ภาคที่ 5 บทที่ 92 ออกเดินทาง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 92 ออกเดินทาง

ในพริบตาเดียวเท่านั้น ซูเฉินได้ใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนภายในตระกูลชุยอวี่

ในช่วงเวลานั้น เขาได้อ่านหนังสือทั้งหมดในหอสมุดของตระกูลชุยอวี่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ด้วยความเร็วเหมือนว่าเขากำลังกลืนกินวรรณกรรมทั้งหมดราวกับว่าพวกมันไม่ได้มีเนื้อหาอะไรมากมายอย่างน่าประหลาดใจ

แม้ว่าวิชาอาร์คาน่าส่วนมากที่เปิดเผยเป็นสาธารณะจะอยู่ในระดับ 4 และต่ำกว่านั้น ทว่า ณ จุดนี้ ซูเฉินสามารถนับได้ว่าเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 หากไม่นับว่าวิชาอาร์คาน่าส่วนใหญ่ที่เขาเชี่ยวชาญนั้นอยู่ต่ำกว่าวิชาอาคมอาร์คาน่าระดับ 5

ตระกูลชุยอวี่ได้พลาดโอกาสที่ดีที่สุดในการกำจัดซูเฉินออกไป ในตอนนี้ชายหนุ่มถือว่าเชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่ามากกว่าที่ชุยอวี่คงเหินรู้ และเขาก็ดูจะเชี่ยวชาญพวกมันมากกว่าด้วยเช่นกัน

ชุยอวี่คงเหินไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวมันได้ ผลึกวิญญาณนั้นทรงพลังเกินไป อย่างไรแล้วซูเฉินก็สามารถควบคุมมันได้ทันทีที่เขาเรียนรู้มัน และเขายังสามารถเชี่ยวชาญมันทันทีที่เขาสามารถควบคุมมันได้อีกด้วย

เพียงสิ่งเดียวที่น่าเสียดายสำหรับซูเฉินคือพรสวรรค์ในวิชาอาร์คาน่าของเขานั้นยังธรรมดามาก หมายความว่าเขาสามารถทำได้เพียงจารึก 1 วิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิดต่อระดับขั้นเท่านั้น

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ใส่ใจ พรสวรรค์ของเขานั้นอยู่ที่ด้านการเรียนรู้ และการที่สามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้อย่างรวดเร็วนั้นก็เป็นทักษะเช่นกัน

และแม้ว่าเขาจะสามารถจารึกได้เพียงวิชาอาร์คาน่าเดียวต่อระดับขั้น ทว่าวิชาอาร์คาน่านั่นก็ไม่ได้จำเป็นจะต้องอยู่ในระดับเดียวกันกับที่เขาบรรลุ ผลก็คือซูเฉินยังไม่ได้จารึกวิชาอาร์คาน่าใด ๆ เขากำลังรอคอยจนกว่าเขาจะสามารถเชี่ยวชาญวิชาที่ลึกซึ้งและทรงพลังยิ่งกว่านี้ เผ่าปักษาจำนวนไม่น้อยเลือกเดินเส้นทางนี้เช่นกัน แต่อัตราการเรียนรู้นั้นไม่สามารถเทียบกับซูเฉินได้เลยแม้แต่น้อย ปัญหาของการเน้นย้ำพรสวรรค์มากเกินไปคือมันจะนำไปสู่ช่วงต้นของความอ่อนแอ เผ่าปักษาบางคนอาจพบว่าเส้นทางการฝึกฝนของพวกเขานั้นถูกขวางกั้นไว้ก่อนที่พวกเขาจะไปได้ไกลเสียอีก

วันนี้ซูเฉินได้วิเคราะห์หนึ่งในวิชาที่ถูกสืบทอดมาในตระกูลชุยอวี่

วิชาสืบทอดเหล่านี้เป็นวิชาอาร์คาน่าที่เป็นของตระกูลเฉพาะ ซึ่งถูกใช้เป็นรากฐานของตระกูลนั้น ๆ แม้ว่าตระกูลเผ่าปักษาจะไม่ได้เป็นเค้าโครงชัดเจนเท่ากับตระกูลเผ่ามนุษย์ผู้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสายเลือด พวกเขาก็ยังมีวิชาลับบางอย่างที่พวกเขาเก็บไว้สำหรับพวกเขาเอง

หนึ่งในวิชาสืบทอดเหล่านี้ที่เป็นของตระกูลชุยอวี่ถูกรู้จักกันในชื่อสนามพลังแสง

มันถูกกล่าวขานว่าวิชาอาร์คาน่ามักจะมีประสิทธิภาพมากว่าทักษะต้นกำเนิด

ทักษะต้นกำเนิดถูกใช้เป็นหลักในการต่อสู้ เพราะความสามารถที่รุนแรงของพวกมันถูกจำกัด การสู้รบส่วนมากจึงสู้กันด้วยการปล่อยทักษะต้นกำเนิดใส่คู่ต่อสู้จนกว่าพวกเขาจะสิ้นชีวิต ส่วนวิชาอาร์คาน่านั้นสามารถใช้วิธีการต่อสู้ได้หลากหลายยิ่งกว่า

นี่คือกรณีของสนามพลังแสง ผู้ใช้สามารถสร้างสนามพลังแรงโน้มถ่วงและควบคุมระดับความแข็งแกร่งของแรงโน้มถ่วงได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถกดการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายได้

วิชาอาร์คาน่านี้ค่อนข้างแข็งแกร่งและเหมาะจะใช้งานทีเดียว มันสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวได้กระทั่งคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเพราะมันเทียบเท่ากับการวางน้ำหนักมหาศาลทับแขนขาของอีกฝ่ายไว้ ส่วนคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอสามารถถูกปราบได้อย่างง่ายดาย

สนามพลังแสงเป็นวิชาอาคอาร์คาน่าระดับ 5 แต่มันมีประสิทธิภาพต่อทุกเป้าหมาย สิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนไปคือประสิทธิผลของมัน

เพราะเขาเป็นปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 5 ซูเฉินจึงต้องการเพียงวันเดียวในการจะเชี่ยวชาญมัน แต่สิ่งที่ชายหนุ่มให้ความสนใจมากกว่าคือความรู้ที่ใช้ในการสรรค์สร้างวิชานี้ขึ้นมา

ใช่ เขายังมุ่งเป้าไปที่ความรู้

วิชาอาร์คาน่าอาจถูกมองว่าเป็นการตกผลึกของความรู้ในบางครั้ง ในการศึกษาค้นคว้าวิชาเหล่านี้ของซูเฉิน ทำให้เขาเข้าใจในการค้นพบที่ปรมาจารย์อาร์คาน่าซึ่งได้สร้างวิชาเหล่านี้ขึ้นมา

ทุก ๆ วิชาอาร์คาน่าจะมีหลักการบางอย่างอยู่เบื้องหลังที่ทำให้โลกใบนี้ดำเนินต่อไปได้

อารมณ์ของซูเฉินนั้นยากจะอธิบาย

ขณะที่ซูเฉินยังคงศึกษาและค้นคว้าต่อไป ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าสนามพลังแสงนี้สามารถพัฒนาได้ !

ชายหนุ่มจึงลงมือทันที เขาปลุกผลึกวิญญาณขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่พยายามจะพัฒนาผลของมัน

เมื่อเขาบรรลุผลสำเร็จแล้ว ซูเฉินก็เริ่มที่จะทดสอบการปรับแต่งที่เขาได้ทำไป พัฒนาการของสนามพลังแสงก็ปรากฏขึ้น

วงแสงสว่างเริ่มโคจรรอบกายซูเฉิน แสงนั้นปรากฏขึ้นราวกับว่ามันมีสสารกายภาพ สิ่งใดก็ตามที่อยู่ภายในรัศมีพลังของมันจะรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่กดทับลงมาทันที

แต่วัตถุไร้ชีวิตเหล่านั้นไม่สามารถอธิบายได้ว่าพวกมันรู้สึกอย่างไรต่อซูเฉิน ในขณะนั้นเอง ชุยอวี่ชางเต๋อก็เดินเข้ามา

ทันทีที่เขาเข้ามา เขาก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นในทันใด

ด้วยประสบการณ์ที่เขามีแล้ว เป็นเพียงธรรมชาติของมันเท่านั้นที่เขาจะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

เขาไม่ได้แปลกใจที่ลูกชายของเขาเชี่ยวชาญสนามพลังแสง อย่างไรแล้วชุยอวี่คงเหินก็ได้เรียนรู้มันเมื่อนานมาแล้ว แต่เขาค้นพบว่าพลังของสนามพลังแสงนี้นั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เขาคาดหวังไว้อยู่มากโข เมื่อเขาพยายามจะหมุนเวียนพลังต้นกำเนิดเพื่อต่อต้านผลของมัน เขาก็พบว่าตนเองไม่สามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองออกจากการดึงดูดของมันด้วยกำลังที่เขามีในตอนนี้ได้อย่างสมบูรณ์

2 สนามพลังแสงควรจะลบล้างกันเองเพราะพลังของวิชานี้นั้นถูกแก้ไข สิ่งที่กำหนดผลของวิชานี้คือความแข็งแกร่งของผู้ที่ใช้สนามแรงโน้มถ่วงด้วย ไม่ใช่ความแข็งแกร่งของผู้ใช้ แต่ชุยอวี่ชางเต๋อนั้นสามารถทำได้เพียงลบล้างผลของสนามพลังแค่บางส่วนเท่านั้น และเขายังคงรู้สึกว่าตนเองหนักมากขึ้นกว่าปกติถึง 4 เท่า ทำให้เป็นเรื่องยากทีเดียวแม้เพียงจะขยับเขยื้อน

“คงเหิน ?” เขาจ้องมองไปยังซูเฉินด้วยความตกตะลึง

ซูเฉินโบกไม้โบกมือและรวบรวมคลื่นแสงเข้ามาอีกครั้ง

เขาไม่อยากจะเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพ่อ ดังนั้นเขาจึงยังคงความเงียบสนิท

ชุยอวี่ชางเต๋อนั้นคุ้นเคยกับนิสัยเช่นนี้ และความสนใจของเขาในตอนนี้ถูกตรึงไว้กับสิ่งอื่น เขาเดินเข้ามาหาและถามขึ้น “เจ้าสามารถใช้สนามพลังแสงเช่นนี้ได้อย่างไร ?”

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้ารู้เพียงแค่ว่าเมื่อข้าฝึกซ้อมวิชานี้ ข้าก็รู้สึกได้ถึงสิ่งลึกลับบางอย่างที่ข้าสามารถพัฒนาผลของสนามพลังแสงในทันที”

ชุยอวี่ชางเต๋อสุขสำราญใจ “พรสวรรค์หรือ ? เป็นไปได้ไหมว่าพรสวรรค์พิเศษของเจ้าได้ตื่นขึ้นแล้ว ? พรสวรรค์ของเจ้าทำให้เจ้าสามารถพัฒนาวิชาอาร์คาน่าได้หรือ ?”

ซูเฉินยักไหล่ “ข้าไม่รู้”

แน่นอนว่าเขาไม่มีพรสวรรค์อะไรเช่นนั้น หากเขามี พรสวรรค์ของเขาคือการศึกษาเรียนรู้ ประดิษฐ์ และสร้างสรรค์

การเพิ่มขึ้นในพลังของสนามพลังแสงเกิดขึ้นจากพัฒนาการที่เขาได้สร้างขึ้นซึ่งสามารถส่งต่อได้ แต่ก็ไม่มีทางที่ซูเฉินจะพูดเช่นนั้น นี่คือเหตุผลที่ชุยอวี่ชางเต๋อตีความว่ามันเป็นพรสวรรค์ของเขาซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างที่ใช้ได้ทีเดียว

แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ชอบพอในความคิดที่จะมีพรสวรรค์เช่นนั้น เพราะหากว่าเขามีเขาก็ควรจะสามารถพัฒนาวิชาอาร์คาน่าที่หลากหลายได้

ที่จริง นอกจากว่าเขาจะปรับปรุงวิชาอาร์คาน่าหรือวิชานั้นแข็งแกร่งขึ้นเมื่อระดับพลังของเขาเพิ่มสูงขึ้นแล้ว วิชาอาร์คาน่าส่วนมากจะไม่แสดงผลที่ทรงพลังอะไรมากมายในมือของเขา

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่ชายหนุ่มจะไม่สามารถยอมรับมันได้ เขาจึงทำได้เพียงพูดว่าเขาไม่รู้อะไร

“คงเหิน ลองอย่างอื่นสิ !” ชุยอวี่ชางเต๋อพูดด้วยความตื่นอกตื่นใจ

พรสวรรค์ในพัฒนาการเช่นนี้นั้นหายากและมีค่าไม่น้อยเลย ใครก็ตามที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ถูกชะตากำหนดให้กลายเป็นบุคคลสำคัญ แม้ว่าชุยอวี่คงเหินจะมีพรสวรรค์บ้างในอดีต มันก็ไม่ใกล้เคียงระดับเดียวกันนี้เลยสักนิด

แต่การแสดงพลังของซูเฉินครั้งต่อมาก็ต้องทำให้เขาผิดหวังเมื่อวิชาอาร์คาน่าไม่กี่ครั้งต่อมานั้นไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด

“เป็นไปได้ยังไง ?” ชุยอวี่ชางเต๋อไม่เข้าใจ

ซูเฉินกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมข้าจึงไม่สามารถพัฒนาวิชาอาร์คาน่าอื่น ๆ ท่านก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้พัฒนาสนามพลังแสงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าคิดว่าพรสวรรค์พัฒนาการของข้าคงจะใช้ได้แค่กับวิชาอาร์คาน่าแยกย่อยบางอย่างเท่านั้น”

“แยกย่อยประเภทไหนกัน ?”

ซูเฉินส่ายหัวของเขา “ข้าไม่รู้จริง ๆ ข้าคงจะสามารถยืนยันมันได้จากการทดลองซ้ำ ๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตาม มันคงดีที่สุดสำหรับข้าที่จะศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิชาอาร์คาน่า”

“อย่างนั้นเองหรือ” ชุยอวี่ชางเต๋อถอนหายใจด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดาย

ซูเฉินตะลึงงัน ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ตอนนี้เขาได้ครอบครอง ‘พรสวรรค์’ แล้วไม่ใช่หรือ ? แต่ทำไมชุยอวี่ชางเต๋อจึงดูไม่มีความสุขเลยสักนิด ?

คงจะแม่นยำกว่าหากพูดว่าเขายังไม่พึงพอใจ

ชุยอวี่ชางเต๋อมองไปยังซูเฉินด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความชอบพอใจ “น่าสงสาร หากเจ้าได้ปลุกพรสวรรค์เสริมพลังอักขระขึ้นมาจริง ๆ ก็คงจะดี”

“เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า ?” ซูเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงความเสียดายในน้ำเสียงของชุยอวี่ชางเต๋อ ราวกับว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่อีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยออกมา

“คือ……”

“ท่านพูดมาเถิด ข้ารับได้” ซูเฉินตอบอย่างนิ่งเฉย

แม้ว่าปกติแล้วเขาจะทำตัวสันโดษ ซูเฉินก็สามารถปฏิบัติอย่างสงบเสงี่ยมเมื่อเขาต้องการ

เมื่อชุยอวี่ชางเต๋อเห็นเช่นนั้น เขาก็ตั้งมั่นในตัวเองและกล่าว “คงเหิน เจ้าเคยนึกถึงการเดินทางไปที่อื่นสักหน่อยไหม ?”

“ไปที่อื่นหรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง

ที่จริงแล้วเขาก็นึกถึงการออกเดินทางเมื่อตอนที่ได้อ่านหนังสือทั้งหมดในหอสมุดแล้ว แต่ชุยอวี่ชางเต๋อดูจะมีเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ต้องการให้เขาจากไป

“เกินอะไรขึ้นหรือเปล่า ?” ซูเฉินถามอีกครั้ง

“คือ…… ข้าแค่อยากให้เจ้าสามารถออกไปเดินเล่นและทำจิตใจให้สบายเท่านั้นเอง”

“ตอนนี้ข้าสบายดี จิตใจของข้าไม่ต้องการการพักผ่อนอะไรหรอก”

แน่นอนว่าซูเฉินต้องการไป แต่เนื่องจากชุยอวี่ชางเต๋อต้องการให้เขาไป ซูเฉินจึงทำเป็นว่าเขาไม่ต้องการไปเพื่อที่จะได้รู้ถึงเหตุผล

ชุยอวี่ชางเต๋อทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าทำเช่นนั้นจะสามารถหลีกเลี่ยง… ข่าวลือไร้ศีลธรรมบางส่วนได้”

ซูเฉินเข้าใจเมื่อเขาได้ยินดังนั้น

ดูเหมือนว่ามันจะยังเกี่ยวข้องกับการเตรียมการที่เขาทำไว้ล่วงหน้า

ข่าวของสิ่งที่เกิดขึ้นกับชุยอวี่คงเหินยังคงแพร่กระจายต่อไป

ณ จุดนี้ ตระกูลมากมายได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชุยอวี่คงเหินแล้ว

ข่าวลือเหล่านี้ไม่เป็นผลดีต่อตระกูลชุยอวี่แต่อย่างใด และหากพวกเขาเข้าถึงลูกชายของตนได้ ก็มีความเป็นไปได้ที่พวกเขาจะไปกระตุ้นเขาเข้า นี่คือเหตุผลที่ชุยอวี่ชางเต๋อต้องการให้ลูกชายของเขาจากไปสักพัก

หากพรสวรรค์ซูเฉินคือเสริมพลังอักขระ ชุยอวี่ชางเต๋อก็คงจะทำทุกอย่างในอำนาจของเขาเพื่อทำให้ซูเฉินอยู่ แต่เนื่องจากนั่นไม่ใช่ประเด็น และซูเฉินเพียงแค่พัฒนาสนามพลังแสงจึงไม่มีความจำเป็นที่จะไปถึงขั้นนั้น

แม้ว่าซูเฉินจะเป็นลูกชายของเขาเอง มันก็ยังไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาด้วยเหตุผลดังกล่าว

ซูเฉินมีประสบการณ์กับเรื่องเช่นนี้มาก่อนเมื่อนานมาแล้ว เขาจึงไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขากำลังวางแผนการออกจากที่นี่อยู่แล้ว นี่จึงเป็นโอกาสดีที่จะปกป้องตนเองจากการทำเช่นนั้น

ซูเฉินพยักหน้า “ท่านคิดจะส่งข้าไปที่ใด ?”

ชุยอวี่ชางเต๋อกล่าวอย่างรีบร้อน “บ้านของน้องสะใภ้เจ้าอยู่ใกล้กับแม่น้ำเฟื่องสมบัติ เจ้าว่าอย่างไรล่ะ ?”

ซูเฉินไม่รู้เลยว่าน้องสะใภ้คนนี้เป็นใครหรือเขากำลังถูกขอให้ไปที่ใด แต่เขาก็ไม่ใส่ใจและพยักหน้า “ก็ได้”

ชุยอวี่ชางเต๋อดูปีติยินดีเหลือเกินเมื่อเขาเห็นว่าซูเฉินนั้นเชื่อฟังโดยไม่ลำบาก “งั้นเจ้าคิดว่าจะไปเมื่อไร ?”

“พรุ่งนี้เป็นไงล่ะ ?” ซูเฉินตอบ

เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจที่จะไปแล้ว มันจะดีกว่าหากเขาไปให้เร็วที่สุด

ชุยอวี่ชางเต๋อไม่ได้คาดหวังว่าซูเฉินจะตรงไปตรงมาเช่นนี้ และเขาก็นึกได้ว่าลูกชายของเขาคงคิดที่จะไปแต่แรกแล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวต่อไป “ข้าจะไปบอกเหล่าผู้รับใช้ให้เตรียมของให้เจ้า เจ้าควรไปหาแม่ของเจ้าและบอกลานางสักหน่อยนะ”

เช้าวันถัดมา ซูเฉินก็จากตระกูลชุยอวี่ไปบนรถม้าที่ลากโดยม้าบินสีเงินมุ่งหน้าไปยังนอกเมืองล่องนภา

แม้ว่าเมืองล่องนภาจะเป็นใจกลางของอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ ทว่าก็ยังมีเมืองที่เล็กกว่าอีกจำนวนหนึ่งอยู่ใกล้เคียงด้วยเช่นกัน

รถลากม้าบินสีเงินควบไปตามหมู่เมฆและทิ้งเมืองล่องนภาไว้เบื้องหลังอย่างรวดเร็ว ซูเฉินไม่มีปัญหากับการตามหลังม้าบินทำให้มันสามารถลากเขาไปในทิศทางที่ถูกต้อง เขาดูค่อนข้างสบายทีเดียว ด้วยการพึ่งพาตัวตนของชุยอวี่คงเหิน ซูเฉินไม่ได้เผชิญเข้ากับปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้นขณะที่เขาดำเนินไปอย่างเกียจคร้าน แต่ซูเฉินก็ไม่ได้ไปที่แม่น้ำเฟื่องสมบัติแต่อย่างใด ทำให้น้องสะใภ้ของเขาคนนั้นรอคอยอย่างกระวนกระวายใจซึ่งเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่เขายังคงเดินหน้าต่อไป ทันใดนั้นเขาก็เห็นการโจมตี 2 ครั้งพุ่งตรงมายังทิศทางของตนเองอย่างว่องไว

ร่างหนึ่งอยู่ข้างหลังอีกร่างราวกับว่าพวกเขากำลังไล่ตามกัน

เมื่อทั้งสองร่างเห็นรถม้า พวกเขาก็เปลี่ยนทิศทางในทันทีโดยบินตรงมายังซูเฉินแทน

ซูเฉินหน้าบึ้งตึงและเตรียมตัวหลีกทางไป

เขาไม่อยากเข้าไปข้องเกี่ยวแต่กลับได้ยินเสียงหญิงสาวนางหนึ่งพูดขึ้นในวินาทีนั้น “คุณชาย ได้โปรดช่วยข้า !”