ภาคที่ 5 บทที่ 91 ศึกษา

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 91 ศึกษา

ท่าทางของซูเฉินหม่นหมองลงทันที เขาแผ่ปีกออกกว้างและพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า ร่างกะพริบไปมาก่อนจะปรากฏตัวขึ้นออกครั้งตรงหน้าของอีกฝ่าย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่คิดเลยว่าคู่ต่อสู้ของตนจะรวดเร็วถึงเพียงนี้และมาอย่างไม่ทันตั้งตัว… ก่อนที่หมัดของซูเฉินจะกระแทกเข้าที่ใบหน้าและส่งให้ร่างลอยออกไป !

วินาทีต่อมา ซูเฉินกระโจนและคร่อมเขาไว้ แล้วฟาดลงยังปักษาวัยเยาว์อย่างเกรี้ยวกราด

คนผู้นั้นนิ่งสนิทด้วยการโจมตีที่โหดร้ายนั้น

เกิดอะไรขึ้น ?

ข้าถูกเขาโจมตีได้ไง ?

เขาไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายพยายามโจมตีเขาหลังจากที่เขาชี้ประสบการณ์ที่น่าอัปยศอดสูที่สุดให้เห็น

กลับกัน เขาประหลาดใจที่เขาไม่สามารถตอบโต้ได้ ที่ไม่สามารถตั้งการป้องกัน ที่คู่ต่อสู้กำลังคร่อมร่างของเขา และเขากำลังถูกอัดจนกระทั่งไม่มีเรี่ยวแรงที่จะตอบโต้ได้

เขาได้แต่มองขณะที่หมัดแล้วหมัดเล่าราวกับห่าฝนเกิดเป็นดอกไม้โลหิตเบ่งบานออกมา แต่เขาก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบและทำได้เพียงตะโกนด้วยความหวาดผวาและโกรธเกรี้ยว “ปล่อย ! ปล่อย ! พวกเจ้าจะยืนมองอยู่ทำไมเล่า !?”

ประโยคสุดท้ายนั้นส่งตรงไปยังเหล่าลูกกระจ๊อกที่เขาพามาด้วย

ลูกน้องของเขาเหล่านั้นเหมือนจะตื่นขึ้นจากภวังค์และพุ่งไปข้างหน้าโดยพยายามที่จะดึงซูเฉินออกจากผู้เป็นนายของพวกเขา

ซูเฉินคำรามในลำคอและไม่ได้พยายามขัดขืนแม้แต่น้อย กลับกัน เขากัดลงบนใบหูของปักษาหนุ่มที่กองอยู่บนพื้น

รอยกัดของเขารุนแรงทีเดียวและปักษาหนุ่มก็กรีดร้องตอบสนองด้วยความเจ็บปวด

ชาวปักษา 7 หรือ 8 คนเข้าล้อมซูเฉิน แต่ซูเฉินก็ไม่ยอมปล่อย ทำให้เมื่อเขาถูกดึงออกจากปักษาหนุ่ม ใบหูของอีกฝ่ายก็ยืดออกและยืดออกจนกระทั่งมันขาดออกมา

“อ๊ากกก !” เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังไปทั่วทุกทิศทาง

ชาวเผ่าปักษาเริ่มเคลื่อนเข้ามาจากทุกทิศทางเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องนี้

คนแรกที่มาถึงคือชาวปักษาวัยกลางคน เมื่อเขาเห็นฉากเลือดสาดอยู่ตรงหน้า เขาก็ตกตะลึง ก่อนแผดเสียงขึ้น “ชุยอวี่คงเหิน เจ้ากำลังทำบ้าอะไร ?”

“ลุงรอง สำเร็จโทษมันแทนข้าที ! ไอ้สารเลวนั่นมัน…. มันกัดหูข้าขาด !” ปักษาหนุ่มร้องโหยหวนขณะที่เขากุมหูที่ฉีกขาดไว้

ซูเฉินจำท่านลุงคนนี้ได้ ชื่อของเขาคือชุยอวี่เฟิง พี่ชายของชุยอวี่ชางเต๋อ ตามปกติแล้ว ‘ตนเอง’ ควรจะเรียกว่าลุงรองชุยอวี่เฟิง

ซูเฉินสามารถคาดเดาจากการที่ปักษาหนุ่มแผดเสียงร้องแล้ว ที่แท้เขาคือลูกชายของลุงใหญ่ชุยอวี่หลิวเจีย !

ซูเฉินเข้าใจในที่สุดว่าปักษาหนุ่มตรงหน้าเขาคือใคร

ชุยอวี่ชิงเหยียน

สาเหตุที่ซูเฉินจำเขาไม่ได้เพราะชุยอวี่คงเหินไม่ได้จัดว่าเขาเป็นศัตรู แต่เป็นผู้ติดตามเสียมากกว่า

ใช่ ชุยอวี่ชิงเหยียนเคยเป็นผู้ติดตามของชุยอวี่คงเหินมาก่อน

แม้ว่าบิดาของชุยอวี่ชิงเหยียนจะเป็นพี่ชายของชุยอวี่ชางเต๋อ ทว่าชุยอวี่ชิงเหยียนนั้นมีอายุน้อยกว่าชุยอวี่คงเหิน และความสามารถของเขายังด้อยกว่าอยู่ ซึ่งผลที่ตามมาคือเขาถูกลดตำแหน่งลงไปเป็นผู้ติดตามและคนรับใช้แทน เป็นสาเหตุที่ชุยอวี่คงเหินไม่ได้พูดถึงชุยอวี่ชิงเหยียนว่าเป็นศัตรูเมื่อตอนที่ซูเฉินถามซักไซ้ และทำไมซูเฉินไม่สามารถจำเขาได้

อย่างไม่มีใครคาดคิด อดีตผู้ติดตามคนนี้ได้เริ่มการต่อสู้กับเขา กระทั่งตั้งใจยั่วยุเขาอย่างซึ่ง ๆ หน้า หากว่าชุยอวี่คงเหินไม่ได้โกหก นั่นก็หมายความว่าปักษาหนุ่มคนนี้ได้แข็งแกร่งขึ้นในไม่กี่ปีที่ผ่านมาและต้องการจะเปลี่ยนอดีตเสาหลักให้กลายเป็นบันไดสู่ความสำเร็จ

ซูเฉินไม่สามารถคาดเดาได้ว่านี่คือประเด็นจริง ๆ หรือไม่ คู่ต่อสู้เหล่านี้ต่างก็เป็นคนที่เขาสามารถกำราบได้อย่างง่ายดาย ในสายตาของเขาแล้ว มดที่แข็งแรงและมดที่อ่อนแอนั้นอยู่ในระดับเดียวกัน และมันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะมองออกและแยกความแตกต่างระหว่างทั้งสองได้

เมื่อชุยอวี่เฟิงเห็นใบหูที่ฉีกขาดของชุยอวี่ชิงเหยียน ในจิตใจของเขานั้นตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด “ชุยอวี่คงเหิน เจ้ากำลังทำอะไร ?”

ซูเฉินยังคงเงียบกริบและจ้องเขม็งไปยังชุยอวี่ชิงเหยียน สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความโกรธแค้นและความเกลียดชังไม่สิ้นสุด

ทักษะการแสดงของเขาก็ไม่ได้แย่เสียไปเสียทีเดียว

ไม่น่าเชื่อว่าเขาได้เรียนรู้การแสดงออกนี้มาจากอวิ๋นเป้า อย่างไรแล้วก็ไม่มีใครสามารถเทียบได้กับอวิ๋นเป้าเมื่อพูดถึงสีหน้าท่าทาง ซูเฉินได้ลอกเลียนแบบความ ‘นิ่งเย็นยะเยือก’ ‘ความป่าเถื่อน’ และ ‘ความดื้อรั้น’ ของอวิ๋นเป้า จนแทบจะพูดได้เลยว่าตัวเขานั้นเลียนแบบได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

ชุยอวี่เฟิงประหลาดใจเมื่อเห็นท่าทางของซูเฉิน เขารู้ดีว่าสถานการณ์นี้คงจะไม่เรียบง่ายนัก เขาจึงหันไปถามชุยอวี่ชิงเหยียน “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”

ชุยอวี่ชิงเหยียนลูบคอของเขาพร้อมอธิบาย “ข้าเพียงแค่พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเขา แล้วเขาก็อาละวาดและพยายามกัดข้า”

“เจ้าพูดอะไรเกี่ยวกับเขาล่ะ ?”

ชุยอวี่ชิงเหยียนก้มหัวลงและพูดอย่างกระอักกระอ่วนใจ “ข้าบอกว่า… ข้าบอกว่าเขาถูกข่มขืน…”

ฟู่ !

ชุยอวี่เฟิงสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปเต็มปอด

มวลเผ่าปักษาที่พึ่งจะมาถึงยังจุดเกิดเหตุได้ยินสิ่งที่เขาพูดอย่างชัดเจน รวมไปถึงชุยอวี่ชางเต๋อ

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ ?” ชุยอวี่ชางเต๋อจ้องมองชุยอวี่ชิงเหยียนด้วยความตกตะลึงก่อนจะหันไปมอง ‘ลูกชาย’ ของเขา …ท่าทางของซูเฉินดูจะทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นแม้จะไร้ซึ่งคำพูดว่าชุยอวี่ชิงเหยียนพูดความจริงหรือไม่ก็ตาม

เขาคว้าคอของชุยอวี่ชิงเหยียนไว้ “ใครบอกเจ้าเช่นนั้น ?”

ชุยอวี่ชิงเหยียนพยายามหายใจอย่างยากลำบากขณะที่พยายามเกร็งลำคอของเขา “เผ่าปักษาอีก 58 ตนที่กลับมากับเขา… พวกเขา… พวกเขาทั้งหมดรู้… ข้ามีคนรับใช้คนหนึ่งที่เป็นเพื่อนกับหนึ่งในเชลยเหล่านั้น และเขาเป็นคนบอกข้า”

ชุยอวี่ชางเต๋อเริ่มตัวสั่นเทา เขาหันไปจ้องเขม็งยังลูกชายของตน และเข้าใจในที่สุดถึงที่มาของความโกรธแค้นของลูกชาย

ใครก็ตามที่ต้องผ่านบาดแผลลึกเช่นนั้นคงจะกลายเป็นบ้าหากถูกฉีกแผลเหล่านั้นออก ถูกไหม ?

ไม่แปลกเลยที่ลูกชายของเขาจะกลายเป็นคนปลีกวิเวกยิ่งนักหลังจากกลับมา

ที่จริงแล้วเขาก็เคยผ่านประสบการณ์ที่น่าหวาดกลัวเช่นนี้เหมือนกัน

“ไอ้สารเลว !” ชุยอวี่หลิวเจียตบหน้าลูกชายของเขา “เจ้ากล้าดียังไงถึงพูดเช่นนั้นออกมา ?”

ชุยอวี่คงเหินรู้ว่าเขาได้กระทำบาปครั้งใหญ่หลวงไป แต่เขายังไม่สามารถต่อต้านการร้องโอดโอยได้ “เขากัดหูข้าขาด !”

“เจ้าทำอย่างไรก็จะได้อย่างนั้น !” ชุยอวี่หลิวเจียจ้องเขาเขม็งพร้อมกับออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม “กลับไปและต้องถูกกักขัง 3 วัน ! ชิงเหยียน พาลูกชายเจ้าไปด้วยและให้เขาพักผ่อนเสีย”

“ขอรับ !” ชุยอวี่ชางเต๋อน้อมรับคำสั่งและพาตัวซูเฉินกลับไปยังห้องของเขา

ขณะที่เขามองคู่พ่อลูกแยกจากกัน ชุยอวี่ชางเต๋อถอนหายใจด้วยความเสียใจ

เขารู้ว่าเหตุการณ์นี้คงจะปะทะชุยอวี่คงเหินเข้าอย่างจัง มันเป็นไปได้อย่างแน่นอนว่าบาดแผลนี้จะทำลายเขา

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว เด็กคนนี้สามารถขึ้นคร่อมร่างของชุยอวี่ชิงเหยียนและกระหน่ำหมัดใส่เขาได้อย่างไรกัน ?

ชุยอวี่คงเหินนั้นถูกจับเป็นเชลยเป็นระยะเวลานาน มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองมากเท่าที่ควร แต่เขาก็ยังสามารถกำราบชุยอวี่ชิงเหยียนได้อย่างง่ายดาย มีเพียงคำอธิบายเดียวเท่านั้นที่เป็นไปได้ นั่นคือชุยอวี่ชิงเหยียนได้หย่อนยานการฝึกฝนของเขาในช่วงที่ผ่านมา

ชุยอวี่หลิวเจียตัดสินใจว่าเขาต้องจัดการลูกชายคนนี้ของเขาให้เข้าที่เข้าทาง

ขณะที่ชะตากรรมของชุยอวี่ชิงเหยียนได้ถูกตัดสินไว้แล้ว เขายังคงอาลัยอาวรณ์ต่อใบหูของเขาที่เสียไป เขาไม่รู้เลยว่านี่เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้ายอันยาวนานของเขาเท่านั้น

วันนั้นกลายเป็นวันแห่งความเงียบงันสำหรับตระกูลชุยอวี่

เผ่าปักษาจำนวนมากได้รู้ในไม่ช้าเกี่ยวกับ ‘ประสบการณ์’ ของชุยอวี่คงเหิน ซึ่งช่วยให้พวกเขาเข้าใจพฤติกรรมของเขามากขึ้น พวกเขาออกคำสั่งให้เหล่าลูกหลานไม่ให้ไปยุแหย่ชุยอวี่คงเหินในทุกกรณีและพยายามไม่ให้ข่าวแพร่กระจายออกไปอย่างสุดความสามารถ ในขณะเดียวกัน พวกเขาให้พื้นที่และอิสระกับซูเฉินมากเท่าที่จะให้ได้โดยหวังว่าเขาจะสามารถฟื้นฟูกลับมาจากความมัวหมองของเขาได้

นี่แหละคือสิ่งที่ซูเฉินต้องการ

การเตรียมการทั้งหมดที่ผ่านมาของเขากำลังผลิดอกออกผล ซูเฉินนั้นมีความชอบธรรมในท่าทีที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงของเขา เขาจึงได้รับอนุญาตให้ทำตัวสุดโต่ง รุนแรง ฉุนเฉียว และสันโดษ แม้ว่าเขาอาจจะถูกล้อเลียนและเยาะเย้ยได้ เขาก็ไม่สนใจ อย่างไรแล้วเขาก็ไม่ใช่ชุยอวี่คงเหิน และแม้ว่าเขาจะเป็น เขาก็คงจะไม่ใส่ใจเช่นกัน

เขาตามหาเพียงแค่ความรู้เท่านั้น !

หลายวันต่อมา ซูเฉินตั้งความมุ่งมั่นทั้งหมดของเขาไปยังการศึกษาระบบความรู้ของเผ่าปักษา

ตระกูลชุยอวี่มีหอสมุดเป็นของตัวเอง

นี่คือที่ที่ซูเฉินต้องการไปมากที่สุด

เขาใช้เวลาในที่แห่งนี้ไปกับการอ่านประวัติศาสตร์เผ่าปักษาและศึกษาโครงสร้างทางสังคมของพวกเขา ในขณะเดียวกัน เขาก็ทำเพื่อให้เข้าใจโครงสร้างของตระกูลชุยอวี่ให้มากและชัดเจนยิ่งขึ้น

เพราะเขามีผลึกวิญญาณซึ่งทำให้เขาสามารถจดจำทุกสิ่งอย่างที่เขาอ่านได้ ความเร็วในการอ่านทำความเข้าใจของเขาจึงว่องไวอย่างน่าเหลือเชื่อ เขาแทบจะต้องเปิดหนังสือหน้าแล้วหน้าเล่าติดต่อกันก่อนจะวางมันลง ในเวลาเพียงครึ่งเดือน เขาได้อ่านหนังสือส่วนมากในหอสมุดนี้ไปแล้ว แน่นอนว่าการกระทำของซูเฉินนั้นเพียงเพื่อสร้างทางหนีออกห่างในสายตาของเผ่าปักษาคนอื่น ๆ

ด้วยทางใดทางหนึ่ง เขาปลดปล่อยความเครียดด้วยการพลิกหน้าหนังสือเหล่านี้อย่างบ้าคลั่ง

ข่าวลือว่าเขาบ้าไปแล้วจึงได้แต่แพร่สะพัดไปไกล ทว่าซูเฉินก็ไม่ได้สนใจ

เขาพึงพอใจเป็นอย่างมากกับหนังสือของตระกูลชุยอวี่ ซึ่งสามารถช่วยให้เขาเข้าใจวิชาอาร์คาน่าได้ล้ำลึกลงไปยิ่งขึ้น

ซูเฉินรู้มาสักพักแล้วว่าวิชาอาร์คาน่าปลอดปล่อยออกมาจากอัขระวิชาอาร์คาน่า โดยตัววิชาจะต้องสอดคล้องกันเป็นอักขระเฉพาะตัว อักขระเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นจากชิ้นส่วนจำนวนนับไม่ถ้วน และเพราะว่ามีโครงสร้างพื้นฐานโดยทั่วไปอยู่แล้วในอักขระเหล่านี้ ผลลัพธ์ที่ได้มาจึงเป็นผลผลิตที่มีคุณสมบัติซึ่งคล้ายคลึงกันไปด้วย ด้วยเหตุนี้ การรวมชิ้นส่วนอักขระวิชาอาร์คาน่านั้นแทบจะเหมือนการเล่นของเล่นสร้างตัวต่อ ดังนั้นปรมาจารย์อาร์คาน่าจึงมักจะพยายามเชี่ยวชาญอักขระให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อที่จะสามารถรวมพวกมันเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วให้เป็นวิชาที่ใช้การได้

เพื่อเพิ่มอัตราที่พวกเขาจะเชี่ยวชาญในชิ้นส่วนเหล่านี้ ปรมาจารย์อาร์คาน่าบางคนจึงจารึกอักขระและชิ้นส่วนเหล่านี้ไว้ในร่างกายของพวกเขา

นี่คล้ายกับกระบวนการใช้แม่พิมพ์ พวกเขาจำเป็นต้องร่ายวิชาอาร์คาน่าเฉพาะผ่านแม่พิมพ์ ทำให้พวกเขาสามารถจัดรูปแบบอักขระอาร์คาน่าได้อย่างรวดเร็ว นี่คือเหตุผลที่บางวิชาอาร์คาน่าสามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเริ่ม

เพราะแต่ละคนก็ครอบครองคุณลักษณะทางกายภาพที่แตกต่างกันออกไป ความแข็งแกร่งของจารึกจึงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว

ตามปกติแล้ว ปรมาจารย์อาร์คาน่าสามารถจารึกชิ้นส่วนเพิ่มเติมได้ทุกครั้งที่พวกเขาเลื่อนระดับขั้นของตัวเอง วิชาเหล่านี้ถูกรู้จักในชื่อของวิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิด

มันค่อนข้างใกล้เคียงกับการสลักแท่นบงกชของเผ่ามนุษย์ ซึ่งอาศัยหลักการที่ใกล้เคียงกันเพื่ออนุญาตให้ผู้ใช้งานปลดปล่อยทักษะต้นกำเนิดได้อย่างต่อเนื่อง แต่การจารึกแท่นบงกชนั้นเป็นของยันต์พลังต้นกำเนิด ไม่ใช่อักขระพลังต้นกำเนิด แม้ว่าหลักการโดยรวมจะคล้ายกันทีเดียว อย่างไรแล้วนี่ก็เป็นสิ่งที่เผ่ามนุษย์ได้เรียนรู้มาจากชาวอาร์คาน่าตั้งแต่แรก

แม้ว่าจะมีระบบฝึกฝนจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ภายใต้สรวงสวรรค์ ทว่าพวกมันทั้งหมดกลับมีความคล้ายคลึงบางอย่างร่วมกัน โดยเฉพาะเหตุที่ว่าเหล่าทายาทมักจะได้รับอิทธิพลอย่างหนักจากผู้อาวุโสของพวกเขา

แต่ปรมาจารย์อาร์คาน่าบางครั้งก็สามารถจารึกได้มากกว่า 1 วิชาต่อหนึ่งระดับขั้น บางส่วนของพวกที่มีความสามารถมากกว่าสามารถกระทั่งจารึก 2 วิชาอาร์คาน่าแต่กำเนิดในทุก ๆ ระดับขั้น ซึ่งระดับของการจารึกนั้นบังเอิญเป็นมาตรวัดที่พวกเขาใช้ในการระบุพรสวรรค์ที่แท้จริง

พรสวรรค์ที่แตกต่างกันทำให้ผลที่ตามมาแตกต่างกันไปด้วย บางคนที่เชี่ยวชาญด้านปริมาณทำให้พวกเขาสามารถขวางกั้นศัตรูด้วยวิชาอาร์คาน่าหลากหลายแบบ บางคนที่เชี่ยวชาญในความซับซ้อนทำให้พวกเขาสามารถปลดปล่อยบางวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อได้ อย่างไรก็ตาม โลกของวิชาอาร์คาน่านั้นซับซ้อนซ่อนเงื่อนยิ่งกว่าระบบทักษะต้นกำเนิดของมนุษย์เสียอีก

เหตุผลเดียวที่วิชาเหล่านี้ถูกทิ้งร้างไปโดยมนุษย์เป็นเพราะว่าพวกมันนั้นไม่ได้เหมาะสมสำหรับพวกเขาเนื่องจากพวกเขาขาดพลังการประมวลผล

ในขณะที่มนุษย์ส่วนมากขาดความสามารถในการคำนวณ แต่ซูเฉินไม่ ความทรงจำและความสามารถในการทำนายที่น่าเหลือเชื่อของเขา… ในจุดนี้ชายหนุ่มอยู่เหนือกว่าชาวอาร์คาน่าบางคนเสียอีก !

ผลที่ตามมาคือการศึกษาวิชาอาร์คาน่าของเขาก็สำเร็จลุล่วงถึงขั้นสูงสุด ก่อนหน้านี้เขายังคงขาดความรู้ไป ทั้งหมดที่เขาทำมีเพียงแค่ศึกษาข้อมูลจากศพชาวอาร์คาน่าโบราณบางคน และนี่ยังไม่ใกล้เคียงกับที่เขาต้องการ แต่ตอนนี้เมื่อเขาอยู่ในอาณาเขตเผ่าปักษา ดวงตาของเขาจึงเริ่มที่จะเปิดกว้างขึ้น

ซูเฉินเริ่มสวาปามความรู้เหล่านี้อย่างตะกละตะกลาม เขาเชื่อมั่นว่าเขาสามารถเปลี่ยนกองภูเขาความรู้เหล่านี้ให้เป็นหยก และมันไม่เพียงจะทำให้วิชาอาร์คาน่าที่ซับซ้อนเสริมความแข็งแกร่งของเขา พวกมันยังจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่องานวิจัยของเขาด้วย !

ซูเฉินหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเช่นนี้

ครึ่งเดือนผ่านไป ซูเฉินได้รับรายงาน

กลุ่มพ่อค้าเผ่ามนุษย์ที่มายังเมืองนภาลัยราบได้จากไปแล้ว

ในวันนั้น จากวินาทีนี้เป็นต้นไป ซูเฉินก็รู้ว่าเขาจะต้องต่อสู้ในศึกนี้แต่เพียงผู้เดียว !!!