บทที่ 96 มือแห่งโชคชะตา (1)
หลังจากที่วางยาพิษล้มเหลว ในที่สุดตระกูลกุยซานก็ทิ้งความตั้งใจที่จะเล่นงานซูเฉินไป
อันที่จริงพวกเขาไม่เคยวางแผนที่จะพยายามฆ่าซูเฉินเลย เห็นได้ชัดจากยาที่พวกเขาเลิกใช้ จุดประสงค์จริง ๆ ของพวกเขาคือเพื่อควบคุมซูเฉิน แล้วใช้เขาจัดการกับภัยคุกคามจากมือแห่งโชคชะตา
แต่เนื่องจากแผนมันล้มเหลว พวกเขาจึงทำได้เพียงยอมรับผลที่ตามมาจากความพ่ายแพ้
ข่าวการปรากฏตัวของปรมาจารย์อาร์คาน่าลึกลับได้เริ่มกระจายไปทั่วเมืองเขามังกร แต่ซูเฉินก็ไม่ได้คิดที่จะหยุดมันอยู่ดี เขาไม่สนใจว่ามือแห่งโชคชะตาจะรับรู้ถึงตัวตนนี้ของเขาและเตรียมพร้อมรับมือหรือไม่
วันนี้ซูเฉินก็ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาวิชาอาร์คาน่าของเขาเช่นปกติ
การเรียนรู้มากมายทำให้เขาเข้าใจความจริงของโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ ในบางครั้งเขาก็จะพูดคุยทางไกลกับผ้าเท่อลั่วเค่อ แม้ว่าตระกูลจูจะจากไป แต่ตอนนี้ผ้าเท่อลั่วเค่ออยู่ในร่างของหุ่นเชิดแล้ว ทำให้เขาสามารถติดต่อกับซูเฉินได้ตลอดเวลา
เขายังอยู่ในห้องสมุด แต่คราวนี้ซูเฉินไม่ได้อ่านหนังสือ เขากำลังเขียนหนังสืออยู่
เขากำลังแยกแยะและจัดระเบียบทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้มาจนถึงตอนนี้
“นายท่านชิงเฮิ่น” กุยซานเยว่ส่งเสียงเรียกจากด้านนอก
กุยซานเยว่คือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5
“เข้ามา” ซูเฉินกล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้น
กุยซานเยว่เดินเข้ามาโค้งคำนับซูเฉินก่อนจะกล่าวขึ้น “นายท่าน เราได้เตรียมวัสดุที่ท่านร้องขอมาแล้วขอรับ”
“อืม วางพวกมันไว้” ซูเฉินกล่าว
กุยซานเยว่นำวัสดุออกจากแหวนต้นกำเนิดของเขา แล้ววางไว้ที่ด้านหน้าของซูเฉิน
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ซูเฉินขอให้พวกเขานำมาให้ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเอาไปใช้ทำอะไร
ซูเฉินเก็บวัสดุมาและโยนหนังสือในมือให้กุยซานเยว่ “นี่คือสิ่งที่ข้าเขียนขึ้น มันรวมวิชาอาร์คาน่าของตระกูลกุยซานจากรุ่นสู่รุ่นเอาไว้ ในเมื่อสองสามวันที่ผ่านมาพวกเจ้าทำได้ดี ข้าจะมอบให้เจ้า”
เมื่อได้ยินว่ามันเป็นวิชาของตระกูลเขาเอง กุยซานเยว่จึงไม่สนใจมากนัก
แต่เมื่อเขาพลิกดูเนื้อหาด้านใน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้น “นี่… นี่คือ… ”
“อืม วิชาอาร์คาน่า 2-3 อันได้ถูกข้าปรับปรุงไปแล้ว พลังของพวกมันน่าจะเพิ่มขึ้น 2 ถึง 4 เท่าใน 10 จากเดิม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก” ซูเฉินพูดอย่างสบาย ๆ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ?
เช่นนั้นแบบไหนคือเรื่องใหญ่ ?
วิชาอาร์คาน่าที่ ‘สมบูรณ์’ แล้ว ล้วนได้รับการสร้างขึ้นมาอย่างพิถีพิถันและขัดเกลามาเป็นเวลาหลายร้อยหลายพันปี เหตุผลที่พวกมันยังคงอยู่มาโดยตลอดก็เพราะพวกมันผ่านการทดสอบของเวลามาได้แล้ว ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงแก้ไขเช่นใด ก็อาจทำลายโครงสร้างหรือลดประสิทธิภาพของทักษะวิชาได้
ด้วยเหตุนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้การปรับปรุงวิชาอาร์คาน่าจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก
ปรมาจารย์อาร์คาน่าคนใดที่สามารถปรับปรุงทักษะวิชาเหล่านี้ได้ ย่อมควรค่าแก่การสรรเสริญชื่นชมจากเผ่าปักษา และยังได้รับทั้งสถานะทั้งการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงอีกด้วย
และตอนนี้ ชิงเฮิ่นผู้นี้สามารถปรับปรุงวิชาอาร์คาน่าได้หลากหลายภายในเวลาไม่กี่วัน และพลังของวิชาเหล่านั้นยังเพิ่มขึ้น 2 ถึง 4 ใน 10 จากเดิม นี่ไม่ใช่แค่การแก้ไขเล็กน้อยแต่เป็นการพัฒนาครั้งใหญ่ แล้วจะไม่ให้กุยซานเยว่ตกใจได้อย่างไร ?
หลังจากอ่านบันทึกในหนังสือเล่มนี้แล้ว เขาสามารถยืนยันได้ว่าสิ่งที่ซูเฉินพูดนั้นเป็นความจริง เนื้อหาที่บันทึกไว้ด้านในหนังสือเล่มนี้เรียกได้ว่าอัศจรรย์ โครงสร้างและองค์ประกอบของวิชาที่ซับซ้อนยิ่งนี้ เพียงแค่มองผ่าน ๆ ไม่ว่าใครก็บอกได้ว่าพวกมันไม่ธรรมดาเลย แล้วจะไม่ให้เขาตื่นเต้นและตกใจได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม ซูเฉินไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย ท้ายที่สุดแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาเลย
“เอาล่ะ นี่ก็แค่ของชดเชยความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นเมื่อยามเจ้าเข้าสู่คลังของอวี้ชิงหลาน นี่นับว่ายุติธรรมพอใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินสัมผัสได้ถึงความตกใจของกุยซานเยว่
“นี่… คือ… เอ่อ… ” กุยซานเยว่ต้องการจะบอกว่าใช่แต่รู้สึกว่ามันอาจดูไม่เหมาะสม ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ …เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไร
เมื่อซูเฉินเห็นท่าทีเช่นนั้น เขาก็ยิ้มและไม่ได้ใส่ใจอีก
ในขณะนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังเข้ามาจากด้านนอก
เสียงฝีเท้าของอิงอิงใกล้เข้ามาพร้อมกับเสียงที่ตกใจของนาง “นายท่าน มือแห่งโชคชะตามาถึงแล้ว !”
“โอ้ ? ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงแล้วงั้นหรือ ?”
สองสามวันที่ผ่านมานี้ซูเฉินกำลังรอให้มือแห่งโชคชะตามาถึงอยู่ และในที่สุดตอนนี้เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาได้เสียที
เขายืนขึ้นและเดินออกจากห้องสมุดไป
เผ่าปักษา 3 ตนกำลังยืนอยู่ในลานบ้านของตระกูลกุยซาน
ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเป็นมนุษย์นกเพศหญิงที่มีปีกและผมยาวสีแดงเพลิง สวมชุดคลุมสีแดง นางดูราวกับเป็นเปลวไฟที่มีชีวิต ส่วนอีก 2 ตนเป็นพี่น้องฝาแฝดที่มีใบหน้าเหมือนกันทุกประการคู่หนึ่ง ทว่าสีผิวของทั้งคู่นั้นตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง คนหนึ่งผิวดำในขณะที่อีกคนผิวขาว ส่วนปีกของพวกก็กลับกันไปอีก มนุษย์นกผิวขาวมีปีกสีดำขณะที่มนุษย์นกผิวดำมีปีกสีเงินสว่าง
เมื่อพวกเขาเห็นเผ่าปักษาทั้ง 3 สีหน้าของกุยซานเยว่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “จือฮัวนู๋กับชัวหลวนจือเฟิง ?”
“โอ้ ? เจ้ารู้จักชื่อพวกเราด้วยงั้นหรือ ?” สาวชุดแดงเพลิงหัวเราะคิกคัก
ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางมนุษย์นกเพศหญิงอีกครั้ง เมื่อเขาได้ยินชื่อของนาง
สาวชุดแดงเพลิงรับรู้ได้ถึงสายตานั้นและหันไปมองซูเฉิน “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลกุยซานได้พบผู้สนับสนุนที่น่าประทับใจ ดูเหมือนว่าคนคนนั้นคงจะเป็นเจ้า เจ้าตั้งใจที่จะสนับสนุนตระกูลกุยซานงั้นหรือ ?”
“ใช่ ข้าเอง” ซูเฉินตอบพร้อมยิ้ม
กุยซานเยว่กล่าวว่า “นายท่าน โปรดระวังด้วย หนึ่งในนั้นคือปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ส่วนอีก 2 อยู่ระดับ 6 ขอรับ”
ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ถือเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับสูงยิ่งในอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ และจือฮัวนู๋ยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ปรมาจารย์ระดับเดียว พรสวรรค์ของนางนั้นไม่ธรรมดาเลย จัดว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ต่อกรได้ยาก ส่วนคู่พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงนั้น ความสามารถในการร่วมมือทำให้พวกเขาเทียบเท่าได้กับปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 7 ถึงแม้พวกเขาาจะเป็นเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 6 ก็ตาม
ตัวตนที่ไม่ธรรมดาทั้ง 3 นี้ถึงกับมารวมตัวกันที่นี่เพราะชิงเฮิ่น
ในบรรดา 7 อาณาจักร.. คนประเภทนี้จะมีสถานะที่สูงมาก ในเผ่าปักษาก็เช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ แม้แต่กุยซานเยว่เองก็ไม่ได้มั่นใจในตัวซูเฉินมากนัก
อย่างไรก็ตาม มันก็สายเกินไปที่เขาจะเสียใจ และทำได้แค่หวังว่ามือแห่งโชคชะตาจะไม่สังหารพวกเขาทิ้งทั้งหมด หลังจากที่ได้แผนที่ไปจากพวกเขาแล้ว
ซูเฉินพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ระดับ 7 ? ไม่เลว นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังดี”
“หืม ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสชนะ ?” จือฮัวนู๋พูดอย่างประชดประชัน
ซูเฉินยิ้ม “ได้สู้ก็รู้เอง”
“หาที่ตาย !” ใบหน้าของสาวชุดแดงเปลี่ยนสี เปลวเพลิงอันทรงพลังทะลักออกจากร่างกายของนางพัดพุ่งเข้าหาซูเฉิน
ดั่งชื่อของนาง จือฮัวนู๋ สาวผู้ถักทอเปลวเพลิง การควบคุมทักษะประเภทไฟของนางนั้นโดดเด่นยิ่ง ความรุนแรงของเปลวเพลิงเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ต่างไปจากทักษะประเภทไฟทั่ว ๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ผลึกต้นกำเนิดไฟในอากาศที่อยู่ใกล้เคียงทั้งหมดตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนาง เริ่มพากันเผาไหม้และปลดปล่อยคลื่นความร้อนที่ร้อนระอุออกมา
แต่นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ด้วยการควบคุมของนาง เปลวไฟราวกับเปลี่ยนกลายเป็นเข็มเพลิงเรียงร้อยด้ายเพลิงถักทอเป็นลวดลายที่สวยงาม
เปลวไฟได้ก่อตัวเป็นดอกบัวขนาดมหึมา หมุนลอยอยู่ในอากาศขณะที่มันขยายขนาดขึ้นเรื่อย ๆ
“บัวเพลิงคลั่ง !”
ดอกบัวสีแดงบานสะพรั่งครอบคลุมพื้นที่ทั้งตระกูลกุยซาน เห็นได้ชัดว่าความอาฆาตของจือฮัวนู๋นั้นมีมากเกินพอ
เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีอันทรงพลังของสาวชุดแดง ซูเฉินส่ายหัว “ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยเจ้าแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่สามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดได้”
ขณะที่เขาพูดอยู่ จือฮัวนู๋ก็ตกใจเมื่อพบว่าพลังต้นกำเนิดของนางถูกขัดจังหวะอย่างกะทันหัน
เจตจำนงอันทรงพลังเริ่มเข้ายึดและแย่งชิงการควบคุมพลังต้นกำเนิดไปจากนาง
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงการควบคุมพลังต้นกำเนิดไม่ใช่เรื่องแปลก อย่างไรก็ตาม ทุกคนต้องการควบคุมพลังต้นกำเนิดที่มีอยู่รอบตัว แต่ด้วยอุปทานที่มีจำกัด เป็นผลให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแย่งชิงมา
นี่คือหนึ่งในข้อจำกัดของผู้คนที่ใช้พลังงานจากสภาพแวดล้อมในการต่อสู้ หากเป็นผู้ที่ฝึกฝนโดยการเพิ่มความแข็งแกร่งในการดูดซับพลังต้นกำเนิดของตัวเอง พวกเขาก็ย่อมสามารถต่อต้านข้อจำกัดเหล่านี้ได้อยู่บ้าง
นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เผ่ามนุษย์ค่อย ๆ เลิกใช้วิชาอาร์คาน่ากันไปในที่สุด
แต่นี่เป็นครั้งแรกของจือฮัวนู๋ที่ได้เจอใครบางคนที่สามารถขัดขวางการควบคุมพลังต้นกำเนิดของผู้อื่น
การต่อสู้เพื่อพลังต้นกำเนิดก็เหมือนกับการพยายามแย่งกินอาหารในจานเดียวกัน การจะกินให้ได้มากกว่าคู่ต่อสู้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การจะป้องกันไม่ให้คู่ต่อสู้กินเลยนั้นมันคงเป็นไปไม่ได้
แม้แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 ก็ยังแทบจะไม่สามารถทำเรื่องนี้ได้ แล้วชิงเฮิ่นผู้นี้ทำได้อย่างไรกัน ?
เขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานงั้นหรือ ?
ทันทีที่ความคิดนี้ผุดขึ้นในหัวของนาง จือฮัวนู๋ก็เริ่มตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
แน่นอนว่าซูเฉินไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน ที่เขาสามารถทำเช่นนี้ได้มีเหตุผลหลัก ๆ อยู่ 4 ประการด้วยกัน
ประการแรก เพราะการควบคุมพลังต้นกำเนิดอันแม่นยำและไร้ที่ติของเขา ประสบการณ์ของเขาในสนามรบที่วุ่นวายเมื่อตอนอยู่ในอาณาเขตของคนเถื่อน ทำให้เขาสามารถรับรู้และจัดการกับกระแสพลังต้นกำเนิดที่ปั่นป่วนได้ เมื่อระดับการฝึกฝนของเขาก้าวหน้าขึ้น ความเข้าใจในกฎเกณฑ์เหล่านั้นก็ลึกซึ้งขึ้นเช่นกัน
ประการที่สอง เพราะความว่างเปล่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความเชี่ยวชาญในหลักการเชิงพื้นที่ของเขา ได้ช่วยพัฒนาความสามารถในการควบคุมของเขาไปในตัว ทำให้ซูเฉินตัดกระแสพลังต้นกำเนิดของจือฮัวนู๋ลงได้
ประการที่สาม เพราะเขามีความชำนาญในการใช้เปลวเพลิงอยู่แล้วทักษะที่ทรงพลังที่สุดของเขาคือวิชาจิตหงส์เพลิง และประการสุดท้าย คือความแข็งแกร่งของเขาข่มจือฮัวนู๋ไว้ได้
เมื่อรวมเหตุผลหลักทั้ง 4 ประการนี้เข้าด้วยกัน การที่ซูเฉินสามารถตัดกระแสพลังต้นกำเนิดของจือฮัวนู๋ได้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย ถ้าเป็นคู่ต่อสู้คนอื่น หรือถ้าจือฮัวนู๋ใช้วิชาอาร์คาน่าแบบอื่น การจะขัดขวางเช่นนี้คงจะทำได้ยากขึ้นไปอีก
ทว่าแม่สาวชุดแดงไม่รู้เรื่องนี้เลย นางจึงตกใจอย่างมาก
“เจ้า… เจ้า… เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” นางร้องขึ้นอย่างไม่เข้าใจ
ซูเฉินหัวเราะอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นคนทำเรื่องให้ยุ่งยากเอง”
หลังจากพูดจบ ดอกบัวเพลิงสีแดงที่ลุกโชติช่วงก็เริ่มแผดเผาและพุ่งตรงไปทางสาวชุดแดง
เพื่อปกปิดตัวตนของเขาไว้เป็นความลับ ซูเฉินจึงไม่ได้เปลี่ยนดอกบัวเพลิงให้กลายเป็นฟินิกซ์เพลิง เขาอาศัยรูปลักษณ์เดิมของการโจมตีนี้โต้กลับไป แม้มันจะทำให้พลังของการโจมตีอ่อนลงเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ผู้ชมต้องตกตะลึง
นี่มันกลวิธีแบบใดกัน ? เขาสามารถใช้วิชาอาร์คาน่าของคู่ต่อสู้ได้อย่างไร ?
สิ่งนี้ขัดกับทฤษฎีของวิชาอาร์คาน่าอย่างสิ้นเชิง !
จือฮัวนู๋ตื่นตระหนกยิ่ง นางกรีดร้องและรีบถอยหนีกลับไปในทันที
ในขณะเดียวกันพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงก็โจมตีออกมา
พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมจือฮัวนู๋จึงถอยกลับอย่างกะทันหันเช่นนั้น นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงกล้าพอที่จะโจมตีต่อไป
พวกเขาปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าระดับ 6 อันทรงพลัง 2 อย่างออกไป
พรายหวน !
ดาราฉายแสง !
ลำแสงสีขาวดำผสมเข้าด้วยกัน สร้างแสงประกายเจิดจ้าไปทั่วฟ้าและปลดปล่อยกลิ่นอายอันมืดมิดแห่งความตายออกมาในเวลาเดียวกัน