ภาค 7 ความผันผวนในใต้หล้าเป็นยุคของข้า บทที่ 620 สั่นสะเทือนสำนักความมืด

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอมองกระเรียนกระดาษแวบหนึ่ง ทราบว่าเป็นวิชาลับส่งข้อความชนิดพิเศษ มักจะใช้ระหว่างคนในตระกูล ทำให้ผู้อาวุโสช่วยเหลือลูกหลานได้สะดวก

ผ่านไปเพียงครู่เดียว คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

คนที่เป็นผู้นำคือบุรุษวัยกลางคน เว่ยหลางเห็นเขาก็ร้องเรียกด้วยความละอาย “ท่านอาสอง…”

บุรุษวัยกลางคนมองพวกเยี่ยนจ้าวเกอเล็กน้อย จากนั้นก็มองเว่ยหลาง แล้วถอนใจเสียงหนึ่ง “หลางเอ๋อร์ ท่านพี่กับข้าเป็นห่วงเจ้านัก”

เว่ยหลางรีบร้อนกล่าว “ทำให้บิดากับท่านอาสองเป็นห่วง ข้าผิดเองขอรับ”

เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเป็นปกติ ก็แนะนำว่า “สหายเยี่ยน ท่านนี้คือท่านอาสองของข้า แซ่เว่ย ชื่อต้นอวิ๋น ชื่อรองเซิ่ง

“ท่านอาสอง ท่านนี้คือเยี่ยนจ้าวเกอ สหายเยี่ยน เขาเพิ่งช่วยข้าไว้”

เว่ยอวิ๋นเซิ่งได้ยิน ก็ประสานมือคารวะเยี่ยนจ้าวเกอ “ขอบคุณที่ใต้เท้าช่วยเหลือหลานของข้า”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “ท่านเว่ยเกรงใจไปแล้ว”

ขณะที่เว่ยอวิ๋นเซิ่งมองไปยังจางเชียนซง เว่ยหลางก็กล่าวอย่างระมัดระวัง “ท่านอาสอง ท่านจางได้รับบาดเจ็บแล้ว…”

“เจ้านี่นะ…” เว่ยอวิ๋นเซิ่งส่ายหน้าเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้เคยบอกแล้วว่าอย่าตามคนของสำนักความมืดไปก่อปัญหา พวกเขาอยู่ที่เกาะหลวนเซียงไม่ได้ก็แค่ไปที่อื่น แต่ตระกูลเว่ยของเราจะไปที่ไหนได้?”

เว่ยหลางลดเสียงลง “ท่านอาสอง โจรเสวียนกดขี่มาโดยตลอด ตระกูลเว่ยของเราเองก็ได้รับความลำบาก ถูกรีดนาทาเร้น วันนี้โจรเสวียนสูญเสียลิขิตฟ้า เป็นโอกาสที่ประเสริฐในการโค่นพวกเขา”

“เจ้ายังอายุน้อย ต่อให้ไม่มีต้าเสวียน ก็ต้องมีขุมกำลังอื่นมาใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่มีทางถึงตาตระกูลเว่ยของพวกเรา” เว่ยอวิ๋นเซิ่งพูด

“คงจะไม่แย่ไปกว่าถูกต้าเสวียนกดศีรษะแล้ว” เว่ยหลางพึมพำ

เว่ยอวิ๋นเซิ่งมองจางเชียนซง ครุ่นคิดไม่พูดจา จากนั้นก็มองพวกเยี่ยนจ้าวเกอแวบหนึ่ง ส่งกระแสเสียงถามว่า ‘คนเหล่านี้เหตุใดต้องช่วยเหลือพวกเจ้า เพียงแค่พบเห็นความไม่เป็นธรรมจึงชักดาบช่วยเหลือหรือ’

‘ความจริงพวกเขาน่าจะช่วยเหลือท่านจางมากกว่า’ เว่ยหลางตอบอย่างตรงไปตรงมา ‘สหายเยี่ยนผู้นี้ไม่ใช่คนของทะเลหวงเจีย เพียงแต่มาส่งกระดูกของผู้อาวุโสสำนักความมืดกลับบ้านเกิด แต่ไม่ทราบว่าควรจะติดต่อกับคนของสำนักความมืดอย่างไร‘

‘ท่านเองก็ทราบว่า หอสักการะหลักของสำนักความมืดลี้ลับยากหยั่งคาด โลกภายนอกยากจะมีคนรู้’

เว่ยอวิ๋นเซิ่งใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนใจ ‘ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็พาพวกเขากลับเมืองเหลาเฟิงก่อน’

ครั้นเว่ยหลางได้ยินดังนั้น เขากลับหวั่นวิตก ‘ถ้าพาพวกเขากลับตระกูล จะนำอันตรายมาสู่ตระกูลหรือไม่?’

หากให้เขาเสียสละชีวิตของตัวเอง เขาจะไม่อิดออดแม้แต่น้อย แต่ตระกูลมีเด็ก สตรี และคนชรา เกิดถูกราชวงศ์ต้าเสวียนอ๋องหมายตา ผลสุดท้ายเขาไม่กล้าคิดถึงเลย

‘มีข้าคอยดูแลพวกเจ้า ย่อมไม่เผยความลับโดยง่าย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าร่อนเร่อยู่ด้านนอก เกิดถูกคนของราชวงศ์ต้าเสวียนหวังจับไว้ ก็คงพัวพันถึงตระกูลอยู่ดี’ เว่ยอวิ๋นเซิ่งเอ่ย

เว่ยหลางลำบากใจอยู่บ้าง ‘ขอบคุณท่านอาสอง’

เขาอธิบายกับเยี่ยนจ้าวเกอ ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอกลับไม่ใส่ใจ พยักหน้าหงึกหงัก “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ รบกวนแล้ว”

ภายใต้การอำพรางของจอมยุทธ์ตระกูลเว่ย ทั้งหมดจึงข้ามเขาข้ามทะเลไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างเดินทาง พวกเยี่ยนจ้าวเกอยามนี้ค่อยมีความคิดสัมผัสกับทุกสิ่งในโลกซ้อนโลกอย่างละเอียด

ครั้นเงยหน้าไปมอง เส้นสายปราณวิญญาณของที่นี่ตัดสลับกันกลางอากาศไปทั่ว ใช้เพียงตาเนื้อก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว

ท้องฟ้าสีครามไม่ใช่สีฟ้าบริสุทธิ์ มองไปปรากฏสีเขียวจาง

ตอนกลาวันกับตอนกลางคืนก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น

เมื่อถึงตอนกลางคืน จะไม่เห็นดาวสุกสกาวได้เหมือนที่แปดพิภพ

ท้องฟ้ายามราตรีไม่ได้เป็นสีดำทั้งหมด เหมือนกับคลุมด้วยผ้าโปร่งสีขาวขมุกขมัว เป็นสีเทาสลัวๆ

มักจะมีแสงดาวที่ละลานตาสุดขีดพาดผ่านท้องฟ้าตลอดเวลา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ส่องสว่างใต้หล้าเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ว่าก็สุกสว่าง เพียงแต่ปรากฏแวบเดียวก็หายไป เหมือนตัดผ่านโลก

“เหมือนกับว่า พวกเราอยู่ในทางช้างเผือก” เฟิงอวิ๋นเซิงพึมพำ “ต่อให้ไม่ใช่ ก็ใกล้เคียงกับธารเงินทะเลดาว”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “นี่คือโลกซ้อนโลก”

แม้จะเทียบไม่ได้กับวังเทพก่อนมหาภัยพิบัติ แต่ก็ไม่ใช่โลกทั่วไป

เดินทางอยู่หลายวัน เมืองใหญ่เมืองหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่เส้นขอบฟ้า ครึ่งหนึ่งติดแผ่นดิน ครึ่งหนึ่งหันหน้าหาทะเล ถูกคลื่นทะเลซัดใส่ไม่สั่นไหว ให้ความรู้สึกค่อนข้างยิ่งใหญ่

ชายหนุ่มมองกำแพงเมือง ทราบว่าที่นี่ก็คือเมืองเหลาเฟิง หนึ่งในเมืองสำคัญบนเกาะหลวนเซียงในทะเลหวงเจีย ตระกูลเว่ยของเหว่ยหลางและเว่ยอวิ๋นเซิ่งเป็นผู้ปกครองที่นี่

ประมุขตระกูลก็คือ เว่ยอวิ๋นชาง บิดาของเว่ยหลาง พี่ชายของเว่ยอวิ๋นเซิ่ง

เว่ยอวิ๋นชางมองเว่ยหลางด้วยสายตาดุดันเล็กน้อย ทำเอาบุตรชายเงยหน้าไม่ขึ้น

แต่ว่าต่อหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ เว่ยอวิ๋นชางเองก็ไม่ได้กล่าวโทษเว่ยหลาง เพียงต้อนรับพวกชายหนุ่ม และขอบคุณบุญคุณที่ช่วยชีวิตบุตรชายของตนไว้

เยี่ยนจ้าวเกอได้รับการจัดหาที่พักให้ จางเชียนซงเองก็มีคนมาดูแลเป็นการเฉพาะ

ภายใต้ฝีมือของเยี่ยนจ้าวเกอ อาการบาดเจ็บของจางเชียนซงเริ่มดีขึ้น ฟื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เหลียงจื้อเชา? นั่นเป็นอาจารย์ปู่ของข้า ว่ากันว่าในอดีตได้ลงไปยังโลกเบื้องล่าง แต่ต่อมาข่าวคราวก็หายไป” จางเชียนซงสีหน้าซีดขาว “เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจารย์ปู่เหลียงก็เสียชีวิตจริงๆ แล้วอย่างนั้นหรือ?”

เยี่ยนจ้าวเกอหยิบพัดด้ามไม้เจี้ยนออกมา อีกมือหนึ่งโบกเบาๆ ภายใต้การปกคลุมของปราณเอกพิสุทธิ์ โครงกระดูกโครงหนึ่งปรากฏขึ้น อาภรณ์บนร่างคล้ายคลึงกับจางเชียนซง

จางเชียนซงพยายามใช้นิ้วพาดบนกระดูก ถ่ายเทปราณจิตราเข้าไปด้านใน หลังจากสัมผัสครู่หนึ่ง ก็พูดอย่างเงียบงัน “ถึงแม้จะไม่แน่ใจว่าเป็นอาจารย์ปู่เหลียงหรือไม่ แต่ก็แน่ใจว่าเป็นวิชาของสำนักเราอย่างไม่ต้องสงสัย”

เขาประสานมือให้กับเยี่ยนจ้าวเกอ “ขอบคุณคุณธรรมของใต้เท้า”

“ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ จะว่าไปที่ข้าเจอผู้อาวุโสของสำนักท่านก็ถือว่าบังเอิญ ทว่ากลับเกี่ยวข้องกับขุมกำลังอีกกลุ่มหนึ่งในทะเลหวงเจียแห่งนี้” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย

จางเชียนซงเลิกคิ้ว “โอ้? ขอถามว่าเป็นสำนักใด?”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “สำนักแสงสว่าง”

“สำนักแสงสว่าง หึ!” จางเชียนซงพลันแค่นเสียง

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าอย่าเข้าใจผิด ข้ากับสำนักของข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์กับสำนักแสงสว่าง ตรงกันข้าม ยังมีความแค้นกันเสียด้วย”

“ไม่ทราบว่าชื่อเติ้งเซิน ซุนฮ่าว หลิวเฟิง หยางจ่านหัว ผู่จ้าวเหล่านี้ ใต้เท้าจำได้บ้างหรือไม่?”

จางเชียนซงตื่นตระหนก “พวกเขาต่างเป็นผู้อาวุโสระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ของสำนักแสงสว่าง ศิษย์สายตรงสามคน แขกสองคน ข้าไหนเลยจะไม่เคยได้ยินเล่า? ในจำนวนนี้เติ้งเซินยังเป็นยอดฝีมือระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสี่ เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงในทะเลหวงเจียเช่นกัน”

ชายหนุ่มพลันยิ้มยิงฟัน “สำนักท่านไม่รู้สึกว่า ไม่ได้ยินข่าวของเขามาสักพักแล้วหรอกหรือ?”

อีกฝ่ายพลันงงงัน ครู่ต่อมาค่อยมีปฏิกิริยา สีหน้ากลับตกตะลึง “พวกเขาตายแล้ว? เกี่ยวข้องกับสำนักท่าน?”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ความจริงยังมีคนที่เป็นจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสามอีกสามคน น่าเสียดายที่ข้าไม่รู้ว่าพวกเขาชื่ออะไร อีกทั้งพวกเขาเพิ่งตายได้ไม่นาน สำนักท่านคงยังไม่ได้รับข่าว”

จางเชียนซงสูดลมหายใจเย็นเยียบ “ขอถามว่าใต้เท้าเป็นคนจากสำนักใด?”