ภาคที่ 5 บทที่ 93 อิงอิง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 93 อิงอิง

“คุณชาย ได้โปรดช่วยข้าด้วยเถิด !”

หญิงสาวคนนั้นพูดกับซูเฉิน

ซูเฉินกำลังคิดที่จะหลบหนี แต่หญิงสาวคนนั้นได้กระโดดขึ้นมาบนรถม้าของเขาก่อนที่เขาจะได้ตอบโต้อะไร

เมื่อทักษะของปรมาจารย์อาร์คาน่าไปถึงจุดจุดหนึ่ง พวกเขาจะครอบครองอย่างน้อย 1 หรือ 2 วิชาเคลื่อนกายอาร์คาน่าอย่างแน่นอน การใช้สักวิชาที่นี่คือวิธีการสื่อสารของนางว่านางต้องการให้ซูเฉินเข้าไปพัวพันด้วยไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

ซูเฉินนั้นไม่สบอารมณ์ในการกระทำของหญิงสาวและกำลังจะไล่นางออกไปจากรถม้าของตน ..ทว่าเมื่อเขาเห็นชาวปักษาที่กำลังไล่ตามนางปลดปล่อยแสงสีน้ำเงินจากมือมายังรถม้า

“อยากตายหรือไง !” ซูเฉินคำราม

แสงสีเงินนั้นดูจะปะทะเข้ากับบางสิ่งอย่างเฉียบพลันและนิ่งงันอยู่กลางอากาศ

แสงสีเงินนั้นกลับด้านและพุ่งกลับไปยังชาวเผ่าปักษาที่ปล่อยมันออกมาอย่างไม่มีใครคาดคิด

ทั้งหญิงสาวและคนที่ไล่ตามนางมาต่างก็ตะลึงงัน

แสงสีน้ำเงินนี้เป็นวิชาอาร์คาน่าที่ผู้โจมตีเชี่ยวชาญเป็นอย่างมาก หากซูเฉินกำจัดมันด้วยกำลัง มันก็คงจะไม่น่าประหลาดใจเช่นนี้ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกสะท้อนกลับอย่างทันทีทันใดนั้นน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก หากเราพยายามที่จะเทน้ำใส่ใครบางคน เราก็คงจะไม่ตกใจหากพวกเขาหลบหรือแค่ปล่อยให้น้ำหกใส่ตัวเอง แต่มันจะต้องใช้พรสวรรค์ที่น่าเหลือเชื่อในการสะท้อนน้ำนั้นกลับเข้าสู่ผู้เท

ผู้โจมตีคนนั้นรู้ว่าเขากำลังอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย เขาจึงตะโกนอย่างหมดหวัง “ข้า……”

แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดจบประโยค แสงสีน้ำเงินก็ปะทะเข้ากับเขาโดยทิ้งรูกลวงไว้บนร่างของเขา ผู้โจมตีนั้นถึกทนไม่น้อยเช่นกัน เขาไม่เพียงยังมีชีวิตรอดอยู่ แต่เขายังหันหลังกลับและหลบหนีไปโดยไม่ลังเลในทันที

ซูเฉินไม่ได้ไล่ตามเขาไปให้ลำบาก แต่เขากลับปล่อยให้รถม้าของเขามุ่งหน้าต่อไปแทน

หญิงสาวคนนั้นตกตะลึงขณะที่นางจ้องมองซูเฉินด้วยความงงงวย

เป้าหมายเดิมของนางคือการลากซูเฉินเข้าไปในการต่อสู้และใช้โอกาสนั้นในการหลบหนี แต่เขานั้นทรงพลังจนสามารถส่งผู้ที่โจมตีนางกลับไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวได้อย่างเกินคาด

ปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 ถูกกำราบไปอย่างสบาย ๆ

หญิงสาวจับตามองซูเฉินด้วยความตั้งใจ แต่ซูเฉินนั้นใส่หมวกไม้ไผ่ขอบกว้างและก้มหัวไว้ทำให้นางไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้

ดวงตาของหญิงสาวจับจ้องไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วไม่กี่ครั้งก่อนที่นางจะหัวเราะและกล่าวเยินยอ “คุณชาย ท่านดูมีฝีมือทีเดียว”

ซูเฉินตอบอย่างเยือกเย็น “หากข้าไม่มีฝีมือ ข้าคงจะถูกฆ่าเพราะการกระทำของเจ้าไปแล้ว”

หญิงสาวรีบร้อนพยายามประโลมเขาด้วยการพูด “คุณชาย ท่านพูดอะไรเช่นนั้น ? ข้าเพียงแค่สังเกตเห็นว่าท่านมีทีท่าเป็นคนชั้นสูง ซึ่งเป็นเหตุผลที่……”

“ท่าทีของข้า ?” ซูเฉินขำคิกคัก “เจ้าไม่เห็นใบหน้าข้าด้วยซ้ำ เจ้าจะรู้ถึงท่าทีของข้าได้อย่างไร ?”

“นี่…” หญิงสาวตัวแข็งทื่อไปจังหวะหนึ่งก่อนจะยอมถอย “ข้าขออภัยคุณชาย ที่รบกวนท่าน หากเป็นเช่นนั้นข้าก็จะออกไป”

ขณะที่พูด นางก็หันหลังกลับเพื่อจะจากไป

ซูเฉินเอ่ยขึ้นทันที “ข้าบอกหรือว่าเจ้าไปได้ ? ดูเหมือนเจ้าจะคิดว่าเจ้าสามารถไปมาได้ตามใจชอบนะ เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าข้าหัวอ่อนเช่นนั้น ?”

หญิงสาวตัวสั่นเทิ้ม ร่างของนางกะพริบหายไปเหมือนที่นางเข้ามาในรถม้าคันนั้นอย่างไม่ลังเล

แต่ทันทีที่นางหายตัวไป มือข้างหนึ่งที่ก่อตัวขึ้นจากผลึกพลังต้นกำเนิดก็ปรากฏขึ้นด้านหลังนางและคว้าตัวของนางไว้โดยดึงตัวนางกลับเข้าไปในรถม้า

เป็นไปได้อย่างไร ?!

คนผู้นี้สามารถคาดเดาตำแหน่งที่นางจะปรากฏตัวอีกครั้งได้อย่างไร ?

นางคิดว่านี่เป็นแค่ความบังเอิญ ทำให้กระทั่งตอนที่ซูเฉินดึงตัวนางกลับไป นางก็ขบฟันแน่นและเคลื่อนกายหนีอีกครั้ง วิชาเคลื่อนกายของนางนั้นมีความคล้ายคลึงบางอย่างกับวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินที่ทำให้นางสามารถใช้งานมันได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยิ่งนางใช้มันสำเร็จมากเท่าไร มันก็จะยิ่งต้องการพลังในการใช้งานมากขึ้นเท่านั้น

นางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งโดยห่างไปจากจุดเดิมถึงเก้าจั้ง แต่ก่อนที่นางจะสามารถเคลื่อนไหวได้แม้แต่น้อย มือผลึกของซูเฉินก็จับกุมนางไว้อีกครั้ง

หญิงสาวตะลึงงัน นางรู้ว่านางได้ยั่วยุคู่ต่อสู้ที่ไม่ควรเลย ดังนั้นแล้วนางจึงจำเป็นต้องหลบหนีให้ได้ไม่ว่าจะต้องใช้ความพยายามมากเพียงไรก็ตาม

แต่ทุกครั้งที่นางพยายามหนี ซูเฉินก็สามารถระบุตำแหน่งที่นางจะปรากฏตัวขึ้นได้ เนื่องจากความสามารถในการรับรู้ความผันผวนในอากาศของซูเฉิน ไม่มีทางเลยที่หญิงสาวผู้นี้จะสามารถรอดพ้นไปจากเงื้อมมือของเขาได้

นางพยายามหลบหนี 7 หรือ 8 ครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะจบลงเช่นเดิม ซูเฉินสามารถจับกุมนางอีกครั้งได้อย่างง่ายดายและจับนางนั่งลง

ท้ายที่สุดนางก็ไม่เหลือพลังงานอีกต่อไปและนางก็ล้มลงอย่างไม่เต็มใจบนพื้นรถม้าพร้อมพยายามสูดอากาศหายใจ นางได้ใช้พลังต้นกำเนิดไปจนแทบจะหมดสิ้น นางโอดโอยอยู่ในใจอย่างไม่หยุดหย่อน เขาสามารถต้อนนางให้จนมุมได้โดยไม่ต้องโจมตีนางเลยสักครั้งด้วยซ้ำ

แต่หากผู้ที่โจมตีนางถูกขับไล่ไปด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มันคงจะไม่แตกต่างอะไรแม้ว่านางจะมีพลังต้นกำเนิดกักเก็บไว้มหาศาลก็ตาม การโจมตีของเขาคงจะส่งผลออกมาเป็นอย่างเดียวกัน… คือตายด้วยการโจมตีในครั้งเดียว !

ดังนั้น นางจึงเข้าใจในสถานการณ์ของตัวเองและยอมแพ้ต่อการพยายามหลบหนี นางทิ้งตัวลงบนรถม้าราวกับว่ารอคอยให้ซูเฉินออกคำสั่งกับนาง

“เจ้าจะไม่พยายามหนีแล้วหรือ ?” ซูเฉินถาม

“ข้าหนีไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้นจึงจะไม่พยายามอีก” หญิงสาวหอบหายใจด้วยความโกรธเคือง

ซูเฉินคำรามกลับไป “โอ้ งั้นทีนี้เจ้าจะประพฤติตัวดีงั้นหรือ ? ทำไมไม่ทำเช่นนั้นแต่แรกล่ะ ?”

หญิงสาวกลอกตา “หากข้าไม่ลากท่านมาเกี่ยวข้อง เขาคงจะฆ่าข้าไปแล้ว ถ้ายังไงข้าก็ต้องตาย ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็คุ้มที่จะเสี่ยงล่ะนะ”

ซูเฉินไม่คาดคิดว่านางจะตอบอย่างมีหลักการเช่นนี้และชะงักไปครูหนึ่ง นางก็มีเหตุผล เขาจึงได้แต่หัวเราะ “ก็จริงของเจ้า มันเป็นการคำนวณที่ผิดพลาดของข้าเอง”

หญิงสาวไม่คิดว่าประโยคที่เรียบง่ายเช่นนั้นจะทำให้ซูเฉินเห็นด้วยกับนางได้ นางก็ชะงักไปเช่นกัน

ซูเฉินเงยหน้าขึ้นในที่สุด ปักษาสาวค้นพบด้วยความประหลาดใจว่าภายใต้หมวกนั้นเป็นหน้ากากใบหนึ่ง นางยังไม่รู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรซึ่งทำให้นางผิดหวังเป็นอย่างมาก

เมื่อนางได้ยินซูเฉินพูดเช่นนั้น นางจึงพูดเพียงแค่ว่า “ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งข้าก็ได้ทำมันไปแล้ว ตอนนี้ท่านสามารถทำเช่นไรกับข้าก็ย่อมได้”

ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าจะเป็นหญิงชั่วร้ายเพราะเจ้าพยายามลากข้าเข้าไปเกี่ยวพันด้วย แต่เจ้าก็มีเหตุผลที่ดี ไม่มีใครไม่ทุ่มสุดตัวเพื่อเอาชีวิตรอดหรอก ข้าไม่สามารถโทษเจ้าในการกระทำนั้นทั้งหมดได้”

หญิงสาวดีอกดีใจเมื่อนางได้ยินเช่นนั้น “งั้นท่านก็ยินดีจะยกเว้นโทษให้ข้าหรือ? ”

ซูเฉินพยักหน้า “ข้าสามารถให้อภัยเจ้าได้ที่สร้างปัญหาให้ข้า แต่เนื่องจากข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ ตอนนี้มันจึงเป็นของข้าแล้ว”

“ท่านว่าไงนะ ?” หญิงสาวตะลึงงัน มีกฎไร้สาระเช่นนั้นอยู่ด้วยหรือ ? เขาช่วยชีวิตนางไว้และตอนนี้ชีวิตนางเป็นของเขาแล้วงั้นหรือ ?

ซูเฉินออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “บอกชื่อของเจ้ามา”

“ข้า……” หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบอย่างเชื่อฟัง “ข้าชื่อว่าอิงอิง”

“อิงอิง ?”

“อิงที่แปลว่าเด็ก……” อิงอิงกล่าวอย่างเมินเฉยขณะที่โบกมือของนาง “แล้วท่านล่ะ ?”

“เรียกข้าว่านายท่านชิงเฮิ่น” ซูเฉินไม่ได้ใช้ชื่อจริงของชุยอวี่คงเหิน

เพราะหากเขาใช้ตัวตนของชุยอวี่คงเหินบ่อยเกินไป เขาก็จะถูกเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงไม่ช้าก็เร็ว

สิ่งเดียวที่เขามีในตอนนี้คือปีกของจริงบนหลัง แต่ก็มีวิธีอีกมากมายให้มองผ่านการปลอมตัวของเขาได้ ดังนั้นแล้วซูเฉินจึงตัดสินใจที่จะใส่หน้ากากและใช้ชื่อปลอม เขามีท่าทีของคนที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง

หลังจากทุกสิ่งที่ตัวตนของ ‘ชุยอวี่คงเหิน’ ได้ผ่านพ้นมา จึงกลายเป็นเรื่องธรรมชาติไปแล้วที่เขาพยายามปิดบังสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้อดีตของเขามาทำลายชื่อเสียงได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถใช้ตัวตนของชุยอวี่คงเหินเมื่อเขาต้องการมันและหลีกเลี่ยงการใช้มันเมื่อเขาไม่จำเป็นต้องใช้ ซูเฉินจึงสามารถเดินหน้าและถอยหลังได้ตามต้องการ

หน้ากากนั้นมีไว้เพียงเพื่อปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเขาเท่านั้น

หน้ากากนี้ของเขาแท้จริงแล้วเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่จูเฉินฮ่วนหามาให้เขา มันสามารถปิดบังการมีอยู่ของตัวเขาจากการตรวจสอบจิตใจได้ นอกจากหน้ากากใบนี้แล้ว ทุกสิ่งที่ซูเฉินทำในตอนนี้ก็มาจากความคิดที่ผู้แนะนำตระกูลจูได้วางกลยุทธ์ไว้ให้เขา พวกเขาล้วนการันตีได้ว่าชายหนุ่มจะสามารถเดินทางได้ตามใจต้องการในอาณาเขตของเผ่าปักษาหากทำเช่นนี้

“นายท่าน ?” อิงอิงนั้นไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากกับความต้องการของซูเฉิน “ใครจะต้องการให้ท่านเป็นนายกัน ?”

“นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า” ซูเฉินเงื้อมมือออกไปและตบลงที่หลังของอิงอิงโดยผลักนางออกจากพื้นที่ของรถม้า “จากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะลากรถม้าให้ข้า รวมถึงนำน้ำดื่มและชามาให้ข้า หน้าที่เหล่านี้เป็นความรับผิดชอบของเจ้า

“ข้าไม่ทำ……”

การที่นางจะได้พูดจบ ซูเฉินก็ชี้นิ้วไปที่นางทันที

อิงอิงรู้สึกได้ถึงพลังงานแปลกประหลาดที่แทรกซึมเข้ามาในร่างกายของนาง ความรู้สึกเย็นวาบแผ่กระจายจากศูนย์กลางร่างกายของนางออกไป นางรู้ได้ในทันทีว่านางได้ตกอยู่ภายใต้อำนาจของวิชาควบคุมแล้ว

ไม่มีใครที่เชี่ยวชาญการควบคุมผู้อื่นไปมากกว่าซูเฉิน

เขาไม่ได้พัฒนาวิชาเฉพาะเพื่อเช่นนี้ แต่เพราะเขาเข้าใจองค์ประกอบร่างกายของเผ่าปักษาเป็นอย่างดีจนเขาสามารถเป็นผู้ควบคุมร่างกายของพวกเขาด้วยพลังต้นกำเนิดเพียงน้อยนิดเท่านั้น เขามั่นใจว่ามีเผ่าปักษาไม่มากไปกว่า 10 คนเท่านั้นที่สามารถลบล้างวิชาควบคุมของเขาได้

อิงอิงรู้ว่านางถูกยึดอำนาจในการควบคุมไปและทิ้งตัวลงบนพื้นด้วยความสิ้นหวัง “มันจบแล้วล่ะ ข้ายังต้องแจ้งตระกูลของข้าว่ามือแห่งโชคชะตากำลังวางแผนที่จะเคลื่อนไหวต่อพวกเขา”

เมื่อได้ยินชื่อนั้น ซูเฉินก็ผงกหัวขึ้นมาในทันใด “เจ้าบอกว่ามือแห่งโชคชะตาหรือ ?”

“ใช่ !” อิงอิงกอดขาของซูเฉิน “ข้าขอร้อง ให้ข้าได้กลับไปแจ้งพวกเขาเถิด มือแห่งโชคชะตากำลังจะสังหารพวกเขา !”

ซูเฉินตกอยู่ในความเงียบ

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะรู้เกี่ยวกับมือแห่งโชคชะตา อย่างไรแล้วพวกเขาก็เป็นอีกกลุ่มของผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่า เช่นเดียวกันกับอารามนิรันดร์และประตูฟื้นความเยาว์

ผู้เหลือรอดเผ่าอาร์คาน่าได้แพร่กระจายไปตามเมืองต่าง ๆ แห่งเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ เพราะพวกเขาไม่สามารถเผชิญหน้าตัวต่อตัวกับเผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ และเพราะความทะเยอทะยานพวกเขายังไม่ได้ถูกทำให้ดับไปจนหมดสิ้น พวกเขาจึงคิดหาวิธีในการก่อปัญหาขึ้นอยู่เสมอมา

เช่นเดียวกันกับอารามนิรันดร์ มือแห่งโชคชะตาถูกพิจารณาว่าเป็นผู้ก่อการร้ายในหมูเผ่าปักษา ทั้งหมดที่พวกเขาทำมีแค่การเข่นฆ่าและลักขโมย

ไม่ว่ามนุษย์จะกำลังทุกข์ทรมานกับสิ่งใด เผ่าปักษาก็เป็นเช่นเดียวกัน สถานการณ์ของพวกเขานั้นคล้ายคลึงมากทีเดียว

ซูเฉินทำได้เพียงตกลงสู่ห้วงความคิดเมื่อเขาได้ยินคำพูดของอิงอิง

ศัตรูของศัตรูคือเพื่อนของเรา เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอารามนิรันดร์ มันจึงเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่เขาจะติดต่อกับมือแห่งโชคชะตาอย่างเป็นกันเอง

แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ซูเฉินก็ยอมแพ้ต่อความคิดนี้

เขากำลังดำเนินการตามแผนและไม่มีเวลาจะไปใส่ใจปัญหาไร้สาระเช่นนี้ มือแห่งโชคชะตาสามารถช่วยเขาได้เพียงน้อยนิด และพวกเขาอาจหักหลังเขาเมื่อไรก็ได้ เนื่องจากทุกอย่างกำลังเป็นไปได้อย่างลื่นไหล ก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาจะต้องทำสถานการณ์นี้ให้ยุ่งยาก

ซูเฉินรีบรุดตัดสินใจที่จะไม่เข้าไปข้องเกี่ยว

อิงอิงคิดว่าการพูดถึงมือแห่งโชคชะตาจะสามารถเปลี่ยนใจซูเฉินได้ แต่ซูเฉินก็ปฏิเสธนางอย่างสิ้นเชิงหลังจากคิดอยู่สักพัก “มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า พารถม้าไปในทางเดิม”

อิงอิงดูกระวนกระวายใจอย่างหนัก แต่ซูเฉินก็ไม่ได้สนใจนางแต่อย่างใด และยังบังคับนางอย่างโหดร้ายให้เริ่มเคลื่อนรถม้าออกไป ไม่ว่านางจะร้องขอเพียงไรมันก็ไร้ผล

ชายคนนี้ไร้ซึ่งหัวใจ อิงอิงคิดกับตัวเองอย่างขมขื่น

แต่ก็ไม่มีอะไรที่นางสามารถทำได้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็พูดเพียงว่า “เจ้าไม่สงสัยว่าเหตุใดมือแห่งโชคชะตาจะโจมตีตระกูลข้าหรือ ?”

“พวกเขาแค่สนใจในทรัพย์สมบัติของตระกูลเจ้า ข้าไม่สนใจ” ซูเฉินหยุดความพยายามของนางทันที

ในเรื่องของความร่ำรวยแล้ว จะมีสักกี่คนที่สามารถเทียบเคียงเขาได้ ?

ซูเฉินสนใจเพียงแค่ความรู้เท่านั้น

ความรู้ไร้ขีดจำกัด

ขณะที่เขาพูด เขาก็กลับไปยังรถม้า เปิดหนังสืออีกเล่มเกี่ยวกับวิชาอาร์คาน่าเผ่าปักษาและเริ่มจะเข้าถึงมัน

อิงอิงผิดหวังในน้ำเสียงของเขา แต่เมื่อนางเห็นหนังสือที่เขากำลังถืออยู่ ความคิดหนึ่งก็พลันจุดประกายขึ้นในหัวของนาง นางตะโกนขึ้น “แล้วคลังทรัพย์สมบัติของอวี้ชิงหลานล่ะ ? ท่านสนใจไหม ?”

“โอ้ ?” ซูเฉินส่งสายตาผ่านด้านบนของหนังสือมาทันที