวี่ย
นั่นก็เพราะต่อให้หาชื่อของโจวเสวี่ยในอินเตอร์เน็ต อย่างมากข้อมูลของเธอที่พบนั้นสมควรจะเป็นแค่สมาชิกของบริษัทเท่านั้น

หากว่าเจ้าของน้ำหอมคิดจะเพิ่มมูลค่าให้กับน้ำหอมนี้จริงล่ะก็สมควรจะส่งให้กับเจ้าของบริษัทต่างๆเพียงบริษัทละหนึ่งขวดเสียมากกว่าแต่นี่กับส่งมาให้บริษัทของเธอถึงสามขวดแถมยังเป็นการเฉพาะเจาะจงเสียอีก
หรือว่านี่จะเป็นร่องรอยที่พวกเธอกำลังควานหากัน
“พี่ซือหยา พวกพี่กำลังคุยเรื่องน้ำหอมอะไรกันเหรอ” เชิงชิเหยาถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“น้ำหอมที่ชื่อว่าเทียนซินน่ะ ว่าแต่ชิเหยา กลิ่นหอมนี่มาจากเธออย่างนั้นเหรอ” หวังซือหยา โจวเสวี่ย และหยินหนิงหนิงในตอนนี้กำลังทำจมูกฟุดฟิดพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย
“ช่างเป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นละมุนชวนดมจนจับใจเลยนะ น้ำหอมของเธอนี่เหมือนกลิ่นดอกลิลลี่แต่มันชวนดมกว่าดอกลิลลี่มากจริงๆ” หวังซือหยาพุดออกมาก่อนที่จะสูดลมหายใจไปอีกเฮือกใหญ่

“นี่กลายเป็นว่าบริษัทของเราได้รับน้ำหอมมาสี่ขวดเลยนะเนี่ย คนที่ส่งน้ำหอมมานี่น่าจะจับตาบริษัทของพวกเราอยู่เป็นแน่” โจวเสวี่ยพูดออกมาพลางหัวเราะกึ่งๆภูมิใจ
“เป็นไปได้ แถมคนๆนี้ยังเข้าใจตัวตนของแต่ละคนอีกด้วย เขาช่างรู้ดีจริงๆว่าน้ำหอมกลิ่นไหนเหมาะกับพวกเราแต่ละคน” หยินหนิงหนิงพูดออกมา
“เดี๋ยวนะ นี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ” เชิงชิเหยาที่ได้ยินทุกคนพูดออกมาถึงกับงุนงงอย่างหนัก
“ทำไมล่ะ อย่าบอกนะว่าน้ำหอมที่เธอใช้ไม่ใช่น้ำหอมที่ชื่อเทียนซิน” หวังซือหยาที่ได้ยินคำถามของเชิงชิเหยาถึงกับนิ่งอึ้งในทันที

เธอนึกสงสัยเหมือนกันว่าตัวเองเข้าใจผิดไปเหมือนกันแต่ก็ไม่น่าเป็นไปได้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะกลิ่นอันลึกล้ำแบบนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นคนละกลิ่นกับของพวกเธอแต่ก็ไม่สมควรที่จะมีน้ำหอมยี่ห้ออื่นที่มีกลิ่นแบบนี้ไปได้
“ไม่นะ ฉันใช้น้ำหอมของซูจิ้งน่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยใบหน้าเขินอายเล็กน้อย เมื่อเช้านี้เธอได้ลองดมน้ำหอมที่ซูจิ้งให้เธอมาดูอีกครั้ง คราวนี้เธอรู้สึกว่ามันหอมจบจับใจเลยตัดสินใจจะใช้มันก่อนมาที่นี่
อย่างไรก็ตามตอนที่เธอใช้นั้นเป็นเพราะว่ามันหอมจับใจเธอก็เท่านั้น แถมขวดที่เธอได้นั้นเป็นขวดน้ำหอมธรรมดาเท่านั้น ไม่ได้มีตัวอักษรคำว่าเทียนซินแต่อย่างใด

“….นี่…เกี่ยวอะไรกับอาจิ้งได้ล่ะ” หวังซือหยา หยินหนิงหนิง และโจวเสวี่ยที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป เพียงคำพูดนี้ราวกับว่าได้ตัดเอาความสงสัยต่างๆก่อนหน้านี้ของพวกเธอให้กระจายสิ้นไปในทันที
“เมื่อวานนี้ซูจิ้งให้น้ำหอมฉันมาขวดหนึ่งแล้วบอกว่าเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เขาทำขึ้นมาเลยให้เอามาลองใช้ดูน่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมา
“…งั้น…น้ำหอมเทียนซิน…ก็…” หวังซือหยา หยินหนิงหนิง และโจวเสวี่ยเอามือตบหน้าผากแทบจะพร้อมกันก่อนที่จะหันไปมองหน้ากันและกันในทันที
หวังซือหยาที่ตั้งสติได้ก่อนใครได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาซูจิ้งในทันที
“โอ้ ว่าไงอาเจ้ซื…..” ซือจิ้งที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์แล้วเห็นเป็นหวังซือหยาโทรมาก็ได้รีบรับแล้วกล่าวทักทายออกไปแต่ยังไม่สิ้นประโยคดี
“อาจิ้งงงงงงงง น้ำหอมเทียนซินนี่อย่าบอกนะว่าเป็นนายผลิตขึ้นมาน่ะ” หวังซือหยาได้กล่าวออกมาโดยไม่ปล่อยให้ซูจิ้งได้กล่าวทักทายจนจบประโยคอย่างอดไม่ได้
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งตอบออกมาอย่างยียวน
“หึหึหึ ยังมีหน้ามาบอกว่าใช่อีกเหรอ ทำไมส่งมาแล้วไม่บอกอะไรพวกเราเลยสักคำ ห้ะ” หวังซือหยาที่ได้ยินซูจิ้งตอบออกมาอย่างยียวนก็อดไม่ได้ที่จะตวาดออกไปด้วยอารมณ์โมโหราวกับโดนกลั่นแกล้ง

แต่เดิมนั้นตอนที่เธอได้น้ำหอมนี้มานั้นมันแต่ตื่นเต้นยินดีปนโดนความโลภเข้าครอบงำนิดหน่อยจนลืมคิดถึงความเป็นไปได้ข้อนี้ไปจนหมดสิ้น
หยินหนิงหนิงและโจวเสวี่ยเองก็ทำหน้าบอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะพวกเธอเองก็โดนบังตาจนไม่คิดหรือเอะใจเรื่องนี้ไปเลยแม้แต่น้อย
พวกเธออดจะคิดไม่ได้ว่าท่านเทพซูของพวกเธอนี้ถ้าไม่ทำอะไรดีเวอร์เกินเบอร์แบบนี้จะตายเอารึไงกัน แต่การที่พวกเธอได้รู้ความจริงแบบนี้จะไม่เพียงทำให้พวกเธอต้องประหลาดใจแล้ว
พวกเธอนั้นจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไปว่าจะมีใครหน้าไหนมาแย่งชิงกรรมสิทธิ์น้ำหอมเทียนซินนี้ไปจากพวกเธออีก
ทันใดนั้นพวกเธอก็พึ่งจะนึกออกว่าคำว่าเทียนซินนี่หากนำมาเรียบเรียงคำใหม่นี่มันก็อ่านว่าซือหยาไม่ใช่เหรอ คำตอบมันอยู่ตรงหน้าพวกเธอมาตั้งนานแล้วนี่นา…