เหนือร่างของเยี่ยนจ้าวเกอมีหอสักการะค่ายกลอาคมหอหนึ่งปรากฏขึ้นมา บนยอดมีภาพของความโกลาหลสุดขีด
ร่างของนักพรตที่เหมือนมีเหมือนไม่มี ราวกับความโกลาหล ก็คือรูปญาณวรยุทธ์ที่เยี่่ยนจ้าวเกอใช้รากฐานของตัวเองสร้างขึ้น
เป็นสิ่งที่มาจากการทำความเข้าใจคัมภีร์นภาไร้ขอบเขตของตัวเอง
ความคิดของเยี่ยนจ้าวเกอสั่นไหวเล็กน้อย รูปญาณวรยุทธ์เหนือหอสักการะค่ายกลอาคมเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน กลายเป็นยักษ์ตนหนึ่ง ในมือเหมือนกับถือตราประทับอันใหญ่
ตราประทับถูกชูขึ้น คล้ายกับท้องฟ้า ตราประทำลดต่ำ คล้ายพลิกฟ้าพลิกดิน นภาพังทลาย
เยี่ยนจ้าวเกอมีสายตาเคร่งขรึม คลื่นแสงซัดสาด รูปญาณวรยุทธ์เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง
รูปญาณวรยุทธ์ที่โผล่มาในรอบนี้ กลับเป็นรูปนภากว่างเฉิงที่ได้มาจากวรยุทธ์สายเขากว่างเฉิง รวมกับลมปราณเอกพิสุทธิ์ และฝ่ามือนภากว่างเฉิง
ทว่ารูปนภากว่างเฉิงของเยี่ยนจ้าวเกอ แตกต่างกับพวกจางคุนและเหอหนิง
ร่างยักษ์สูงใหญ่ปล่อยประกายกระบี่นับพันนับหมื่นออกมารอบๆ ตัว แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้าสี่ทิศแปดทาง เท้าเหยียบอยู่บนมังกรเขียวขนาดมหึมาตัวหนึ่ง มังกรเขียวพายักษ์ตนนั้นล่องลอย
เยี่ยนจ้าวเกอผุดกายขึ้น เก็บรูปญาณวรยุทธ์ของตัวเอง ปราณพิสุทธิ์ที่ครอบคลุมอยู่รอบตัวหายไป
เงยหน้าไปมอง เห็นตอนกลางวัน ตรงหน้าคือฟ้าสีครามผืนหนึ่ง
ชายหนุ่มยิ้มเล็กน้อย เขากลับมายังที่พักของตัวเอง นั่งลงปรับลมหายใจอย่างเงียบงัน
สองวันต่อมา นอกจากการฝึกของตัวเอง และการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของปราณวิญญาณในโลกซ้อนโลกแล้ว ก็เป็นการสนทนากับจางเชียนซงแห่งสำนักความมืด เวลานี้เขาเข้าใจสถานการณ์ของทะเลหวงเจียมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว
กระนั้นเยี่ยนจ้าวเกอก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ
ถึงแม้ว่าตระกูลเว่ยจะนอบน้อมมีมารยาท ต้อนรับขับสู้อย่างดี ตนอยากได้อะไร ขอแค่สั่งก็มีคนเตรียมให้
ทว่าหลังจากวันแรก ตนก็ไม่เห็นเงาเว่ยหลางอีกเลย
“คุณชาย ดูเหมือนจะผิดปกติจริงๆ” อาหู่เดินเข้ามาในห้อง สีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
เยี่ยนจ้าวเกอถาม “เกิดอะไรขึ้น?”
“สำหรับเว่ยหลาง ตระกูลเว่ยบอกว่า เขาเคลื่อนไหวโดยพลการ ทำผิดกฎตระกูล จึงถูกคุมขังให้สำนึกผิด” อาหู่เล่า “นี่ไม่นับเป็นไร แต่ข้ารู้สึกได้ว่าคนของตระกูลเว่ยเหมือนมีเจตนาจับตาดูพวกเรา ถึงแม้พวกเขาจะปิดบังได้ดีมากก็ตาม”
ครั้นได้ยินดังนั้น เยี่ยนจ้าวเกอก็ครุ่นคิดตาม
เว่ยหลางเคลื่อนไหวโดยพลการ ต่อต้านราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องพร้อมกับจางเชียนซง โดยที่ตระกูลเว่ยไม่ได้ยินยอม ข้อนี้เยี่ยนจ้าวเกอดูออก
ในสถานการณ์เช่นนี้ ที่เว่ยหลางได้รับโทษหลังจากกลับตระกูล เป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมาย
สิ่งที่แตกต่าง คือตระกูลเว่ยจะปฏิบัติต่อพวกเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักความมืดอย่างไร
ตระกูลเว่ยไม่มีเจตนาปิดบังความจริง โกหกว่าเว่ยหลางเข้าฌานฝึกปรือ หรือออกไปจัดการธุระ เพียงบอกพวกเยี่ยนจ้าวเกอย่างตรงไปตรงมาว่าถูกตัดสินโทษคุมขัง
มองแค่เรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีจุดไหนผิดปกติ แต่เมื่อรวมกับร่องรอยปลีกย่อยที่เผยออกมา กลับทำให้ผู้คนอดเกิดความสงสัยไม่ได้
เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวกับอาหู่ว่า “ลองไปพูดกับคนรับใช้ตระกูลเว่ยดู ว่าอีกสองวันพวกเราเตรียมจะออกจากเมืองเหลาเฟิงแล้ว”
อาหู่เข้าใจ ก่อนจะผละจากไป
ผ่านไปพักหนึ่ง อาหู่กลับมา สีหน้าถมึงทึงเหมือนหม้อก้นดำ “คุณชาย มีปัญหาจริงๆ พอข้าบอกว่าพวกเราจะไป สีหน้าของคนของตระกูลเว่ยไม่มีปฏิกิริยาอะไร แต่ในที่ลับกลับปั่นป่วนขึ้นมา ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาไม่มีเจตนาร้าย”
ถ้าหากไม่ต้อนรับพวกเยี่ยนจ้าวเกอกับสำนักความมืด พอได้ยินว่าพวกเขาจะไปเอง สมควรยินดีถึงจะถูก
ปฏิกิริยาที่ปั่นป่วนในตอนนี้ จะต้องมีแผนการอย่างอื่นแน่นอน
หากบอกว่าตระกูลเว่ยสวามิภักดิ์ต่อกองทัพต่อต้านต้าราชวงศ์เสวียนอ๋อง เช่นนั้นก็จะอธิบายได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้เห็นได้ชัดว่าพวกเขาประสงค์ร้ายต่อพวกเยี่ยนจ้าวเกอ
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ ลุกขึ้นยืน “ไป ไปหาจางเชียนซง”
พวกเขาออกจากลานบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่จางเชียนซงพัก ระหว่างทางเห็นจอมยุทธ์ตระกูลเว่ยส่วนหนึ่งเข้ามาถามตนอย่างกล้าๆ กลัวๆ เยี่ยนจ้าวเกอทำเหมือนมองไม่เห็น หลังจากไปถึงที่พักของเฟิงอวิ๋นเซิง และรับนางมาด้วยแล้ว เขาก็ไปยังบ้านที่จางเชียนซงพักอยู่
ระหว่างทางมีจอมยุทธ์ตระกูลเว่ยคิดเข้ามาสนทนาด้วย ยังไม่รอเข้าใกล้ ตรงหน้าเหมือนมีกำแพงไร้รูปร่างโผล่ขึ้น ทำให้พวกเขาเดินต่อไม่ได้ ได้แต่มองเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้าไปในที่พักของจางเชียนซงตาปริบๆ
จางเชียนซงเห็นพวกเยี่ยนจ้าวเกอเดินเข้ามา ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันเอ่ยปาก ชายหนุ่มก็พูดด้วยรอยยิ้มก่อน “ประมุขของที่นี่ดูเหมือนจะไม่ได้ต้อนรับเราจริงๆ”
“หืม?” ถึงร่างกายจะอ่อนแอ แต่จางเชียนซงมีสติชัดเจน เมื่อได้ยินคำพูดเยี่ยนจ้าวเกอ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เว่ยหลางจะรบเคียงไหล่เขา แต่เขาทราบว่าตระกูลเว่ยมีท่าทีต่อต้านราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องคลุมเครือยิ่ง
จางเชียนซงหลังจากคิดครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นว่า “ตระกูลเว่ยเป็นตระกูลใหญ่บนเกาะหลวนเซียง ถึงจะไม่มีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง แต่ได้ยินมาว่ามีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ผสมญาณกลายเป็นรูป เลื่อนเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นบรรลุธรรมแล้ว หลังจากยึดครองความได้เปรียบด้านชัยภูมิของเมืองเหลาเฟิง อย่างน้อยก็ไม่ใช่คนที่จะดูถูกได้บนเกาะหลวนเซียง
“กระนั้น สำนักเราก็มีผู้อาวุโสระดับศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวอยู่ที่เกาะหลวนเซียงเช่นกัน หากพวกเรารวมตัวกันได้ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลแล้ว”
เกาะหลวงเซียงไม่ใช่ถิ่นของสำนักความมืด ผู้อาวุโสสำนักความมืดที่อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่นี่ ก็มีคู่ต่อสู้เช่นกัน ไม่อาจขอให้เขามายังเมืองเหลาเฟิงเพื่อเขาคนเดียวได้
ก่อนหน้านี้จางเชียนซงได้ติดต่อกับคนในสำนักแล้ว มีคนกำลังมารับเขาที่เมืองเหลาเฟิง จากนั้นก็จะรวมตัวกับผู้อาวุโสระดับศักดิ์สิทธิ์คนนั้น
ทว่าตอนนี้ถ้าหากตระกูลเว่ยมีเจตนาร้ายต่อตนเอง เช่นนั้นพลังของจอมยุทธ์สำนักความมืดที่มารับเขาก็กลายเป็นเบาบางเสียแล้ว
ครั้นคิดถึงตรงนี้ จางเชียนซงก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดัน ไม่สนใจอาการบาดเจ็บ ขบคิดหาวิธีออกจากเมืองเหลาเฟิงค่อยว่ากล่าว
เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะพลางโบกมือให้เขา “ไม่ต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนั้น ข้ามาหาท่านที่นี่ไม่ใช่เพื่อเร่งให้ท่านออกจากเมือง เพียงแต่เพื่อดูแลท่าน ไม่ให้อีกฝ่ายมาเข่นฆ่า”
จางเชียนซงมองท่าทางผ่อนคลายของเยี่ยนจ้าวเกอ อดงงงันไม่ได้
เขาว่า “ดูจากท่านถึงแม้อายุยังน้อย แต่พลังฝึกปรือกลับเหนือกว่าข้ามาก เป็นอัจฉริยะที่ยังไร้ชื่อเสียง แต่สำนักเรากับโจรเสวียนเป็นดั่งน้ำกับไฟกันมานาน ส่วนเกาะหลวนเซียงก็ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของสำนักเรา”
“ตระกูลเว่ยยังพอว่า สิ่งสำคัญก็คือถ้าหากพวกเขาเข้ากับโจรเสวียน คิดร้ายต่อเราจริงๆ คาดว่าคงจะเปิดเผยร่องรอยของพวกเราให้โจรเสวียนแล้ว”
“หยางจ้าวเจิน ‘เผิงอัคคี’ แม่ทัพของโจรเสวียนที่คอยควบคุมเกาะหลวนเซียง คือยอดฝีมือที่เลื่อนจากขั้นบรรลุธรรมเป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาทั่วไป แต่เป็นหลานชายของไห่เฉิงโหวแห่งราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง วรยุทธ์ที่ฝึกปรือคือวิชาของราชวงศ์ มีพลังไม่ธรรมดา”
จางเชียนซงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หยางจ้าวเจิ้นตอนนี้ร่วมมือกับผู้อาวุโสของสำนัก ใช่ว่าจะแบ่งสมาธิมาทางเมืองเหลาเฟิง แต่ก็จำเป็นต้องป้องกันไว้”
เยี่ยนจ้าวเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ผ่อนคลายๆ”
อีกฝ่ายพลันหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ไม่รอให้กล่าวเตือนอีก นอกห้องก็มีเสียงอาหู่ดังมา “คุณชาย คนของตระกูลเว่ยมาแล้ว”
ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างสบายอารมณ์ เห็นตรงลานบ้านด้านนอก มีคนกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่นั่น
ผู้นำคือชายชราผมขาวคนหนึ่ง ด้านข้างเขายืนไว้ด้วยผู้อาวุโสตระกูลเว่ยที่มีอายุใกล้เคียงกันกับเขากลุ่มหนึ่ง
เว่ยอวิ๋นเซิ่งยืนอยู่ด้านข้าง กลับไม่เห็นเว่ยอวิ๋นชาง
“คุณชายเยี่ยนไฉนจึงรีบร้อนจากไป เป็นตระกูลเว่ยของเราดูแลไม่ทั่วถึงที่ใด?” เว่ยอวิ๋นเซิงกระแอมคำหนึ่ง