ภาคที่ 5 บทที่ 94 ขุมสมบัติซ่อนเร้น

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 94 ขุมสมบัติซ่อนเร้น

“เจ้ากำลังหมายถึงคลังสมบัติแห่งปรมาจารย์อาร์คาน่าเผ่าปักษาระดับตำนานอวี้ชิงหลานหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครล่ะ ?” อิงอิงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ

แท้จริงแล้วระดับ 10 ไม่ใช่ระดับขั้นสูงสุดสำหรับปรมาจารย์อาร์คาน่า ผู้ที่มีพรสวรรค์สามารถไปได้สูงกว่าและก้าวเข้าสู่ด่านของปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนาน

มีปรมาจารน์อาร์คาน่าระดับตำนานจำนวนไม่น้อยทีเดียวระหว่างยุคทองแห่งอำนาจของอาณาจักรอาร์คาน่า เช่นผ้าเท่อลั่วเค่อที่เป็นหนึ่งในปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานผู้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

แต่เผ่าปักษานั้นไม่สามารถลอกเลียนแบบอัตราความสำเร็จได้เท่ากับชาวอาร์คาน่า

แต่ในขณะเดียวกัน เพราะเผ่าปักษาครอบครองพรสวรรค์ไม่น้อย ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานของพวกเขานั้นทรงพลังยิ่งกว่าปรมาจารย์ชาวอาร์คาน่าระดับตำนานเองเสียอีก หรืออย่างน้อยนั่นก็คือสิ่งที่เผ่าปักษาพร่ำบอกเกี่ยวกับพวกตนในเมื่อไม่มีข้อพิสูจน์ใดที่จะบอกได้ว่าที่พวกเขากล่าวอ้างนั้นจริงแท้แค่ไหนกัน อย่างไรแล้วชาวอาร์คาน่าก็ได้ปกครองผืนทวีป ส่วนเผ่าปักษานั้นไม่มีปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 10 สักคนด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับระดับตำนาน

ไม่ว่าอย่างไรตำนานก็คือตำนาน เผ่าปักษาคนใดที่สามารถไปถึงจุดนี้ได้นั้นจะต้องเป็นที่สุดของเผ่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ปรมาจารย์อาร์คาน่าเผ่าปักษาระดับตำนานจะต้องสามารถเผชิญหน้ากับมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญด่านมหาราชันที่มีสายเลือดเทพอสูรบรรพกาลได้อย่างทัดเทียมกันเป็นแน่

อย่างไรก็ตาม ตระกูลกู่เพียงแค่ต้องสืบทอดสายเลือดของพวกเขา ในขณะที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผ่านความอดทนที่ขมขื่นและการฝึกฝนอย่างหนักหลายต่อหลายปีเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วพวกเขาจึงมีจำนวนแค่เพียงหยิบมือ ดังนั้นแล้วเผ่าปักษาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องประชันกันกับเผ่ามนุษย์ด้วยวิธีอื่น หากไร้ซึ่งเมืองล่องนภาและปราการลอยฟ้าอื่น ๆ แล้ว พวกเขาคงจะถูกกวาดล้างไปเมื่อนานมาแล้ว

อวี้ชิงหลานนั้นเป็นหนึ่งในปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับตำนานที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงทีเดียว เขาได้สร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่นับไม่ถ้วนในอดีต และมีความสุขไปกับการเดินทางมากมาย เขาจึงได้เก็บทรัพย์สมบัติหายากมหาศาลไว้นับไม่ถ้วน ต่อมาเขาได้หายตัวไประหว่างหนึ่งในการเดินทางของเขา

ไม่มีใครรู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาอยู่ที่ใด

แต่ในตอนนี้ หญิงสาวนามว่าอิงอิง กำลังบอกกับเขาว่านางมีข้อมูลเกี่ยวกับคลังสมบัติของอวี้ชิงหลาน

ซูเฉินนั้นไม่ได้สนใจในตัวทรัพย์สมบัติมากนัก

เขาได้พบเห็นสมบัติแปลกตามากมายมาแล้ว และมาตรฐานของเขานั้นสูงกว่าของนักผจญภัยคนอื่นอยู่มากโข

แต่เขาก็รู้ว่าอวี้ชิงหลานคนนี้เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญที่มีพรสวรรค์ …ที่จริงแล้วปรมาจารย์อาร์คาน่าทุกคนคือผู้มีพรสวรรค์

ดังนั้นตามหลักการแล้วคลังสมบัติของเขาก็จะต้องขนัดแน่นไปด้วยกองภูเขาแห่งความรู้อย่างแน่นอน

เขาได้เสมอตราบใดที่มีความรู้ !

ความสนใจของซูเฉินทะยานสูงขึ้นทันที

“บอกข้ามาอีกสิ” เขากล่าว

งั้นตอนนี้เจ้าก็สนใจแล้ว ? อิงอิงคิดกับตัวเองขณะที่นางพูดอย่างตอบเชื่อฟังด้วยท่าทีมีความสุข

อิงอิงมาจากเมืองที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับเขามังกร ที่นั่นมีตระกูลเล็ก ๆ ชื่อว่าตระกูลกุยซาน ซึ่งเป็นที่ที่อิงอิงจากมา

สำหรับคลังสมบัติของอวี้ชิงหลานแล้ว มันเป็นเรื่องราวที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนทีเดียว

ตระกูลเล็ก ๆ ตระกูลหนึ่งได้ติดปัญหาเกี่ยวกับผลึกอายุเกือบร้อยปี ด้วยมีวิญญาณที่บาดเจ็บถูกกักขังไว้ภายในผลึกนั้น

วิญญาณที่ได้รับบาดเจ็บนั้นหลับใหลอยู่ในผลึกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน กระทั่งวันหนึ่งเมื่อมันได้ตื่นขึ้นมาอย่างไม่มีใครคาดคิด โดยบอกว่ามันเป็นชิ้นส่วนวิญญาณของอวี้ชิงหลาน และบอกว่าเขากำลังทรมานอยู่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาเดินทางผ่านด่านลี้ลับด่านหนึ่ง เขานั้นสามารถรอดชีวิตมาได้ด้วยการจำศีลอยู่ภายในผลึกลึกลับนี้

เขาหวังว่าตระกูลจะช่วยเหลือเขาตามหาศพของตนเพื่อที่เขาจะสามารถชุบชีวิตตนเองกลับมาได้ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน เขาเต็มใจที่จะส่งต่อสมบัติทั้งหมดของเขาให้กับตระกูลนั้น

ตระกูลเล็ก ๆ นั้นมีความสุขเป็นอย่างมากและเริ่มตามหาทรัพย์สมบัติที่อวี้ชิงหลานเอ่ยถึงในทันที

“โชคดีที่ไม่ควรได้รับนี้อาจไม่ได้น่ารื่นเริงอย่างที่พวกเขาคิด” ซูเฉินติติงอย่างเยือกเย็น

อิงอิงกล่าวด้วยความชื่นชม “นายท่านชิงเฮิ่น ถูกต้องแล้วล่ะ วิญญาณดวงนั้นโกหกพวกเขา”

“ข้าไม่แปลกใจสักนิด”

ผ้าเท่อลั่วเค่อก็เคยกระทำเช่นเดียวกันเพื่อพยายามและใช้กำลังเข้ายึดควบคุมร่างกาย

วิญญาณไม่สมประกอบที่ตระกูลเล็กนั้นกำลังเจรจาพูดคุยอยู่ด้วยนั้นกลับไม่ได้คาดหวังถึงการจะเข้ายึดและควบคุมร่างกายของใครสักคน แต่วิญญาณนั้นก็ยังมีโอกาสที่จะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง

โดยผ่านการเกิดใหม่นั่นเอง

นี่เป็นทักษะของเผ่าวิญญาณ

วิญญาณที่บาดเจ็บนั้นแท้จริงแล้วเป็นชาวเผ่าวิญญาณ

แต่ตระกูลเล็กจ้อยไม่รู้ถึงเรื่องนี้ หลังจากที่พวกเขาพบสิ่งที่ควรจะเป็นขุมสมบัตินั้นโดยการทำตามคำแนะนำของวิญญาณดวงดังกล่าว พวกเขาก็ค้นพบว่ามันคือกับดัก พวกเขาได้ไปปลุกกลไกในด่านเข้า ทำให้พวกเขาทั้งหมดล้วนถูกสังหารอยู่ที่นั่น แล้ววิญญาณดวงนั้นจึงพึ่งพากับดักนี้ในการสังเวยเลือดและสำเร็จพิธีการเกิดใหม่

อย่างไม่คาดคิด พลังของการสังเวยเลือดนั้นไม่ได้หลั่งไหลไปยังวิญญาณดวงนั้น พลังทั้งหมดกลับถูกดูดซับและปั่นป่วนด่านลี้ลับนั้นแทน

ด่านนี้ถูกค้นพบโดยชาวเผ่าวิญญาณในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก่อนที่เขาจะสิ้นลมหายใจภายในด่านนั้น เขาได้ติดตั้งระบบรับรองความผิดพลาดเพื่อให้แน่ใจในความสำเร็จของกระบวนการเกิดใหม่ แต่โดยไม่มีใครคาดคิด วินาทีที่เขากำลังจะทำได้สำเร็จ พลังของเลือดสังเวยได้ถูกดูดออกไป การเกิดใหม่ของเขาจึงล้มเหลวและก็กลับกลายเป็นเถ้าถ่านก่อนจะปลิวสลายไปตามแรงลม

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้รอดชีวิตผู้หนึ่งจากตระกูลผู้สามารถเอาตัวรอดออกมาได้

เขาหลบหนีออกจากด่านลับนั้นและมองดูมันเลือนหายไป แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงทางเข้าด่านลับยังอยู่ที่ใดสักแห่งในบริเวณใกล้เคียง

เขาจดจำตำแหน่งคร่าว ๆ ของด่านลับนี้ไว้เพื่อที่เขาจะสามารถเปิดมันออกได้ในอนาคต อ้างอิงจากสิ่งที่เผ่าวิญญาณคนนั้นกล่าวไว้ ซากปรักหักพังนี้จะต้องมีสมบัติของอวี้ชิงหลานอย่างแน่นอน เขาจึงเสียชีวิตระหว่างการออกสืบค้นซากปรักหักพังนี้

หลังจากที่ออกมาจากด่านลับได้ ผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวนี้ก็ไม่เชื่อใจใครอีกต่อไป เขารักษาบาดแผลของตนอย่างเงียบเชียบโดยหวังที่จะเสริมความแข็งแกร่งของตนก่อนที่จะกลับเข้าไปอีกครั้ง

แต่บาดแผลที่เขาประคับประคองไว้ภายในด่านลับได้กลายเป็นจุดแผ่ซ่านความเจ็บปวดทรมานให้กับเขา และเขาก็ค้นพบว่าความแข็งแกร่งโดยรวมของเขากำลังลดฮวบลงแทนที่จะเพิ่มสูงขึ้น

สิ่งนี้บังคับให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมดหวังอย่างถึงที่สุด

เขาพยายามจะบอกต่อเรื่องนี้กับเผ่าปักษาด้วยความหวังที่เผ่าปักษาคนอื่น ๆ จะสามารถช่วยเขาเปิดประตูเข้าสู่ด่านลับนั้นและนำเอาพละกำลังของเขากลับคืนมา แต่ในทุก ๆ ครั้งเขาก็ถูกหลอกลวงอยู่เสมอ โชคยังดีที่เขาได้เตรียมแผนการสำรองไว้มากมายทำให้เขาสามารถหลบหนีออกมาได้ทุกครั้ง

หลังจากครั้งล่าสุดที่เขาหลบหนี เขาหมดสติลงใกล้กับเมืองเขามังกร และตระกูลกุยซานได้ช่วยเหลือเขาไว้

เขาได้รับบทเรียนมาแล้วและจะไม่ปริปากเกี่ยวกับด่านลับนั้นอีกต่อไป กลับกัน เขาเลือกที่จะปฏิบัติตัวอย่างผู้รับใช้ผู้สงบเสงี่ยม

หลายปีผ่านไป สุขภาพของเขาก็เริ่มถดถอยลงด้วยอายุที่มากขึ้น

เขาซาบซึ้งในความมีน้ำใจของตระกูลกุยซานซึ่งเป็นเหตุผลที่เขาบอกกับพวกเขาเกี่ยวกับด่านลับและส่งมอบแผนที่ที่เขาสร้างขึ้นก่อนจะสิ้นชีวิตให้กับพวกเขา

ตระกูลกุยซานนั้นปลื้มปีติเป็นอย่างยิ่งและพวกเขาก็เริ่มวางแผนที่จะสำรวจด่านลับนั้นในทันที

“หากเป็นเช่นนั้น แล้วมือแห่งโชคชะตาค้นพบเกี่ยวกับด่านลับนั้นได้อย่างไร ?” ซูเฉินถาม

“เป็นเพราะการกระทำของผู้รอดชีวิตคนนั้นทำให้เรื่องของด่านลับนี้แพร่งพรายออกไป มือแห่งโชคชะตารู้ดีเกี่ยวกับด่านลับนี้มานานก่อนที่พวกเราจะรู้เสียอีก และแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีแผนที่ ด้วยการติดต่อสื่อสารกับเขา พวกเขาก็รู้ว่าจะต้องมีการเตรียมพร้อมวัสดุจำเพาะบางอย่าง วัสดุเหล่านี้จำเป็นต่อการเข้าไปในด่าน และหนึ่งในนั้นคือพืชที่รู้จักกันในชื่อหญ้าเพลิงเหมันต์ มันไม่ได้วิธีการใช้อื่นมากมายนัก แต่มันเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งในการที่พวกเขาจะเข้าไปยังด่านลี้ลับ ดังนั้นมือแห่งโชคชะตาจึงคอยเฝ้าสังเกตการณ์ซื้อขายและหญ้าเพลิงเหมันต์ทั้งหมดอยู่อย่างลับ ๆ เพื่อตามหาเผ่าปักษาที่รู้วิธีการในการเปิดผนึกความลับในด่าน ข้ามาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวหญ้าเพลิงเหมันต์ แต่ข้าไม่ได้คาดหวังว่ามันจะไปตกอยู่ในมือของพวกเขา โชคดีที่ข้าสามารถหนีออกมาได้… แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะไว้ชีวิตข้า ข้าไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังมีอะไรรอข้าอยู่ที่นี่ ด้วยข้าบังเอิญเปิดเผยตระกูลที่มาของข้า จึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไว้ชีวิตตระกูลของข้า ดังนั้นแล้วคุณชาย ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ! ข้ายินดีที่จะขอให้ตระกูลแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาค้นพบในด่านลับกับท่านด้วย !” อิงอิงขอร้องด้วยความสิ้นหวัง

“เป็นอย่างนี้เองสินะ” ซูเฉินเข้าใจ

เขาก้มหัวลงครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะหัวเราะและตอบกลับไป “ได้ หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะช่วยเจ้าในคราวนี้”

“เยี่ยมเลย !” อิงอิงเตรียมพร้อมที่จะออกเดินทาง

ซูเฉินผลักนางกลับเข้าไปในรถม้าพร้อมกล่าวอย่างแข็งกระด้าง “ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไปได้”

“แต่ว่า……”

“ข้าบอกว่าข้าจะช่วยเจ้า ไม่ใช่ว่าเจ้าไปได้ นอกจากนั้นถ้าเจ้าแจ้งตระกูลแล้วยังไงต่อล่ะ ? พวกเขาตั้งรกรากอยู่ที่เขามังกร พวกเขาจะเคลื่อนย้ายออกมาได้เลยหรือ ? และหากว่าพวกเขาหลบหนี มือแห่งโชคชะตาจะไม่ไล่ตามพวกเขาหรือไง ? ตราบใดที่ตระกูลของเจ้ายังมีวิธีการเข้าถึงสมบัติเร้นลับของอวี้ชิงหลาน มือแห่งโชคชะตาจะไม่ปล่อยพวกเขาหลุดมือไปแน่”

“แล้วเราจะทำอย่างไรดี ?” อิงอิงตะลึงงันไปโดยคำพูดของซูเฉิน

ซูเฉินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เรื่องง่าย ๆ ภัยคุกคามนี้จะหายไปเมื่อพวกเราเอาความลับนั้นไปจากพวกเขาทั้งหมด ออกเดินทางไปเขามังกรกันเถอะ”

อะไรนะ ?

อิงอิงชะงักงัน

ดูเหมือนว่าซูเฉินจะกำลังวางแผนการนำแผนที่ขุมสมบัติลับของอวี้ชิงหลานมาเป็นของตัวเอง

“ไอ้สารเลว ! ไร้ยางอาย ! ต่ำทราม !” นางคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว

“คำก่นด่าสาปแช่งจากศัตรูนั้นช่างเป็นเกียรติต่อข้า” ซูเฉินกล่าวอย่างนิ่งเฉย

เขาเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เผ่าปักษา

ผลที่ตามมาคือเขาไม่มีความวิตกกังวลต่อสิ่งที่เขากำลังจะทำ

เขาไม่ได้ใส่ใจในเรื่องของศีลธรรมในการขโมยหรือฆ่าฟัน มีเพียงคำถามเดียวคือเขาต้องการจะทำหรือไม่เท่านั้น

อวี้ชิงหลานเป็นเผ่าปักษาระดับตำนาน คลังสมบัติของเขานั้นคุ้มค่าที่จะต้องเสียเลือดเนื้อให้อย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่จะต้องสูญเสียชีวิตคือเผ่าปักษาทั้งหมด เขาจึงไม่มีปัญหาใด ๆ กับมัน

นี่คือวิธีที่เขาคิดก่อนจะกลับคันรถและมุ่งหน้าบินไปสู่เมืองเขามังกร

เขามังกรนั้นมีลักษณะตามชื่อที่ถูกเรียกขาน ภูเขารูปร่างเหมือนกับมังกร

เมืองเขามังกรอยู่ใกล้กันพื้นที่ส่วน ‘หัว’ มันตั้งอยู่ระหว่าง 2 ยอดเขารูปร่างราวเขาสัตว์บนรูปร่างของหัวมังกร

นี่คือพฤติกรรมทั่วไปของเผ่าปักษา เพราะพวกเขาสามารถบินได้ พวกเขาจึงสนุกไปกับการสร้างเมืองขึ้นบนพื้นที่ยกสูง

นอกจากเมืองล่องนภาและปราสาทลอยฟ้าอื่น ๆ แล้ว เผ่าปักษาได้สร้างเมืองของพวกเขาทั้งหมดบนยอดเขาสูงต่าง ๆ พวกเขาจึงมักจะมีคำว่า ‘เมืองเขา’ อยู่ในชื่อด้วย สำหรับพวกเขาแล้ว มันไม่สำคัญว่าเมืองเหล่านั้นจะอยู่สูงเพียงใดเพราะพวกเขาสามารถบินได้

รถม้าบินของซูเฉินมาถึงยังเมืองเขามังกรโดยไร้ซึ่งอุปสรรคและจอดลงตรงหน้าตระกูลกุยซาน

ผู้อารักขาเผ่าปักษา 2 คน รีบรุดมาข้างหน้าเพื่อทักทายต่ออิงอิง

หนึ่งในเผ่าปักษานั้นถามขึ้น “อิงอิง เกิดอะไรขึ้น ? เจ้าเป็นอะไรไหม ?”

ขณะที่พูด เขาก็จ้องเขม็งไปยังซูเฉิน

ตระกูลกุยซานได้เก็บเรื่องสมบัติลับของอวี้ชิงหลานไว้เป็นความลับ ศิษย์ส่วนมากของตระกูลไม่รู้เกี่ยวกับมัน แต่อิงอิงและทั้งสองคนล้วนเป็นศิษย์คนสำคัญและรู้ถึงแผนการลับ นี่คือเหตุผลที่พวกเขามองซูเฉินอย่างไม่เป็นมิตรนัก หนึ่งในพวกเขาปล่อยเจตสังหารที่รุนแรงออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะฆ่าซูเฉินเสียที่นี่ตอนนี้

พลังจิตของซูเฉินนั้นมีประสิทธิภาพเกินพอที่จะสัมผัสถึงเจตสังหารของศัตรูได้ในทันที เขาหัวเราะและกล่าวอย่างเอาแต่ใจ “ไม่แย่ ไม่แย่ ! ข้าชอบตู่ต่อสู้เช่นนี้ ข้าจะได้รู้สึกพอใจยิ่งขึ้นเมื่อปลิดชีพพวกเขา”

ขณะที่พูด เขาก็ก้าวมาข้างหน้าอย่างห้าวหาญผ่านประตูหน้าของตระกูลกุยซาน

“หยิ่งยโสนัก !” เผ่าปักษาที่กำลังเดือดพล่านไปด้วยเจตสังหารปล่อยลูกไฟออกมาทันทีและขว้างมันไปยังซูเฉินอย่างเฉียบขาดทีเดียว

คิ้วของซูเฉินโก่งขึ้นขณะที่เขาเอ่ยปาก “เจ้าเฉียบคมทีเดียวนะว่าไหม ? แต่เพราะเจ้าไม่รู้ถึงความแตกต่างระหว่างเป็นกับตาย ข้ายิ่งกว่ายินดีเสียอีกที่จะส่งเจ้าไปตามทาง”

ลูกไฟนั้นเคลื่อนไปรวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่คำพูดของซูเฉินนั้นสงบนิ่งกว่ามาก พวกมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ซูเฉินเริ่มพูดคุยทันทีที่ลูกไฟจากมือของอีกฝ่ายมา แต่เมื่อซูเฉินพูดจบ ลูกไฟก็ยังคงมาไม่ถึงร่างของเขา ราวกับว่าลูกไฟนั้นกำลังเคลื่อนที่ผ่านระยะทางนับหมื่นลี้

นี่คือการสำแดงพลังในเชิงพื้นที่ของซูเฉิน แม้ว่าพวกมันอาจไม่ใช่วิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลัง แต่พวกมันก็ยิ่งกว่ามีประสิทธิภาพในการชะลอลูกไฟจำนวนเล็กน้อยให้ช้าลง

ลูกไฟนั้นดูเหมือนว่ามันอยู่ใกล้กับซูเฉินมาก แต่ถึงตอนนั้นมันก็หมดพลังงานลงเสียก่อน สุดท้ายแล้วมันก็ระเหยขึ้นไปเป็นก้อนควัน

เผ่าปักษาทั้งสองตะลึงงัน วินาทีต่อมาพวกเขาก็เฝ้ามองด้วยความหวาดกลัวขณะที่ซูเฉินพึมพำ “ขึ้น” ทำให้ลูกไปที่พึ่งจะหายวับไปปรากฏขึ้นใหม่และออกบินอีกครั้ง

ลูกไฟนั้นปะทะที่ใบหน้าของผู้โจมตีคนเดิมเข้าอย่างจัง !