ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 622 เลื่อนเป็นขั้นบรรลุธรรม ได้เห็นจุดกำเนิด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เสียงของเว่ยอวิ๋นเซิ่งทำให้เว่ยหลางสยิวกาย “พวกคนแซ่เยี่ยนบางทีอาจไม่ใช่คนของสำนักความมืด แต่พวกเขาเป็นพวกเดียวกันที่ตามหาสำนักความมืด อาจจะเป็นโจรกบฏ แม่ทัพหยางย่อมยินดีจับพวกเขา”

เว่ยหลางริมฝีปากสั่น “ท่านอาสอง ก่อนหน้านี้พวกเขาช่วยชีวิตข้า และเป็นเพราะเชื่อพวกเรา จึงมายังเมืองเหลาเฟิง…”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งแค่นเสียงกล่าว “ตอนนี้ข้าก็กำลังช่วยชีวิตเจ้าอยู่เช่นกัน ช่วยชีวิตของพวกเราทุกคน”

“ในเมื่อเด็กน้อยแซ่เยี่ยนอยากช่วยคนขนาดนั้น คงยินดีจะช่วยพวกเราอีกสักครั้ง ด้วยชีวิตของพวกเขาไม่กี่คน สามารถช่วยคนในตระกูลเว่ยนับร้อยนับพันของเราได้ คุณธรรมใหญ่หลวง สมควรยินดี”

เว่ยหลางอ้าปาก หันไปมองบิดาของตนอย่างหวาดผวา

เว่ยอวิ๋นชางขมวดคิ้ว ตอนที่คิดจะกล่าววาจา ท่านปู่ตระกูลเว่ยที่อยู่ด้านข้างก็พูดอย่างเย็นชา “ที่เกิดเรื่องในวันนี้ ต่างเป็นผลลัพธ์จากการกระทำตามอำเภอใจของพวกเจ้าสองพ่อลูก”

ขณะที่พูด เงาคนหลายเงาปรากฏขึ้น เว่ยอวิ๋นชางมองแวบหนึ่ง จิตใจเคร่งขรึม คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้อาวุโส ปกติไม่ยุ่งเกี่ยว เพียงตั้งใจฝึกปรือพลังของตนเอง

สัตว์ประหลาดเหล่านี้มีพลังฝึกปรือไม่ต่ำกว่าตน อาหกตรงหน้าก็คือยอดฝีมืออันดับหนึ่งในตระกูล

ตนถึงจะเป็นประมุขตระกูล แต่การคัดค้านของผู้อาวุโสจำนวนมาก ก็ทำให้เว่ยอวิ๋นชางรู้สึกกดดันอย่างรุนแรง

ผู้อาวุโสตระกูลเว่ยกล่าวเสียงทุ้ม “อวิ๋นชางเจ้าตอนนี้ยังไม่เข้าใจอีกหรือ? อวิ๋นเซิ่งได้ติดต่อกับแม่ทัพหยางแล้ว ไฉนข้ายังต้องถูกกดดันให้ออกฌานอีก ก็เพราะต้องการจับโจรกบฏเหล่านี้ด้วยตัวเอง!”

“ระหว่างพวกเราส่งคนออกไปเอง กับปล่อยให้อีกฝ่ายมาจับคน ย่อมมีผลลัพธ์คนละแบบโดยสิ้นเชิง”

ท่านปู่มองเว่ยอวิ๋นชาง ผ่อนคลายน้ำเสียงลง “วัวหายล้อมคอก ใช่ว่าจะสายไป”

เว่ยอวิ๋นชางเอ่ยเสียงทุ้ม “ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องประพฤติตนชั่วร้าย วันนี้ทั่วทั้งทะเลหวงเจียต่างต่อต้าน ข้าอนุญาตให้หลางเอ๋อร์ร่วมทางกับสำนักความมืด ย่อมเลือกฝั่งเรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้อาหกกับน้องสองเหตุใดยังยืนข้างราชวงศ์ต้าเสวียอ๋องอีก? อีกทั้งยังขายคนของสำนักความมืดด้วย”

“วันใดที่ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องถูกโค่นจริงๆ พวกเราต้องถูกสำนักความมืดคิดบัญชี อีกทั้งยังต้องเจอความเจ็บปวดทรมานจากคนในสำนักความมืดยิ่งกว่าขุมกำลังอื่นที่ใกล้ชิดราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋อง”

เว่ยอวิ๋นชางกล่าวอย่างเจ็บปวดใจ “ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เดินทางเดียวกับสำนักความมืด ไฉนต้องฉีกหน้ากันถึงเพียงนี้? แค่ไล่พวกเขาออกไปก็พอ”

ชายชราแค่นเสียงคำหนึ่ง “ประมุขอย่างเจ้าเลอะเลือนไปแล้วจริงๆ ที่ตระกูลมอบให้เจ้าเป็นคนคุมหางเสือ เห็นทีจะผิดพลาดไป”

“เจ้าก็เหมือนกับคนทั่วไป เพียงเห็นว่าราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องในตอนนี้ติดอยู่ในก้นเหว ไท่จู่เสวียนเหวินอ๋องผู้สร้างประเทศสวรรคต เสวียนมู่อ๋องในสมัยปัจจุบันไม่อาจสยบใต้หล้า กลับไม่คิดดูว่า ไท่จงเสวียนเฉิงอ๋องอยู่ที่ใด?”

เว่ยอวิ๋นชางงงงัน “เสวียนเฉิงอ๋องไม่ได้เสียชีวิตกว่าเสวียเหวินอ๋องหรือ?”

“การตายของเสวียนเหวินอ๋องเป็นเรื่องที่ยืนยันได้แล้ว แต่ไม่ทราบว่าเสวียนเฉิงอ๋องไปอยู่ที่ใด ต้าเสวียนอ๋องยิ่งใหญ่ล้ำลึก ความเป็นความตายขอพระองค์เป็นการคาดเดาของคนทั่วไป มีใครกล้าตบอกประกาศว่า เสวียนเฉิงอ๋องสวรรคตแน่นอนแล้ว?” ท่านอาหกกล่าว

เว่ยอวิ๋นชางขมวดคิ้ว “เสวียนเฉิงอ๋องมีพลังฝึกปรือสู้เสวียนเหวินอ๋องไม่ได้ ต่อให้เขายังอยู่ ก็ไม่แน่ว่าจะปกครองทะเลหวงเจียได้”

ชายชรากงโบกมือ “เสวียนเฉิงอ๋อง เสวียนมู่อ๋องสองพ่อลูกยังอยู่ ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องแม้จะชนะไม่ได้ แต่ก็แพ้ยากยิ่ง เพียงแค่พวกเขาไม่แพ้ สถานที่อื่นยังไม่ต้องพูดถึง เกาะหลวนเซียงยังเป็นแผ่นดินของต้าเสวียน ตระกูลเว่ยของเรายังเกิดขึ้นบนดินแดนของต้าเสวียน จะล่วงเกินพวกเขาได้อย่างไร?”

น้ำเสียงของเขาดุดันยิ่ง “อวิ๋นชาง เจ้าได้ทำข้อผิดพลาดใหญ่ ตอนนี้ตระกูลต้องรับความเสี่ยงด้วยกันกับพวกเจ้าสองพ่อลูก”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งยามนี้เสริมด้านข้าง “ท่านอาหกได้โปรดระงับความโกรธ อย่ารีบร้อนลงมือ”

ชายชราตระกูลเว่ยเลิกคิ้วขาว “เจ้ากลัวว่าข้าจะจัดการเด็กน้อยไม่กี่คนไม่ได้หรือ? จอมยุทธ์มหาปรมาจารย์อายุน้อยเช่นนี้หายากจริงๆ แต่ต่อให้สูงส่ง แล้วจะสูงส่งได้สักเท่าใด? มหาปรมาจารย์รูปญาณหรือ?”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งเอ่ย “ข้อแรก ระวังไปก็ไม่เสียหาย พวกเราถึงอย่างไรก็ไม่ทราบถึงเบื้องหลังของอีกฝ่าย และไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมียอดฝีมือซุ่มอยู่นอกเมืองเหล่าเฟิงของพวกเราหรือไม่

“ข้อสอง ความหมายในคำพูดของพวกเขา คือต้องการติดต่อให้จอมยุทธ์สำนักความมืดคนอื่นมา ในสถานการณ์เช่นนี้ แม่ทัพแห่งหลวนเซียงคิดจับคนก่อนยังต้องค่อยๆ วางแผน พวกเราไม่รู้ถึงความคิดของเขา ทางที่ดีอย่าทำโดยพลการ

“สถานการณ์ข้าได้รายงานให้กับแม่ทัพแห่งหลวนเซียงตามจริงหมดแล้ว ยังรอคนของต้าเสวียนมาถึงค่อยตัดสินใจเถอะ พวกเราคุมคนไว้ที่นี่ก็พอ”

ท่านอาหกได้ยินก็ครุ่นคิดเล็กน้อย พยักหน้ากล่าวว่า “ตั้งใจจับตาดู…”

เขาหันไปมองเว่ยหลางที่หน้าซีดขาว “ถูกขังสำนึกผิดไปเถอะ”

เว่ยอวิ๋นเซิงจมลงสู่ความเงียบงัน ใบหน้าตึงเครียด

เยี่ยนจ้าวเกอแสดงความพอใจต่อสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักแสงสว่างที่จางเชียนซงอธิบายอีกครั้ง

ข้อมูลของผู้อาวุโสม่อเป็นเรื่องเมื่อร้อยกว่าปีแล้ว ได้แต่ทำความเข้าใจคร่าวๆ ทางจางเชียนซงกลับเป็นข้อมูลตามเวลาจริงมือแรก ใช้ประโยชน์ได้มากกว่า

จางเชียนซงถึงอย่างไรก็ได้รับบาดเจ็บ ทั้งติดต่อกับผู้อาวุโสในสำนักความมืด ทั้งสนทนากับเยี่ยนจ้าวเกอ ไม่ทันไรก็รู้สึกหมดแรง

หลังจากเขาพักผ่อนอีกครั้ง เยี่ยนจ้าวเกอก็ออกจากห้องของเขา ยืนอยู่บนลานบ้าน เงยหน้ามองก้อนเมฆสดใส ครุ่นคิดขึ้นมา

ข้อมูลที่จางเชียนซงพูดถึงเมื่อครู่ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของเยี่ยนจ้าวเกอทีละอย่างๆ

‘หลัวจื้อเทา เจ้าสำนักแสงสว่าง เมื่อหนึ่งร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้เป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงระยะท้าย ถึงแม้ว่าจะยังไม่เลื่อนเป็นขั้นเจ็ด เหยียบสู่ขั้นสะพานเซียน แต่เกรงว่าจะเหลือเพียงการก้าวเข้าประตูเท่านั้น หากบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นเทวะสำแดงที่แข็งแกร่งที่สุดในทะเลหวงเจีย สมควรไม่เกินเลย’

‘มีอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงกงจักรสุริยันจันทราคุ้มครองสำนัก แต่ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ กงจักรจันทราได้รับความเสียหาย ไม่มีอานุภาพเหมือนในอดีต เป็นเหตุให้ความน่าเกรงขามของกงจักรทั้งสองลดต่ำลง แต่ยังคงเป็นของวิเศษทะลุฟ้าทะลุดินอยู่ดี’

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิด ‘ลาผอมตายยังใหญ่กว่าม้า สุภาษิตโบราณว่าไว้ไม่ผิด สำนักความมืดถูกทำลายมาหลายปี แต่ยังคงมีรากฐานเหลือไว้’

ขณะครุ่นคิด ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองธารดาวเหนือศีรษะ กลืนกินปราณวิญญาณในโลกซ้อนโลก พลันรู้สึกจิตใจเปิดโล่ง

ในวินาทีนี้ เขาเหมือนรู้สึกว่าฟ้าดินเบื้องหน้ากลับไปสู่ยุคก่อนมหาภัยพิบัติ

ในห้วงสติลวงตา กระแสเวลาราวกับปรากฏภาพคลื่นโหมกระหน่ำ

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกว่าตนคล้ายกับยืนอยู่ในปัจจุบัน มองเวลาอันยาวนานเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน

ความเข้าใจทั้งหมด ความรู้สึกทั้งหมด กระทบและชำระจิตใจของเขาพร้อมกัน

ปราณพิสุทธิ์หลายสายกระจายออกมา ครอบคลุมลานบ้านแห่งนี้ไว้ โลกภายนอกดูไม่ออกว่าคืออะไร

ภายใต้ปราณพิสุทธิ์แฝงไว้ด้วยปราณโกลาหลกลุ่มหนึ่ง ไม่มีคำว่าจุดเริ่มต้น ไม่มีคำว่าจุดจบ

จุดลมปราณทั่วร่างของเยี่ยนจ้าวเกอเปิดออก ลวดลายอาคมหลายสายลอยออกมาจากข้างใน จับตัวกันกลายเป็นค่ายกล ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ เกิดเป็นแท่นสักการะค่ายกลอาคมที่เหมือนกับเจดีย์และแท่นบูชา

บนแท่นสักการะ แสงสว่างนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับเวลากำลังถอยหลัง ทุกอย่างกลับสู่ก่อนเปิดฟ้าผ่าแผ่นดิน กลับสู่ก่อนก่อนความขมุกขมัวจะหายไป

การดำรงอยู่ทั้งมวล สุดท้ายกลายเป็นความโกลาหล เหมือนกับกระจายอยู่ทั่วทุกทิศ แต่กลับเหมือนจับตัวกลายเป็นจุดหนึ่งจุดที่ยากจะบรรยาย

ขณะความโกลาหลเปลี่ยนแปลง มีเงาคนสายหนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ด้านใน เดี๋ยวหายเดี๋ยวปรากฏ เพ่งตามองไป กลับเหมือนไม่คงอยู่โดยสิ้นเชิง

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะเล็กน้อย สงบนิ่งใจเย็น ‘วันนี้เลื่อนเป็นขั้นบรรลุธรรม ได้เห็นจุดกำเนิดครึ่งหนึ่ง’