ภาคที่ 5 บทที่ 95 โจมตี

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 95 โจมตี

ปัง !

เผ่าปักษาที่พึ่งจะโจมตีออกมาถูกระเบิดศีรษะถอยหลังไปขณะที่คลื่นเปลวเพลิงเข้าปกคลุมในใบหน้าของเขา

ศีรษะของเขาไม่ได้ระเบิดออกแต่ผิวของเขาถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง ถึงแม้เขาจะไม่ตาย สภาพการณ์ของเขาก็ดูแสนสาหัสทีเดียว

“ไอ้ชาติชั่ว !” เผ่าปักษาอีกคนแผดเสียงด้วยความโมโห

“อย่า !” อิงอิงตะโกน

แต่โชคไม่ดี มันช้าไปเสียแล้ว

ซูเฉินออกท่าทางด้วยฝ่ามือของเขา และชาวปักษาคนนั้นก็กระแทกเข้ากับกำแพงในทันใด

ฝ่ามืออาร์คาน่าเป็นวิชาอาร์คาน่าที่เรียบง่ายอย่างถึงที่สุด แต่มันดูจะได้รับพลังงานมหาศาลภายใต้การควบคุมของซูเฉิน

เผ่าปักษาคนนั้นเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 3 แต่ซูเฉินสามารถรับมือเขาได้ด้วยวิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 1 ไม่ว่าชาวปักษาคนนั้นจะดิ้นรนมากเท่าไร เขาก็ไม่สามารถที่จะหลุดเป็นอิสระได้

ซูเฉินโบกมือของเขาและชาวปักษาผู้นั้นก็ถูกส่งลอยออกไป

ซูเฉินเดินเข้าไปผ่านประตูหน้าของตระกูลด้วยก้าวเดินที่ยิ่งใหญ่

สัญญาณเตือนภัยของตระกูลกุยซานดังขึ้นทันทีขณะที่ผู้อารักขานับร้อยกรูกันออกมาและเข้าล้อมซูเฉินไว้

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ !

คลื่นลูกธนูคมกริบพุ่งผ่านอากาศมายังซูเฉิน

ด้วยความว่องไวของซูเฉินแล้ว เขาสามารถเมินลูกธนูเหล่านี้ได้ด้วยซ้ำ

แต่เนื่องจากเขาคำนึงถึงตัวตนของปรมาจารย์อาร์คาน่าที่ทรงพลัง เขาจึงจะใช้วิชาอาร์คาน่าเพื่อแก้ปัญหานี้

ซูเฉินใช้เกราะกันศรซึ่งเป็นวิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 2 กับตัวเอง เกราะนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อศรชนิดต่าง ๆ

ห่าฝนลูกธนูเทลงมาจากฟากฟ้าและกระเด็นกระดอนออกจากกำแพงล่องหนอย่างไร้ค่า

ไม่นานต่อมาซูเฉินก็คำรามขึ้นทำให้อากาศในบริเวณโดยรอบดูจะหนาแน่นขึ้นในทันใด คลื่นมวลอากาศเย็นยะเยือกขนาดใหญ่แผ่ซ่านไปยังเผ่าปักษาที่อยู่ใกล้เคียงทันที

แต่นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของซูเฉิน มวลอากาศเย็นเยียบเริ่มรวมตัวขึ้นเป็นใบมีดคมกริบจำนวนมาก

วิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 3 ใบมีดเยือกแข็ง

ในขณะที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าส่วนมากสามารถสร้างได้เพียง 7 หรือ 8 เล่มต่อครั้ง แต่ซูเฉินสามารถสร้างได้มากถึง 70 หรือ 80 เล่มขึ้นในพริบตา

เขาสามารถแยกและใช้วิชาอาร์คาน่าได้ถึงขีดสุด ทำให้ไม่มีความแตกต่างระหว่างพวกมันในเชิงของพื้นฐานระดับพลัง

เมื่ออิงอิงเห็นใบมีดเยือกแข็งปรากฏขึ้น ท่าทางของนางก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงทันที “คุณชายชิงเฮิ่น ได้โปรดอย่า !”

แต่โชคร้ายที่การขอร้องของนางนั้นสายเกินไปแล้ว ซูเฉินโบกแขนของเขาและใบมีดเยือกแข็งก็พุ่งทะลวงไปยังทิศทางของเผ่าปักษาเหล่านั้น

เสียงของเส้นด้ายที่บิดเบี้ยวดังขึ้นทุกหนแห่ง ซูเฉินได้ทำการตัดคันธนูของเผ่าปักษาทั้งหมดได้ในคราวเดียว

เผ่าปักษาบางคนยังต้องการที่จะพยายามและต่อสู้กลับ ซูเฉินกระแอม

คลื่นแรงกดดันไร้รูปร่างก็พลันประสานเข้ากับพวกเขา

พลังจิตของเขานั้นทรงพลังมากพอที่จะทำให้เผ่าปักษาทั้งหมดที่นี่ทรุดลงบนเข่า แต่ซูเฉินไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความแข็งแกร่งเต็มพิกัดของเขา ชายหนุ่มจึงใช้เพียงแค่ 1 ใน 10 ของพลังทั้งหมด มันส่งผลให้ความหวาดกลัวแผ่ซ่านไปในหัวใจของปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 4 คนนั้น ทำให้ความรู้สึกยะเยือกแล่นไปตามกระดูกสันหลังของอีกฝ่าย ซูเฉินไม่ได้พยายามจะใช้กำลังกดดันพวกเขา แต่พวกเขาล้วนรู้สึกได้ว่าความหวาดหวั่นได้แทรกซึมเข้ามาในจิตใจ เผ่าปักษาที่จิตใจอ่อนแอบางคนทิ้งคันศรของพวกเขาและออกวิ่งหนีในทันที

โชคยังดีที่มีปรมาจารย์อาร์คาน่าบางคนอยู่ในเหตุการณ์สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้ เสียงครวญเพลงที่เปล่งประกายและชัดเจนเริ่มดังขึ้นขณะที่แรงกดดันแฝงความหวาดกลัวของซูเฉินถูกลบล้างออกไป

แต่ถึงอย่างนั้น ใบหน้าของเหล่าปักษาพวกนั้นก็ถือว่าซีดเผือดทีเดียว ด้วยผลการลบล้างนั้นไม่สมบูรณ์และทิ้งร่องรอยความหวาดหวั่นไว้ในหัวใจของเผ่าปักษาเหล่านั้น ในการแลกเปลี่ยนการโจมตีนี้ เห็นได้ชัดทีเดียวว่าซูเฉินคือผู้ชนะ

“เจ้าเป็นใคร ?” หนึ่งในผู้อาวุโสตระกูลกุยซานตะโกนมายังเขา

“วีรบุรุษของตระกูลเจ้า แต่ก่อนหน้านั้น เจ้าต้องแสดงให้ข้าเห็นก่อนว่าเจ้ามีสิ่งที่คุ้มค่า” ซูเฉินตอบอย่างโหดเหี้ยม ขณะที่พูด เขาก็หันไปจ้องเขม็งยังอิงอิงผู้รีบรุดก้าวมาข้างหน้า นางส่งเผ่าปักษาที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปก่อนจะอธิบายให้คนที่เหลือฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาง

นี่คือวิธีที่ทุกคนได้รู้ว่าเรื่องสมบัติซ่อนเร้นของอวี้ชิงหลานได้แพร่กระจายไปอย่างไร ทุกคนต่างตื่นตระหนกเมื่อพวกเขาได้รู้ว่ามือแห่งโชคชะตากำลังมุ่งเป้ามายังพวกเขา

หนึ่งในผู้อาวุโสกล่าว “ในเมื่อมือแห่งโชคชะตาตั้งเป้าหมายมายังพวกเรา แล้วเจ้าผู้ไม่กล้าเปิดเผยหน้าตาที่แท้จริงด้วยซ้ำจะช่วยเราได้อย่างไร ?”

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ? ส่งแผนที่ของอวี้ชิงหลานมา เช่นนั้น มือแห่งโชคชะตาจะไล่ตามข้าแทน ไม่ใช่พวกเจ้า และภยันตรายของพวกเจ้าก็จะลดฮวบลง”

“งั้นเจ้าก็เหมือนกับพวกสารเลวมือแห่งโชคชะตานั่น ! เจ้าต้องการกรรโชกสมบัติของเราไป !” ชาวปักษาสูงอายุตะคอกอย่าวมีน้ำโห

“ไม่ มีข้อแตกต่างที่สำคัญอยู่ มือแห่งโชคชะตาจะฆ่าผู้คนเพื่อนำสมบัติไป แต่ข้าสามารถสัญญากับเจ้าได้ว่าตราบใดที่เจ้ายินดีจะมอบแผนที่ให้ข้า ข้าก็จะมอบสมบัติทั้งหมดภายในด่านลับนั้นให้กับพวกเจ้า ทั้งหมดที่ข้าต้องการมีเพียงแค่ข้อมูลที่มีประโยชน์กับข้าเท่านั้น”

หืม ?

ทุกคนล้วนตะลึงงันเมื่อพวกเขาได้ยินเช่นนั้น

เขาต้องการเพียงแค่ความรู้หรือ?

ผู้คนล้วนมองกันไปมาและยังไม่เชื่อมั่นอย่างเห็นได้ชัด

หนึ่งในอาวุโสเผ่าปักษาเอ่ยขึ้น “เจ้า ? เจ้าเอาอะไรมายืนยันว่าจะสามารถรับมือกับมือแห่งโชคชะตาได้ ? ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะจัดการข้าได้ด้วยซ้ำ”

ขณะที่เขาพูด แสงลึกลับเริ่มส่องสว่างขึ้นขณะที่เขาปล่อยการโจมตีไปยังซูเฉิน

ซูเฉินถอนหายใจ “งั้นไม่มีทางอื่นนอกจากต่อสู้กันแล้วหรือ ? แต่ในเมื่อเจ้าตัดสินใจที่จะโจมตีข้า งั้นข้าก็น้อมสนอง”

ร่างของซูเฉินกะพริบเมื่อเขาหายตัวไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งในอีกตำแหน่งหนึ่ง วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย ในวินาทีที่เขาปรากฏกายขึ้น เขาก็ปล่อยวายุสังหารไปยังผู้อาวุโสตระกูลกุยซาน

แม้ว่าปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 จะสามารถใช้วิชาเคลื่อนกายทั้งหมดได้ ทว่าระดับในการควบคุมของพวกเขานั้นแปรปรวนเป็นอย่างมาก

ปรมาจารย์อาร์คาน่าส่วนใหญ่ไม่สามารถปล่อยวิชาใด ๆ ได้ระหว่างการเคลื่อนกาย พวกเขาจึงเคลื่อนกายเพื่อป้องกันตัวเองได้เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อการโต้กลับ

แต่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินนั้นฝังอยู่บนแท่นบงกชของเขา คล้ายคลึงกับทักษะแต่กำเนิด เนื่องจากความเข้าใจในพลังเชิงพื้นที่ของเขาเพิ่มสูงขึ้น จึงเป็นธรรมดาที่วิชาเคลื่อนกายของเขาจะเหนือกว่าผู้อื่นอยู่มากโข ซูเฉินได้เตรียมวิชาอาร์คาน่าที่รุนแรงไว้ระหว่างกระบวนการเคลื่อนกาย ลำแสงหนึ่งปะทะเข้าที่ด้านหลังของผู้อาวุโสตระกูลกุยซานและส่งร่างเขาลอยออกไป

วายุสังหารนั้นควรจะเป็นทักษะโจมตีโดยตรง แต่ในมือของซูเฉินมันได้กลายเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการลอบโจมตี การโจมตีของเขานั้นรวดเร็วและการเคลื่อนไหวของเขาก็ปราดเปรียวยิ่งนักทำให้พวกมันเกินความคาดหมายของเผ่าปักษาทุกคน

ขยับเขยื้อนเพียงเล็กน้อยนี้มากเกินพอที่จะทำให้เผ่าปักษาที่เห็นทั้งหมดชะงักไป

แต่ยังมีเผ่าปักษาบางคนที่ไม่พึงพอใจ อีก 3 ผู้อาวุโสของตระกูลโจมตีและส่ง 3 วิชาอาร์คาน่าลอยมาในทิศทางของซูเฉินในเวลาเดียวกัน

ซูเฉินหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดาย และในขณะเดียวกันก็สร้างเหมันต์ศูนย์สัมบูรณ์ขึ้น นี่เป็นรุ่นที่พัฒนาแล้วของใบมีดเยือกแข็ง มันไม่เพียงทรงพลังยิ่งกว่า แต่เขายังสามารถสร้างพวกมันขึ้นถึง 12 เล่มได้พร้อม ๆ กัน ซึ่งเขาได้ปล่อยพวกมันไปยังผู้อาวุโสทั้งสาม

“ไม่ !” อิงอิงและสมาชิกตระกูลกุยซานคนอื่น ๆ ต่างตะโกนขึ้น

ในขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสามกำลังจะถูกชำแหละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เหมันต์ศูนย์สัมบูรณ์ก็สลายตัวลงและทิ้งไว้เพียงท่าทางหนาวเหน็บในจิตใจของผู้สังเกตการณ์

“เจ้าจะพอได้หรือยัง ?” ซูเฉินถามอย่างใจเย็น

เผ่าปักษาชายที่ยืนอยู่ตรงใจกลางกลุ่มคนผู้ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าตระกูลพยักหน้า “พอ… พอแล้ว ตระกูลกุยซานยินดีที่จะร่วมมือกับเจ้า”

ซูเฉินได้ปราบ 3 ผู้อาวุโสในพริบตาเดียวและพวกเขาคงจะบาดเจ็บสาหัสหรือกระทั่งเสียชีวิตหากซูเฉินไม่ได้แสดงความเมตตาต่อพวกเขาในวินาทีสุดท้าย แม้แต่หัวหน้าตระกูลก็ไม่ได้ทรงพลังนัก และเนื่องจากแค่พลังจิตของซูเฉินก็แข็งแกร่งพอที่จะกดดันสมาชิกตระกูลที่เหลือได้แล้ว มันจึงดูเป็นไปได้มากทีเดียวที่พวกเขาจะพ่ายแพ้แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะโจมตีเขาพร้อมกันก็ตาม

เนื่องจากพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ จึงไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลกุยซานจะยอมแพ้ที่จะพยายามอีก

ซูเฉินกล่าว “แต่คราวนี้ ข้อตกลงของเราเปลี่ยนไปแล้ว นอกจากความรู้ทั้งหมด ข้าต้องการเลือกสมบัติ 3 อย่างจากข้างในนั่นก่อนใครอื่น ส่วนที่เหลือเป็นของพวกเจ้า”

“อะไรนะ ? อย่าให้มันเกินไปหน่อยเลย !” ทุกคนต่างเดือดดาล

“หากเจ้าไม่พอใจ งั้นข้าก็เต็มใจที่จะสู้กับพวกเจ้าทั้งหมดพร้อมกัน แต่หากพวกเจ้าล้มเหลวอีกครั้ง ข้าจะเป็นผู้เลือกสมบัติ 3 ชิ้นที่จะมอบให้พวกเจ้า และทุกอย่างที่เหลือจะตกเป็นของข้า คิดดี ๆ ล่ะ”

ตระกูลกุยซานนั้นขนาดเล็กมากและไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งมากมายให้พูดถึง ด้วยท่าทีคลุมเครือของซูเฉินและการที่เขาสามารถกดดันสมาชิกตระกูลที่แข็งแกร่งที่สุดบางคนได้อย่างไม่ต้องพยายาม พวกเขาจึงล้วนรู้ดีว่าการพยายามจะกำจัดซูเฉินด้วยกำลังจะไม่ช่วยพวกเขาเลยแม้แต่น้อย

“แล้วมือแห่งโชคชะตาล่ะ ?” หัวหน้าตระกูลถาม

“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า” ซูเฉินตอบ

เรื่องนี้ถูกตกลงกันอย่างง่ายดาย

ในท้ายที่สุด ซูเฉินก็ได้ใช้ชีวิตอยู่กับตระกูลกุยซานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง

เผ่าปักษาดูแลเขาผู้แข็งแกร่งมากพอที่จะกดดันทั้งตระกูลได้ด้วยมือข้างเดียวด้วยความเคารพอย่างล้นหลาม

มันไม่ได้แปลกประหลาดมากนัก อย่างไรแล้วความแข็งแกร่งก็มีอำนาจสูงสุดในโลกนี้

ซูเฉินทำตามนิสัยเก่าของเขา อ่านหนังสือ

แม้ว่าตระกูลกุยซานจะเป็นตระกูลเล็ก และหอสมุดของพวกเขาก็เล็กเช่นกัน ทว่าพวกเขาก็ยังมีข้อมูลแปลกใหม่อยู่ในมือบ้าง

ซูเฉินสนใจในความรู้ทุกแขนง ยิ่งเขามีความรู้มากเท่าไร มันก็จะถูกใช้ได้ง่ายยิ่งขึ้นในอนาคต

อัตราการเรียนรู้วิชาอาร์คานาของเขาเป็นข้อพิสูจน์ แม้ว่าผลึกวิญญาณจะเป็นส่วนที่สำคัญเป็นอย่างมาก ความรู้แสนกว้างขวางที่เขาครอบครองไว้นั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน

อิงอิงติดตามเขาไปตามหน้าที่ เนื่องจากตระกูลได้ตกลงว่าชีวิตของนางตกเป็นของเขาแล้ว จึงไม่มีอะไรที่นางจะทำได้แม้ว่านางจะไม่เห็นด้วยก็ตาม

ซูเฉินยังคงอ่านหนังสืออยู่ในหอสมุด อิงอิงนำแก้วชามาและวางมันไว้ด้วยความเคารพตรงหน้าของซูเฉินก่อนจะโน้มลงมาใกล้เขา “ท่านกำลังอ่านอะไรอยู่หรือ ?”

ท่าทางของนางมีความเป็นกันเองเล็กน้อยแล้วในตอนนี้ และกลิ่นกายธรรมชาติที่หอมหวนของนางก็ได้ฟุ้งกระจายไปยังซูเฉินเป็นครั้งคราว

แต่ซูเฉินนั้นปิดกั้นโดยสิ้นเชิงและยังคงอ่านหนังสือต่อไป “ข้ากำลังอ่านเกี่ยวกับการแจกแจงองค์ประกอบของพลังต้นกำเนิด”

“นั่นเป็นความรู้พื้นฐานมาก” อิงอิงพูด

“ยิ่งมันพื้นฐานเท่าไรมันก็ยิ่งสำคัญ หนังสือเล่มนี้มีคำอธิบายที่แปลกตาจนข้าไม่สามารถหาได้ที่ใด มันน่าสนใจมาก” ซูเฉินตอบ

“ข้าไม่อาจเข้าใจมันได้เลย หน้าที่เดียวของข้าคือนำชามาให้ท่าน” อิงอิงวางถ้วยลงไว้ในมือของซูเฉินอย่างเบามือ “ท่านจะไม่ถอดหน้ากากนั่นออกเลยจริง ๆ หรือ ?”

“นี่ก็สำหรับตัวเจ้าเอง” ซูเฉินตอบ เขายกถ้วยชาขึ้นไปยังริมฝีปากและจิบชาอย่างแผ่วเบา “ชานี่รสชาติดีทีเดียว ดูเหมือนเจ้าจะเพิ่มกล้วยไม้จันทราประกายลงไปด้วยสินะ ?”

“ท่านมีลิ้นที่อ่อนไหวทีเดียว ข้าเพิ่มอีกอย่างหนึ่งลงไปด้วย ท่านบอกได้ไหมว่ามันคืออะไร ?” อิงอิงหัวเราะคิกคัก

“ไม่ใช่หนึ่ง สามต่างหาก หญ้ารากหยก แขนงปีศาจ และพิษงูโผผิน ข้าพูดถูกไหม ?”

ท่าทีของอิงอิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงขณะที่นางเริ่มตัวสั่นเทิ้ม

มือของซูเฉินที่ถือถ้วยชาอยู่นั้นมั่นคงอย่างน่าเหลือเชื่อ “การใช้หญ้ารากหยกและพิษงูโผผินด้วยกันจะทำให้ข้าใช้พลังต้นกำเนิดได้ยากขึ้น และแขนงปีศาจจะส่งผลต่อพลังจิตของข้าทำให้เจ้าสามารถควบคุมข้าได้ ที่น่าตกใจที่สุดคือบุปผาเจ็ดราตรีที่เจ้าเพิ่มลงไป เมื่อจับคู่กับกล้วยไม้จันทราประกายแล้วจะสามารถกลบรสชาติประหลาดได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นพิษก็จะเข้าไปสู่ระบบไหลเวียนของข้าโดยที่ข้าไม่ทันได้รู้ตัว ข้าพูดถูกไหม ?”

อิงอิงตัวสั่นเทิ้ม “ท่าน… ท่านรู้ได้ยังไง ?”

“ขอโทษที ข้าลืมบอกเจ้า…. ข้าไม่ใช่แค่เพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าแต่ยังเป็นนักปรุงยาที่เก่งทีเดียว ข้ามีความเข้าใจในศาสตร์แห่งการปรุงยาอยู่บ้าง” ซูเฉินพูดด้วยรอยยิ้มบาง

“แล้วท่านก็ยังดื่มมันเข้าไป ?”

ซูเฉินหยิบถ้วยนั้นขึ้นมาและวางมันลง “หากข้าไม่ได้ดื่มมัน เจ้าจะยอมแพ้เลยไหมล่ะ ? นี่คือโอกาสสุดท้ายที่ข้าจะให้เจ้า เนื่องจากเจ้าทำล้มเหลว ตามข้อตกลงของเราคือเจ้าได้รับอนุญาตให้นำของ 3 สิ่งออกมาจากด่านขุมทรัพย์ หากเจ้าพยายามจะทำอะไรข้าอีก… ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน”