ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 621 เยี่ยนจ้าวเกอขี้โอ่

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ถึงแม้ว่าจะขอบคุณที่เยี่ยนจ้าวเกอนำกระดูกของเหลียงจื้อเชากลับมายังทะเลหวงเจีย และขอบคุณที่ชายหนุ่มช่วยเหลือชีวิตของตนและเว่ยหลาง แต่จางเชียนซงในฐานะผู้สืบทอดสำนักความมืด ต่อให้ตอนนี้จะประสบภัย ในใจก็ยังมีความทะนงตนอยู่

กระนั้นเมื่อได้ยินว่าการหายสาปสูญและการตายของพวกเติ้งเซินมีส่วนเกี่ยวข้องกับเยี่ยนจ้าวเกอและสำนักที่อยู่เบื้องหลัง จิตใจของจางเชียนซงก็อดสั่นสะท้านไม่ได้

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายตรงหรือเป็นแขก การตายของยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากขนาดนี้ สำหรับสำนักแสงสว่างที่มีรากฐานใหญ่โต ยังรู้สึกได้ถึงความสูญเสียแสนสาหัส

เปลี่ยนเป็นสำนักความมืด ก็ไม่มีทางไม่ใส่ใจ

โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่า ยังมียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามเสียชีวิต จางเชียนจงก็ตื่นตระหนก

รวมกันก่อนหลังแล้ว นับเป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์เกือบๆ แปดคน อีกทั้งยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามห้าคนในจำนวนนี้ ยังมีจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่อย่างเติ้งเซินหนึ่งคน ความเสียหายเช่นนี้ นับว่ารุนแรงถึงขีดสุดแล้ว

เติ้งเซินเป็นผู้อาวุโสตำหนักแสงนิรันดร์ของสำนักแสงสว่าง ถูกจัดอยู่ในห้าอันดับแรก อีกทั้งยังเป็นบุคคลที่มีชื่อมีเสียงบนทะเลหวงเจีย

จางเชียนซงในตอนนี้มองเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง อดเกิดความเคารพนับถือไม่ได้

ต่อให้อีกฝ่ายสู้สำนักความมืดของตนไม่ได้ แต่ก็ต้องมาจากขุมกำลังที่ไม่อาจดูแคลน หรือแม้กระทั่งแข็งแกร่งกว่าที่ตนคาดคิดไว้

เยี่ยนจ้าวเกอขณะนี้ไม่พูดมากความ เพียงยิ้มบางๆ “สำนักข้าไม่ได้อยู่ที่ทะเลหวงเจีย ใต้เท้าไม่น่าจะเคยได้ยิน”

จางเชียนซงเห็นเยี่ยนจ้าวเกอไม่พูด ก็ไม่ได้เค้นถาม แต่ท่าทางยิ่งใหญ่ล้ำลึกของอีกฝ่ายทำให้เขาไม่อาจดูแคลน กลับจริงจังกว่าเดิม

‘ถ้าหากคำพูดของเขาเป็นความจริง เช่นนั้นความแค้นระหว่างเขากับสำนักแสงสว่างก็ลึกล้ำไม่อาจแก้ไขอีกแล้ว บางทีอาจจะกลายเป็นผู้ช่วยของสำนักเรา ถึงแม้ตอนนี้จะต้านโจรเสวียนด้วยกัน แต่สำนักแสงสว่างสุดท้ายก็ยังเป็นศัตรูคู่อาฆาตของสำนักเราอยู่ดี’ จางเชียนซงครุ่นคิดในใจ ‘แต่ก็ต้องระวังว่าอาจจะเป็นแผนหลอกที่สำนักแสงสว่างตั้งใจวางไว้ด้วย’

เยี่ยนจ้าวเกอแม้ไม่พูดถึง จางเชียนซงกลับปฏิเสธความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะมาด้านนอกโลกซ้อนโลกโดยสัญชาตญาณ

นี่คล้ายคลึงกับความคิดของสำนักแสงสว่างในตอนแรก ซึ่งเป็นความรู้สึกภาคภูมิในในตัวเองของขุมกำลังที่อยู่บนโลกซ้อนโลก

ในความจริง ยอดฝีมือจำนวนมากอย่างพวกเติ้งเซินลงไปยังโลกใบหนึ่งด้านนอกโลกซ้อนโลก โดยพื้นฐานจะก่อให้เกิดสภาวะทำลายล้าง

มีโลกจำนวนน้อยนิดเท่านั้นที่การพัฒนาวรยุทธ์เจริญรุ่งเรือง ถึงแม้จะสู้โลกซ้อนโลกไม่ได้ แต่ก็มียอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสาม แค่จำนวนคนที่ลอยขึ้นมาได้ก็ไม่ใช่คนสองคนแล้ว

แต่ว่าข้อแรก โลกเช่นนั้นมีน้อยเกินไป เทียบกับโลกเบื้องล่างที่มีจำนวนเป็นร้อยเป็นพัน แทบจะสังเกตไม่เห็น

ข้อสอง ต่อให้เป็นโลกเช่นนี้ ก็มีสำนักก่อตั้งอยู่มากมาย จางเชียนซงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีขุมกำลังใดในโลกซ้อนโลกสามารถใช้พลังของตัวเองจัดการยอดฝีมือจำนวนมากอย่างพวกเติ้งเซินได้

ส่วนเรื่องที่นำกระดูกของเหลียงจื้อเชามาจากโลกเบื้องล่าง กลับไม่นับเป็นเรื่องสำคัญ

เหลียงจื้อเชาไปยังโลกเบื้องล่างได้ คนอื่นๆ ในโลกซ้อนโลกย่อมมีความสามารถ ‘ลง’ ไปและกลับมาเช่นกัน

นี่เป็นผลลัพธ์ที่เยี่ยนจ้าวเกอตั้งใจไว้อยู่แล้ว

คำพูดแต่ละคำล้วนเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด บางครั้งก็อาจจะทำให้คนเข้าใจผิดได้ยิ่งกว่าคำโกหกเสียอีก

จางเชียนซงเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นซ่อนจิตเท่านั้น ในสำนักต่างๆ เช่นเมืองมรกตบนมหาอำนาจแปดพิภพ ยังไม่อยู่ในระดับกลยุทธ์ด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่ขุมกำลังเช่นสำนักความมืดเลย

สิ่งที่เยี่ยนจ้าวเกอต้องการคือการผูกมิตรกับจอมยุทธ์สำนักความมืดที่มีระดับสูงยิ่งกว่าผ่านเขา

ยิ่งจางเชียนซงเสริมจินตนาการเกี่ยวกับตนและเขากว่างเฉิงอลังการเท่าไร ยิ่งใช้ประโยชน์แนะนำตัวได้มากเท่านั้น

ส่วนหลังจากเขาทราบความจริงจะเป็นอย่างไร เยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่สนใจ คนที่เข้าใจผิดก็คือจางเชียนซง

ถึงอย่างไรตนก็ไม่คิดเข้ากับสำนักความมืดอยู่แล้ว

จางเชียนซงทางหนึ่งขบคิด ส่งข่าวขอให้คนในสำนักตรวจสอบสถานการณ์ของพวกเติ้งเซินเพิ่มอีกขั้น เพื่อยืนยันคำพูดของเยี่ยนจ้าวเกอว่าจริงหรือปลอม ทางหนึ่งกล่าวอย่างซาบซึ้ง “ใต้เท้าส่งกระดูกของอาจารย์ปู่เหลียงกลับสำนัก ข้าซาบซึ้งใจยิ่ง”

“เพียงแต่ตอนนี้ข้าได้รับบาดเจ็บ ไม่อาจส่งกระดูกไปได้ ขอให้ใต้เท้าช่วยถึงที่สุดได้หรือไม่ ข้าจะหาทางติดต่อกับยอดฝีมือผู้อาวุโสในสำนักให้มารับ คุณธรรมของใต้เท้า ผู้อาวุโสในสำนักต้องตอบแทนเพื่อแสดงความจริงใจอย่างแน่นอน”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเรียบๆ “หามิได้ ข้าตั้งใจจะพักอยู่ในทะเลหลวงเจียสักพัก แต่ว่าอยากจะทำความเข้าใจสถานการณ์ของสำนักแสงสว่างด้วย”

จางเชียนซงถอนใจ เอ่ยว่า “บนโลกใบนี้ หากพูดถึงคนที่รู้จักสำนักแสงสว่างมากที่สุด นอกจากผู้สืบทอดของพวกเขาเอง ต้องนับสำนักเราแล้ว”

ในขณะที่เยี่ยนจ้าวเกอกับจางเชียนซงสนทนากัน ณ สถานที่ที่เป็นบ้านพักใหญ่ของตระกูลเว่ย กลับมีคนสนทนากันเช่นกัน บางทีเรียกว่าโต้เถียงกันน่าจะเหมาะสมกว่า

“น้องสอง เหตุใดต้องรบกวนท่านอาหกด้วย?” ประมุขตระกูลเว่ยอวิ๋นชาง บิดาของเว่ยหลาง ในตอนนี้กำลังมองเว่ยอวิ๋นเซิ่งผู้เป็นน้องชายของตนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

เว่ยอวิ๋นชางสีหน้าสงบนิ่ง ส่วนชายชราผมขาวโพลนด้านข้างตัวเขาแค่นเสียง “ดีที่อวิ๋นเซิ่งเตือน ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่า ลูกหลานไม่รักดีอย่างพวกเจ้าสร้างปัญหาขึ้นมากมาย!”

สายตาของเขากวาดผ่านเว่ยหลางที่อยู่ด้านข้างเว่ยอวิ๋นชาง เว่ยหลางพอถูกสายตาของท่านปูกวาดมอง ก็พลันรู้สึกสยิวกายขึ้นมา

เว่ยอวิ๋นเซิ่งกล่าวเรียบๆ “จะบอกให้ท่านพี่รู้ไว้ คนของแม่ทัพหยางกำลังเดินทางมา อีกไม่นานจะมาถึงเมืองเหลาเฟิงของเราแล้ว”

เว่ยอวิ๋นชางและเว่ยหลางร่างกายสั่นสะท้าน “หยางจ้าวเจิน แม่ทัพแห่งหลวนเซียง!?”

แม่ทัพแห่งหลวนเซียง เป็นผู้บัญชาการกองทัพของราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องที่รับหน้าที่ดูแลเกาะหลวนเซียง

เว่ยอวิ๋นชางทำหน้าครึม “หลางเอ๋อร์ทำเรื่องส่วนตัว แม้จะไม่ถูก ย่อมมีกฎตระกูลจัดการ เจ้ากลับแจ้งความลับ บอกที่อยู่ของเขาให้ราชวงศ์ต้าเสวียอ๋องหรือ?”

“ท่านพี่ หลางเอ๋อร์ไม่รู้เรื่อง ท่านยังไร้เดียงสาอีกหรือ?” เว่ยอวิ่นเซิ่งกล่าว “หลางออรไม่ใช่บุตรคนโต ก่อนหน้านี้ออกไปด้านนอกน้อยครั้ง ส่วนใหญ่แล้วอยู่ที่เมืองเหลาเฟิง คนบนเกาะหลวนเซียงที่รู้จักเขามีไม่มาก

“แต่เขาก่อการปฏิวัติร่วมกับคนของสำนักความมืด วรยุทธ์ที่ใช้กลับเป็นวรยุทธ์ของตระกูลเว่ยเรา ถึงแม้ว่าสถานการณ์บนสนามรบจะปั่นป่วน ไม่ถูกคนพบเห็นได้โดยง่าย แต่ต้องมีคนสังเกตเห็นจนเกิดข้อสงสัยขึ้น!”

“ทางด้านราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องมีคนสงสัยตั้งนานแล้ว”

เว่ยอวิ๋นชางเงียบงันเล็กน้อย

ท่านปู่ตระกูลเว่ยที่อยู่ด้านข้างแค่นเสียง “อวิ๋นชาง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ ถ้าหากไม่ใช่เจ้าอนุญาต เว่ยหลางจะอยู่กับคนของสำนักความมืดได้อย่างไร? แต่เจ้าเลอะเลือนเกินไปแล้ว ราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องยังไม่ถึงช่วงสุดท้าย คิดจะต่อต้านก็ต่อต้านเช่นนั้นหรือ?”

“ถึงแม้ว่ายามปกติจะบังคับกดขี่อย่างโหดเหี้ยม แต่ถึงอย่างไรพวกเราก็ยังรักษารากฐานของบรรพบุรุษได้ ทว่าตอนนี้ กลับอาจถูกล้างตระกูลได้ทุกเวลา”

เว่ยหลางกัดฟัน “คนเรากล้าทำกล้ารับ อย่าให้ตระกูลโดนพัวพันไปด้วยเพราะข้า”

“ตระกูลของเราเป็นตระกูลใหญ่ สถานการณ์ในตอนนี้โจรเสวียนยังไม่กล้าบีบคั้น ขอแค่ส่งข้าออกไป พวกเขาสมควรไม่ทำอะไรตระกูล”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งหัวเราะเล็กน้อย “อาสองนับว่าเจ้าเติบโต ไฉนจะส่งเจ้าไปบนทางตายด้วยตัวเอง?”

“ข้าเชิญพวกแม่ทัพหยางมา ก็เพื่อจับกุมคนของสำนักความมืด ไม่ใช่เจ้า”

เว่ยหลางเบิกตากว้าง “ท่านอาสอง…”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งแค่นเสียงกล่าว “ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะเชิญพวกเขามาที่เมืองเหลาเฟิงทำอะไร? หากไม่ใช่เพราะเจ้าบรรยายว่าอีกฝ่ายมีพลังลึกล้ำยากหยั่งคาด ข้าคงจับเขาไปแล้ว”

“ขอแค่มีศีรษะของพวกเขา ตระกูลเราย่อมพ้นภัย”