บทที่ 1331 ค่ายกลสัตว์เทพทั้งสี่

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

ข้อมูลนี้สำคัญกับหลิงหยุนมากเพราะเขารู้สึกว่าคำพูดนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับความลับยิ่งใหญ่ของตระกูลหลิง เขาจึงต้องสอบถามให้ชัดเจน
  “ไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่านั้น!”
  จางคุนหลุนเหลือบมองหลิงหยุนพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียเย็นชาบ่งบอกว่าไม่ต้องการอธิบายอะไรทั้งนั้น!
  ‘I¥%…’
  หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของจางคุนหลุนก็ถึงกับเดือดดาลอย่างมาก“เจ้าคนแซ่จาง.. นี่เจ้าคงคิดว่าตัวเองฝีมือล้ำเลิศมาสินะ เจ้าคงคิดว่าหากไม่มีคนมาช่วย ผู้ที่ตายคงต้องเป็นข้าสิะ?”
  เมื่อเย่เทียนตูกับเย่เทียนสุ่ยได้ยินคำพูดของหลิงหยุนทั้งสองคนถึงกับต้องหันไปมองหน้ากันทันที และต่างฝ่ายต่างก็คิดว่าหลิงหยุนช่างโอ้อวดกว่าที่พวกตนคิดไว้มากนัก!
  แต่จะว่าไปหลิงหยุนก็ไม่ได้อวดตัวเกินจริงเลยเพราะเมื่อครู่ที่จางคุนหลุนกำลังจะจู่โจมหลิงหยุนนั้น หากเย่ชิงซินไม่เข้ามาขวางไว้ก่อน จางคุนหลุนก็คงต้องลงไปนอนกองกับพื้นอีกคนเช่นกัน!
  เพราะวิชาหยางพิสุทธิ์ในระดับเจ็ดของขั้นที่หนึ่งนั้นมีพลังในการจู่โจมรุนแรงกว่าวิชาพลังมังกรนับสิบเท่า!
  และจางคุนหลุนก็ไม่เห็นไพ่ในมือใบนี้ของหลิงหยุน..
  “หึ!เจ้าเด็กไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ที่เจ้ากล้าพูดเช่นนี้เพราะรู้ดีว่าเวลานี้มีคนมาช่วยเจ้าแล้วน่ะสิ!” จางคุนหลุนจงใจพูดจายั่วยุหลิงหยุน
  แต่หลิงหยุนกลับนิ่งเงียบไม่ตอบโต้และกำลังเตรียมพร้อมที่จะจู่โจมฝ่ายตรงข้ามในทันที!
  แต่เย่ชิงซินกลับห้ามหลิงหยุนไว้“หลิงหยุน เจ้าไม่ต้องรีบร้อนประมือกับเขานัก เพราะไม่ว่าจะเป็นจางคุนหลุนหรือหลี่คุนหลุน ช้าเร็วเจ้าย่อมหลีกเลี่ยงการประมือกับพวกเขาทั้งคู่ไม่ได้แน่!”
  “คืนนี้ข้าจะเป็นคนหยุดจางคุนหลุนให้เองส่วนเรื่องอื่นๆ เจ้าไปสะสางเอาเอง ข้าจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว!”
  เย่ชิงซินบอกกับหลิงหยุนแล้วจึงได้หันไปพูดกับจางคุนหลุนว่า “สักวันเจ้าต้องได้ประมือกับหลิงหยุนแน่ เพราะเมื่อถึงเวลาเขาจะเดินทางไปคุนหลุนเอง เจ้าจึงไม่ควรยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพเช่นนี้ และหากเจ้ายังยืนยันจะลงมือกับหลิงหยุนอีก ข้าก็จำต้องขัดขวางเช่นกัน!”
  หลังจากจางคุนหลุนได้ฟังคำพูดของเย่ชิงซินจึงมั่นใจว่าคืนนี้ตนจะไม่สามารถสังหารหลิงหยุนได้แน่ จึงได้แต่ถามเย่ชิงซินกลับไปว่า
  “แล้วเรื่องราวระหว่างหลิงหยุนกับนักบวชฝ่ายชางจิงกงเล่า”   เย่ชิงซินปรายตามองนักบวชทั้งสี่คนที่อยู่ด้านล่างพร้อมตอบกลับไปอย่างไม่แยแส“นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเขาสองฝ่าย ควรปล่อยให้พวกเขาสะสางกันมิใช่รึ”
  จางคุนหลุนแววตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วจึงกระโดดออกจากสนามต่อสู้ไปอยู่รวมกลุ่มกับคนของสำนักกระบี่คุนหลุนทันที
  เย่ชิงซินแข็งแกร่งและน่าเกรงขามยิ่งนักเพียงแค่กระบี่เซียนและคำพูดไม่กี่คำของนาง ก็สามารถบีบให้จางคุนหลุนยอมถอยกลับไป ทำให้ศัตรูที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนลดลงไปถึงสองคน
  เพราะในเมื่อจางคุนหลุนไม่อาจยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวแน่นอนว่าหลี่คุนหลุนก็ไม่อาจยุ่งเกี่ยวด้วยเช่นกัน!
  เมื่อเห็นจางคุนหลุนล่าถอยกลับไปเช่นนั้นสีหน้าของนักบวชเลี่ยหลงก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล
  “แม่นางเย่..หลายปีที่ผ่านมานี้ ชางจิงกงของข้าเคยมีผู้ใดล่วงเกินตระกูลเย่ของท่านบ้างหรือไม่”
  เย่ชิงซินส่ายหน้าพร้อมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจนัก“ไม่มี!”
  เมื่อได้ยินเช่นนั้นนักบวชเลี่ยหลงจึงรีบพูดต่อทันที“ในเมื่อไม่เคย.. เหตุใดท่านจึงปรากฏตัวในงานชุมนุมปราบมารในคืนนี้ อีกทั้งยังต้องปกป้องมารน้อยตนนี้ด้วย”
  เย่ชิงซินไม่แม้แต่จะปรายตามองในขณะที่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา“นั่นเป็นเรื่องของข้า ข้าไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เจ้าฟัง!”
  นักบวชเลี่ยหลงถึงกับหน้าเสียแต่ก็ยังถามกลับไปว่า “แม่นางเย่ทำเช่นนี้ไม่เกรงว่าจะถูกฉู่ซานตำหนิเอางั้นรึ”
  แต่ครั้งนี้..เย่ชิงซินกลับนิ่งเงียบแทนคำตอบ!
  และท่าทีเช่นนี้เป็นการแสดงออกว่าเย่ชิงซินไม่ต้องการเสวนากับคนของสำนักเขาหลงหู่อีก!
  ในเมื่อเป็นเช่นนี้นักบวชเลี่ยหลงจึงไม่อาจทำอะไรได้ นอกจากพูดขึ้นอย่างเสียหน้าว่า “ในเมื่องานชุมนุมชาวยุทธในคืนนี้จัดขึ้นโดยสำนักเขาหลงหู่ของข้า วัดเส้าหลิน และสำนักกระบี่คุนหลุน แล้วเหตุใดอาจารย์ทั้งสองแห่งสำนักกระบี่คุนหลุนจึงจะไม่สามารถลงมือสังหารมารน้อยตนนี้ได้เล่า”
  เย่ชิงซินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เจ้าเองก็รู้มิใช่รึว่า.. สำนักกระบี่คุนหลุนกับคุนหลุนล้วนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่หากเป็นหลี่เจี้ยนกังผู้เดียว หรือต่อให้เขานำศิษย์สำนักกระบี่คุนหลุนทั้งหมดไปช่วยชางจิงกงของเจ้าสังหารหลิงหยุน ข้าเย่ชิงซินก็จะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย..”
  “แต่ต้องไม่ใช่จางคุนหลุนและหลี่คุนหลุน!”
  นักบวชเลี่ยหลงได้แต่นิ่งเงียบเพราะไม่อาจโต้แย้งเย่ชิงซินได้อีก และเวลานี้เขาก็รู้สึกโกรธแค้นเย่ชิงซินและตระกูลเย่อย่างมาก!
  เพราะหากเย่ชิงซินไม่ปรากฏตัวเสียก่อนเขามั่นใจว่าพวกตนนักบวชทั้งสี่คนกับจางคุนหลุนอีกหนึ่ง ย่อมสามารถสังหารหลิงหยุนและพวกได้ไม่ยาก!
  แต่เวลานี้จางคุนหลุนกลับถูกเย่ชิงซินบีบให้ต้องถอยกลับไปจึงเหลือเพียงแค่พวกเขานักบวชฝ่ายชางจิงกงสี่คนเท่านั้น ที่จะต้องจัดการกับหลิงหยุนตามลำพัง
  หากไม่มีจางคุนหลุนและหลี่คุนหลุนต่อให้หลี่เจี้ยนกังซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นพลังเหนือธรรมชาติระดับหกของสำนักกระบี่คุนหลุนเข้ามาช่วย จะมีประโยชน์อันใดเล่า เพราะหลี่เจี้ยนกังคงไม่พ้นถูกหลิงหยุนสังหารเพิ่มอีกคนเท่านั้นเอง!
  ในเมื่อเป็นเช่นนี้นักบวชเลี่ยหลงจึงไม่มีทางเลือกอื่้น นอกจากถามเย่ชิงซินย้ำเพื่อย้ำให้มั่นใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้.. ย่อมหมายความว่าระหว่างที่ชางจิงกงของข้าประมือกับหลิงหยุน แม่นางเย่จะไม่ยื่นมือเข้าช่วยหลิงหยุนแน่ใช่หรือไม่”
  เย่ชิงซินตอบกลับไปทันที“หากเป็นไปตามเงื่อนไขที่ข้าบอก ผู้ใดจะเป็นฝ่ายถูกสังหาร ข้าย่อมไม่ใส่ใจทั้งสิ้น!”
  จากนั้นเย่ชิงซินก็ปรายตามองไปทางหลานชายของนางทั้งสองคนพร้อมกับยืนยันว่า“และพวกเขาทั้งคู่ก็จะไม่ยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวเช่นกัน!”
  “ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”
  จากนั้นนักบวชเลี่ยหลงก็เดินกลับไปรวมกลุ่มกับนักบวชทั้งสามทันทีแล้วจึงหันไปท้าทายหลิงหยุน
  “หลิงหยุนเจ้าโจรชั่ว!ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็มาสะสางความแค้นกันอย่างยุติธรรมจะดีกว่า!”
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของนักบวชเลี่ยหลงก็ได้แต่หันไปยิ้มให้กับเย่ชิงซินก่อนจะกระโดดออกไปกลางลานประลอง พร้อมกับถามกลับไปว่า  “สะสางด้วยความยุติธรรมงั้นรึหึ.. คงหมดหนทางหาคนช่วยแล้วสิ แต่ก็เอาเถอะ เจ้าลองบอกมาก็แล้วกัน..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ปรายตามองไปทางนักบวชทั้งสี่พร้อมกับเย้ยหยันว่า“อย่าหาว่าข้าดูถูกพวกเจ้าเลยนะ พวกเจ้าสี่คนรวมกันยังสู้หลวงจีนจื้อหนงคนเดียวไม่ได้เลย!”
  จากนั้น..น้ำเสียงของหลิงหยุนก็เปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเมื่อพูดประโยคต่อมา “เจ้าอธิบายมาได้เลยว่าจะประลองเช่นใด..”
  นักบวชเลี่ยหลงรู้ว่าเวลานี้ตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบจึงได้พูดออกไปว่า “เวลานี้พวกเราเหลือเพียงแค่สี่คนเท่านั้น หากเจ้ารับปากว่าจะไม่ให้คนนอกเข้ามาช่วย เจ้าก็บอกมาได้เลยว่าต้องการที่จะประลองแบบไหน แต่ขอให้ยุติธรรมก็แล้วกัน..”
  หลิงหยุนตอบกลับทันที“ในเมื่อพวกเจ้าเหลือเพียงแค่สี่คน พวกเราก็มาสู้กันแบบสี่ต่อสี่ก็แล้วกัน ผู้ชนะรอด ส่วนผู้แพ้ตาย! ยุติธรรมดีหรือไม่”   “ดี!”
  ก่อนหน้านี้นักบวชเลี่ยหลงถึงกับแอบเหงื่อตกแต่เมื่อได้ยินข้อเสนอสี่ต่อสี่ของหลิงหยุน เขาก็ถึงกับโล่งอก และรีบตอบตกลงทันที!
  “พวกเจ้าทั้งสาม..เตรียมใช้ค่ายกลพยัคฆ์ปราบมังกร!”
  สิ้นเสียงสั่งการของนักบวชเลี่ยหลงนักบวชทั้งสามคนก็กระโดดเข้าสู่สนามประลองตามไป และเวลานี้ทั้งสี่คนก็ได้แยกย้ายกันไปยืนอยู่สี่ตำแหน่งทันที
  “ค่ายกลงั้นรึ!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้กับเย่ซิงเฉินและคนอื่นๆพร้อมกับถามขึ้นว่า “ข้าควรจัดการกับสุกรทั้งสี่นี้เช่นไรดี”
  เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆ“ข้าว่าใช้ค่ายกลสังหารจัดการกับพวกมันดีกว่า!”
  “เป็นความคิดที่ดี..ได้ ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก!”   นักบวชทั้งสี่ได้ยินหลิงหยุนสนทนากับเย่ซิงเฉินก็ได้แต่นึกเดือดดาลพวกเขาต่างก็กลืนโอสถหลงหู่เข้าไปอีกครั้ง และหยิบยันต์ขึ้นมาใช้
  แต่ครั้งนี้นักบวชทั้งสี่ไม่ได้ตรงเข้าจู่โจมหลิงหยุนพวกเขาตรงเข้าล้อมร่างของไป๋เซียนเอ๋อไว้พร้อมกัน ในขณะที่กระบี่เหินสี่เล่มก็พุ่งเข้าใส่ไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกันอย่างรวดเร็ว หมายสังหารนางให้ตายในทันที!
  หลังจากที่นักบวชเลี่ยหลงนักบวชเลี่ยหู่ นักบวชเลี่ยเหลย และนักบวชเลี่ยหยาง กลืนโอสถเขาหลงหู่เข้าไป แสงสว่างรอบตัวพวกเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น บ่งบอกถึงพลังป้องกันแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ทำให้ไม่รู้สึกหวาดกลัวกระบี่เหินเงาธนูและตราหยกจักรพรรดิของหลิงหยุน เวลานี้นักบวชทั้งสี่ต้องการสังหารยอดฝีมือฝ่ายหลิงหยุนให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อลดจำนวนคู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามลงไป
  “พวกเจ้ารนหาที่ตายเอง!”   หลิงหยุนเข้าใจแผนการของอีกฝ่ายดีและหากทั้งสามคนทำสำเร็จ ก็จะกลับกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมาทันที!
  เคร้ง..เคร้ง.. เครั้ง..
  หลิงหยุนใช้พลังจิตบังคับกระบี่เหินเงาธนูกระบี่กังฉี และตราหยกจักรพรรดิ ให้พุ่งเข้าต้านทานกับกระบี่เหินทั้งสามของอีกฝ่ายในทันที!
  แม้วัตถุวิเศษของหลิงหยุนที่ควบคุมด้วยพลังจิตจะสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วแล้วแต่หลิงหยุนกลับเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าวัตถุวิเศษเหล่านั้นมาก และเพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของหลิงหยุนก็ไปปรากฏตรงหน้าไป๋เซียนเอ๋อ พร้อมกับยกมือขึ้นป้องกันกระบี่เหินเล่มที่สี่ของฝ่ายนักบวชไว้ได้อย่างรวดเร็ว
  ร่างของไป๋เซียนเอ๋อหายวับไปในทันทีและไปปรากฏตัวอีกครั้งข้างเย่ซิงเฉินกับหวังชงเซียว จากนั้นทั้งสามคนก็ตรงเข้าจัดการกับนักบวชเลี่ยหยางที่มีฝีมืออ่อนด้อยที่สุดในบรรดานักบวชทั้งสี่คน!   และนี่คือค่ายกลสัตว์เทพทั้งสี่ซึ่งประกอบไปด้วยมังกรฟ้า หงส์แดง เสือขาว และเต่าดำ!
  หลิงหยุนซึ่งแข็งแกร่งที่สุดจึงเปรียบเสมือนมังกรฟ้าไป๋เซียนเอ๋อก็คือหงส์แดง ในขณะที่เย่ซิงเฉินก็คือเสือขาว และหวังชงเซียวก็คือเต่าดำ!
  ค่ายกลลักษณะนี้หากใช้ในการต่อสู้ที่ทั้งสองฝ่ายมียอดฝีมือเท่ากัน จะทำให้เป็นฝ่ายได้เปรียบ เพราะหากหนึ่งในนั้นสามารถต้านทานสามในสี่ของอีกฝ่ายได้ ที่เหลืออีกสามของฝ่ายตนก็จะสามารถจู่โจมอีกหนึ่งคนที่เหลือของฝ่ายตรงข้ามได้ในทันที!
  “เลี่ยหยาง..ระวัง!”
  เลี่ยหยางถลาหลบการจู่โจมของไป๋เซียนเอ๋อและเย่ซิงเฉินจากนั้นจึงหันไปชกหมัดเข้าใส่หวังชงเซียว และสามารถหลบหนีออกมาจากวงล้อมได้
  ทันทีที่นักบวชเลี่ยหยางหลบออกมาจากวงล้อมได้ก็รีบกระโดดเข้าไปรวมตัวกับนักบวชทั้งสามต่อ แล้วจึงตั้งค่ายกลเข้าไล่ล่าสังหารไป๋เซียนเอ๋ออีกครั้ง
  หลิงหยุนเองก็กระโดดเข้าไปช่วยสกัดคู่ต่อสู้ไว้ให้กับไป๋เซียนเอ๋ออีกครั้งในขณะที่ไป๋เซียนเอ๋อก็ได้กระโดดเข้าไปรวมกลุ่มกับเย่ซิงเฉินและหวังชงเซียวเช่นเคย แล้วทั้งสามก็ช่วยกันล้อมนักบวชเลี่ยหยางไว้ได้อีกครั้ง..
  เวลานี้ต่างฝ่ายต่างผลัดกันจู่โจมและตั้งรับทุกคนในที่นั้นต่างก็เฝ้าดูว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายเพรี่ยงพร้ำ..
  แต่ดูเหมือนหลิงหยุนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างมากเพราะเฉพาะตัวเขาผู้เดียวก็มีวัตถุวิเศษถึงสามอย่าง ในขณะที่เย่ซิงเฉินมีกระบี่คู่มารสะบั้นเทวะ และหวังชงเซียวก็มีกระบี่เหินเช่นกัน ส่วนทางด้านนักบวชทั้งสี่คนนั้น มีเพียงแค่กระบี่เหินสี่เล่มเท่านั้น
  และเวลานี้..กระบี่เหินของหวังชงเซียวก็กำลังปะทะกับกระบี่เหินของนักบวชเลียหู่ ส่วนอีกสามเล่มก็ปะทะกับวัตถุวิเศษทั้งสามของหลิงหยุน ดังนั้นกระบี่เหินทั้งสี่เล่มของนักบวชจากเขาหลงหู่จึงถูกฝ่ายหลิงหยุนสะกัดกั้นไว้ได้หมด
  ส่วนกระบี่คู่มารสะบั้นเทวะของเย่ซิงเฉินนั้นก็พุ่งเป้าไปที่ร่างของนักบวชเลี่ยหยางเพียงผู้เดียวเท่านั้น!
  ….
  เย่เทียนสุ่ยที่เฝ้ามองการต่อสู้อันดุเดือดด้านล่างอยู่นั้นถึงกับถอนหายใจพร้อมกับพูดออกไปว่า “เฮ้อ.. หลิงหยุนช่างไม่ธรรมดาจริงๆ! ข้ายอมรับว่าไม่สามารถเอาชนะเขาได้แน่!”
  เย่เทียนตูเองก็พยักหน้าเช่นกัน“นั่นสิ! นี่นับเป็นความเฉลียวฉลาดของน้าหญิงโดยแท้ หากคืนนี้ตระกูลเย่ไม่ออกหน้าช่วยหลิงหยุนไว้ เชื่อว่าวันข้างหน้าต่อให้ตระกูลเย่ของเราเสนอตัวเข้าไปช่วย คนเช่นหลิงหยุนย่อมต้องไม่ยอมรับแน่!”
  “หึ!มีแต่พ่อของเจ้าเท่านั้นล่ะที่ยังดื้อรั้น..”   เย่ชิงซินเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นและนางก็กำลังหมายถึงผู้นำตระกูลเย่ – เย่ชิงเฟิงซึ่งเป็นบิดาของเย่เทียนตู
  เย่เทียตูฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มออกมาและก็ไม่กล้าโต้เถียง..