หลิงหยุนถึงกับตกใจอย่างมากเพราะสามารถสัมผัสพลังปราณรุนแรงที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของจางคุนหลุนได้
  และแน่นอนว่าจางคุนหลุนคือยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับเจ็ดและหลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงพลังอมตะที่พวยพุ่งออกมาจากร่างของเขา!
  หลิงหยุนเก็บกระบี่โลหิตแดนใต้เข้าไปในแหวนพื้นที่ทันทีและเตรียมใช้วิชาหยางพิสุทธิ์จัดการกับศัตรู!
  แต่แล้วจู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นท่ามกลางหุบเขา..
  “คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้สำนักกระบี่คุนหลุนจะกล้าทำผิดกฏยอมเข้าร่วมการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมเช่นนี้เสียเอง!”
  จากนั้น..กระบี่สีเขียวก็พุ่งตรงเข้าใส่ร่างของจางคุนหลุนอย่างรวดเร็ว!   “ห๊ะ!กระบี่เซียนงั้นรึ?”
  หลิงหยุนรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นกระบี่สีเขียวพุ่งจู่โจมเข้าใส่ร่างของจางคุนหลุนเช่นนั้นเขารู้ว่าได้ทันทีว่านั่นคือกระบี่ที่เกิดจากการบ่มเพาะพลังอย่างแท้จริง หาใช่ชนิดเดียวกันกับกระบี่เหินเงาธนูของตนไม่ เพราะมันคือกระบี่ที่เกิดจากพลังปราณที่แข็งแกร่ง!
  หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางซึ่งเป็นที่มาของกระบี่เซียนเล่มนั้นทันทีและเขาก็ได้เห็นคนสามคนเข้า..
  และหนึ่งในนั้นก็คือเย่เเทียนสุ่ยแห่งตระกูลเย่!
  …….
  เวลานี้เย่เทียนสุ่ยได้กลายเป็นชายหนุ่มร่างผอมแล้วและดูเหมือนว่าน้ำหนักของเขาจะหายไปกว่าร้อยกิโลกรัมเลยทีเดียว แต่หลิงหยุนก็ยังสามารถจดจำเขาได้!
  ความจริงแล้วทั้งสามคนที่เพิ่งมาถึงนั้นหลิงหยุนรู้จักเพียงแค่สองคนเท่านั้น!   นอกเหนือจากเย่เทียนสุ่ยแล้วก็ยังมีอีกคนที่สวมชุดดำ เขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลารูปร่างผอมบาง กำลังยืนอยู่บนกระบี่เหินสีม่วงยาวสองเมตร สายตาที่เฉยเมยของเขานั้นดูราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น!
  หลิงหยุนแทบไม่ต้องรอให้เห็นตัวคนเพราะเพียงแค่เห็นกระบี่เหินสีม่วงนี้เล่มนี้ เขาก็จำได้แล้วว่าคือคนที่แอบไปสังหารเฉินจิ้งเทียนในคืนที่ตระกูลหลิงบุกไปถล่มตระกูลเฉิน!
  คืนนั้นหลิงหยุนไล่ตามชายหนุ่มผู้นี้ไปตั้งไกลแต่ในที่สุดเขาก็สามารถหลบหนีไปได้ แต่ในคืนที่เขาไปทวงเงินเดิมพันกับเย่เทียนสุ่ยที่บ่อนนั้น จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วคนที่ลอบสังหารเฉินจิ้งเทียนนั้น แท้จริงก็คือเย่เทียนตูแห่งตระกูลเย่นั่นเอง!
  และแทบไม่ต้องสงสัย..คนผู้นี้ก็คือเย่เทียนตูนี่เอง!
  ส่วนอีกคนนั้นเป็นหญิงวัยกลางคนสวมชุดกระโปรงยาวสีฟ้าอย่างสง่างาม และงดงามไม่แพ้เทพธิดาฉินตงเฉี่วยเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีแสงสว่างสีเขียวปกคลุมรอบกาย ทำให้ไม่สามารถมองเห็นขั้นพลังของนางได้
  หลิงหยุนไม่เคยพบเจอหญิงวัยกลางคนผู้นี้มาก่อนแต่ในใจนั้นได้คาดเดาไว้แล้วว่าคนผู้นี้น่าจะต้องเป็นน้าหญิงเย่ชิงซินแห่งตระกูลเย่ที่เย่เทียนสุ่ยเคยพูดถึง
  เวลานี้เย่ชิงซินได้เหาะอยู่เหนือท้องนภาและพลังปราณสีเขียวที่สุกสว่างไปทั่วร่างของนางนั้น ก็บ่งบอกถึงพลังปราณที่แข็งแกร่งยิ่ง และต้องอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าระดับหกขั้นพลังเหนือธรรมชาติขึ้นไป!
  การฝึกกระบี่เซียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและนับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง แต่หากฝึกฝนจนมีพลังจู่โจมที่แข็งแกร่ง ก็จะสามารถสังหารผู้บ่มเพาะพลังในขั้นสูงได้อย่างง่ายดาย และหากผู้ที่ใช้กระบี่เซียนอยู่ในระดับสูงสุดขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) ก็จะสามารถใช้กระบี่เซียนนี้สังหารผู้ที่อยู่ในขั้นปาเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-8) ได้อย่างง่ายดาย  จากการคาดคะเนของหลิงหยุนนั้นเขาเชื่อว่าเป็นเย่ชิงซินที่ใช้กระบี่เซียนนี้จู่โจมเข้าใส่จางคุนหลุน และเวลานี้จางคุนหลุนก็กำลังยกมือขึ้นต้านกระบี่เซียนของเย่ชิงซิน!
  ตูม!
  จางคุนหลุนปลดปล่อยพลังปราณสีแดงออกจากฝ่ามือเข้าปะทะกับกระบี่เซียนของเย่ชิงซินและเวลานี้แสงสีแดงและแสงสีเขียวต่างก็สุกสว่าง ก่อนจะเกิดเป็นเสียงดังตูมคล้ายระเบิดขึ้น!
  แม้จางคุนหลุนจะสามารถสะกัดกระบี่เซียนสีเขียวสุกสว่างนี้ไว้ได้แต่เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเขาก็ถอยร่นออกไปไกลถึงสามร้อยเมตร!
  “ฮึ่ม!”
  จางคุนหลุนไม่ทันได้ระมัดระวังตัวจึงได้เสียท่าให้กับเย่ชิงซินเล็กน้อย แต่นั่นก็ทำให้เขาโกรธมาก แต่ความแข็งแกร่งของกระบี่เซียนสีเขียวก็ทำให้เขารู้สึกตกใจไม่น้อย  ฟิ้ว..ฟิ้ว..
  กระบี่เซียนบินฉวัดเฉวียนกลับไปกลับมาและครั้งนี้แสงสีเขียวดูเหมือนจะเปล่งประกายยิ่งกว่าเดิม จนดูราวกับว่าท้องฟ้าได้กลายเป็นสีเขียว จากนั้นจึงพุ่งตรงเข้าใส่ร่างของจางคุนหลุนอีกครั้งอย่างรวดเร็ว..
  จางคุนหลุนถึงกับต้องถอยร่นหลบไปอีกราวสามร้อยเมตรและเวลานี้จางคุนหลุนก็ถูกเย่ชิงซินบีบให้ถอยร่นออกไปไกลถึงสองร้อยเมตรแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมองเย่ชิงซินพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “ท่านทำเช่นนี้หมายความเช่นใดกัน”
  เย่ชิงซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“คุนหลุนของเจ้าไม่ปฏิบัติตามกฏยุทธภพ ยังกล้าถามว่าเหตุใดฉู่ซานจึงต้องทำเช่นนี้อีกงั้นรึ”
  คุนหลุน!ฉู่ซาน!
  หลิงหยุนได้ยินถึงกับตกใจไม่น้อยเพราะคิดไม่ถึงว่าคนจากสถานที่ทั้งสองแห่งนี้จะมาปรากฏตัวในงานชุมนุมชาวยุทธคืนนี้ด้วย!
  แต่นับว่ายังโชคดี..เพราะถึงแม้คุนหลุนจะเป็นศัตรู แต่ฉู่ซานกลับแสดงท่าทีเป็นมิตร เพราะอย่างน้อยการที่เย่ชิงซินมาที่นี่เพื่อช่วยตน ก็ทำให้หลิงหยุนรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก!
  หลิงหยุนยิ้มออกมาทันทีพร้อมกับร้องตะโกนทักทายเย่เทียนสุ่ย“เพิ่งจะมาอะไรเวลานี้ ข้าจวนจะสะสางปัญหาเสร็จแล้ว!”
  เย่เทียนสุ่ยที่ยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศนั้นรีบยกมือขึ้นตบหน้าอกตัวเอง พร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าไม่รู้รึ.. พระเอกมักจะมาตอนจบทุกครั้ง!”
  หลิงหยุนจ้องมองเย่เทียนสุ่ยที่คุยโม้ข่มตนก็ได้แต่คิดในใจว่า ผ่านไปเพียงแค่สิบกว่าวัน แต่เย่เทียนสุ่ยกลับสามารถผอมลงได้มากมายถึงเพียงนี้ ย่อมหมายความว่าการกลั่นกระบี่ของเขานั้นก้าวหน้าไปอย่างมากแล้ว เวลานี้น่าจะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นอู๋เฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-5) เป็นแน่!
  หลิงหยุนคร้านที่จะสนใจเย่เทียนสุ่ยอีกเขาหันไปทางเย่เทียนตูทันทีพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้าคงจะเป็นเย่เทียนตูสินะ”
  ตั้งแต่มาถึงที่นี่เย่เทียนตูไม่แม้แต่จะเหลือบมองการต่อสู้ระหว่างเย่ชิงซินกับจางคุนหลุน สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลิงหยุนเพียงผู้เดียวเท่านั้น
  “ถูกต้อง!พวกเราเคยประมือกันมาก่อนแล้ว!”
  เย่เทียนตู่เหลือบมองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจนัก..
  “ครั้งก่อนเจ้าหนีไปได้ไว้พวกเราค่อยหาโอกาสประลองกันใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ข้าไม่ปล่อยให้เจ้าหนีไปได้แมน่!” หลิงหยุนตอบกลับอย่างไม่ถ่อมตัวเช่นกัน
  “ได้..ข้าไม่มีปัญหา! แต่เจ้าต้องรับปากข้าก่อนว่าจะเอาชีวิตรอดจากคืนนี้ไปได้!”
  เย่เทียนตูรับปากยิ้มๆพร้อมกับพูดจายั่วโมโหหลิงหยุน..
  “ถ้าขืนเจ้ายังพูดให้ข้ารำคาญใจอีกล่ะก็..ข้าจะจัดการกับเจ้าก่อน!” หลิงหยุนเองก็ตอบกลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อเช่นกัน
  “พวกเจ้าสองคนหุบปากก่อนจะได้หรือไม่”
  เย่ชิงซินเหลือบมองเด็กหนุ่มทั้งสองคนพร้อมกับร้องบอกด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ..
  เย่เทียนตูสงบปากสงบคำด้วยความกลัวทันที..
  “พี่เทพธิดา..ท่านคือเทพธิดาแห่งฉู่ซานหรืออย่างไร”
  หลิงหยุนไม่ได้หวาดกลัวเย่ชิงซินดังเช่นเย่เทียนตูและเขารู้ว่าเย่ชิงซินมาครั้งนี้เพื่อช่วยตนเอง..
  เมื่อเย่เทียนตูและเย่เทียนสุ่ยได้ยินหลิงหยุนกล้าเรียกน้าหญิงที่พวกเขาเคารพว่าพี่เทพธิดาทั้งคู่ก็รู้สึกโมโหไม่น้อย และแทบอยากจะลงมาจัดการกับหลิงหยุนพร้อมกัน
  เย่ชิงซินเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า“ใครใช้ให้เจ้าเรียกว่าพี่สาว!”   หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว“ใบหน้าของท่านดูราวกับเด็กสาวอายุยี่สิบปี เหตุใดข้าจึงจะเรียกท่านว่าพี่เทพธิดาไม่ได้เล่า”
  เย่ชิงซินตอบกลับเสียงเย็น“หากเจ้ายังกล่าววาจาไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่เช่นนี้ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเปลี่ยนใจไปช่วยจางคุนหลุนแทน”
  “ท่านน้า!”
  หลิงหยุนรีบเปลี่ยนคำเรียกเย่ชิงซินทันที!
  “ดีมาก!”เย่ชิงซินตอบพร้อมกับยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
  ระหว่างที่ทั้งสี่คนกำลังสนทนากันอยู่นั้นจางคุนหลุนก็ได้มายืนอยู่ห่างจากบริเวณที่ทั้งสี่คนอยู่ไปราวสิบกว่าเมตรเท่านั้น พร้อมกับร้องตะโกนถามออกไปด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก
  “ไม่ทราบแม่นางเป็นผู้ใดกัน”
  เย่ชิงซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เย่ชิงซินแห่งฉู่ซาน!”
  หลิงหยุนสังเกตว่าเย่ชิงซินเอ่ยชื่อเขาฉู่ซานแทนชื่อตระกูลเย่!
  จางคุนหลุนรีบตอบกลับไปทันที“เย่ชิงซิน ในเมื่อท่านเป็นคนของฉู่ซาน ย่อมต้องมีหน้าที่ปราบมารไม่ใช่รึ ตอนนี้พบเห็นมาอยู่ตรงหน้า ท่านไม่เพียงไม่จัดการกับมัน แต่ยังจะช่วยมันอีกงั้นรึ?”
  เย่ชิงซินตอบกลับเสียงเย็น“เรื่องปราบมารที่นี่หาใช่เรื่องของข้าไม่ แต่เรื่องที่คนของคุนหลุนฝ่าฝืนกฏการประลองของยุทธภพต่างหากเล่า ที่ข้าจะต้องจัดการ!”
  หลิงหยุนได้แต่นึกชื่นชมเย่ชิงซินอยู่ในใจและได้แต่คิดว่าคนของฉู่ซานไม่ได้คิดแต่เรื่องปราบมารเหมือนเช่นคนอื่นๆ
  “ฮึ่ม!”
  จางคุนหลุนฟังคำตอบของเย่ชิงซินแล้วก็ได้แต่คำรามออกมาอย่างไม่พอใจจากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับโต้แย้งเย่ชิงซินอย่างไม่นึกยอมแพ้
  “ท่านเองก็เห็นชัดเจนแล้วว่าหลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะพลังหาใช่ชาวยุทธธรรมดาทั่วไปไม่”
  เย่ชิงซินตอบกลับไปทันทีเช่นกัน“หลิงหยุนเป็นผู้บ่มเพาะพลังก็จริง แต่เขากำลังประมืออยู่กับนักบวชจากเขาหลงหู่ และข้าก็ไม่ได้คิดที่จะขัดขวางหรือยื่นมือเข้าไปยุ่งแต่อย่างใด แต่การที่คุนหลุนยื่นมือเข้ามาข้องเกี่ยวเช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องขัดขวาง!”
  “นี่เจ้า..เจ้าพูดเกิดไปแล้ว!” จางคุนร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
  “เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าต้องการจะประมือกับข้าให้ได้ใช่หรือไม่”
  เย่ชิงซินยกมือขึ้นชี้ไปทางหลงคุนซึ่งอยู่บนพื้นพร้อมกับร้องตะโกนตอบกลับไปว่า “หากเจ้าต้องการเช่นนั้นข้าก็ยินดี เจ้าสามารถเรียกหลี่คุนหลุนให้มาช่วยเจ้าอีกคนก็ย่อมได้!”   จางคุนหลุนเห็นเย่ชิงซินไร้เหตุผลเช่นนี้จึงได้แต่รู้สึกโมโหและหงุดหงิดใจเป็นอย่างมาก และได้แต่พูดออกไปว่า
  “เย่ชิงซิน..เจ้าก็รู้ว่าพวกเราไม่สามารถประมือกับเจ้าในที่นี้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ!”
  เย่ชิงซินเหลือบมองพร้อมกับตอบไปทันที“เจ้าก็รู้กฏดีนี่ แล้วเหตุใดยังจะลงมือกับหลิงหยุนอีกเล่า”
  จางคุนหลุนถึงกับหน้าแดงก่ำด้วยความโมโหเมื่อถูกเย่ชิงซินพูดจายอกย้อนเช่นนั้น“เย่ชิงซิน.. เจ้าคือคนของตระกูลเย่ไม่ใช่รึ หากใช่.. เจ้าย่อมรู้ดีว่าทุกคนในยุทธภพสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้ เว้นแต่ตระกูลหลิงตระกูลเดียวเท่านั้น! แต่เจ้าเห็นหรือไม่ว่าเวลานี้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นลิ่วเฉิงชี่ (ขั้นพลังชี่-6) แล้ว จะไม่ให้คุนหลุนยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวได้อย่างไร?”
  ‘ทุกคนในยุทธภพสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้เว้นแต่ตระกูลหลิงตระกูลเดียวเท่านั้น!’
  หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า..‘เพราะเหตุใดงั้นรึ’ แต่แล้วก็รีบร้องตะโกนถามจางคุนหลุนด้วยความสงสัยทันที
  “เจ้าหมายความเช่นใดที่ว่า..ทุกคนในยุทธภพสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้ เว้นแต่ตระกูลหลิงตระกูลเดียวเท่านั้น”