ภาคที่ 5 บทที่ 98 ดาบศิราทองคำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 98 ดาบศิราทองคำ

ฟู่ !

น้ำแข็งเย็นเฉียบกับเปลวเพลิงที่ร้อนจัดปะทะกันอย่างรุนแรง ไอน้ำสีขาวจำนวนมากพวยพุ่งออกมาเมื่อทั้ง 2 ขั้วสัมผัสกัน ก่อตัวเป็นเมฆสีขาวขนาดใหญ่ลอยแขวนอยู่เหนือเมืองเขามังกร

ร่าง 2 ร่างถูกส่งลอยผ่าทะลุเมฆก้อนนี้ออกไปพร้อมกับเสียงร้องโหยหวน

พี่น้องชัวหลวนจือเฟิง

แม้ว่าการปะทะกันครั้งนี้จะเป็นการปะทะกันระหว่างวิชาอาร์คาน่า แต่ผลลัพธ์ก็ยังคงสะท้อนออกมาบนร่างกายของพวกเขา คลื่นพลังต้นกำเนิดอันทรงพลังที่บรรจุเอาไว้ในตัววิชาที่ใช้ออกไปได้ย้อนกลับมา และทำลายการป้องกันของพวกเขาทันที ทำให้ทั้งคู่บาดเจ็บสาหัส

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?” จือฮัวนู๋ตกตะลึงเมื่อได้เห็นผลจากการปะทะ

แม้ว่าดาบเพลิงของคู่ต่อสู้จะทรงพลังมาก แต่ก็ไม่ควรจะทรงพลังขนาดนั้น

นี่คือช่องว่างระดับ ซูเฉินได้บดขยี้พวกเขาอย่างสมบูรณ์ แสดงให้เห็นว่าวิชาอาร์คาน่าของพวกเขาด้อยกว่าอีกฝ่ายถึง 2 ระดับเป็นอย่างต่ำ

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเพียงปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 8 เท่านั้นที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ และด้วยความแข็งแกร่งของพี่น้องชัวหลวนจือเฟิง วิชานี้จะต้องเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ที่ทรงพลังด้วย !

อย่างไรก็ตามจือฮัวนู๋สัมผัสได้ว่าคู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ได้ใช้วิชาที่สูงกว่าระดับ 5 เลยแม้แต่น้อย

แล้ววิชาอาร์คาน่าระดับ 5 ทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไร ?

เมื่อไอหมอกสลายไป ร่างของซูเฉินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เขายืนถือดาบเพลิงเล่มยักษ์อยู่ที่เดิมอย่างสงบ

ดาบเพลิงในมือของเขาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย ใบมีดไม่ขยายตัวอีกต่อไปและเปลวไฟเองก็ดูเหมือนสงบลง มันไหลไปดามตัวดาบอย่างเฉื่อย ๆ ดูราวกับลาวาหนืดกำลังฉาบย้อมดาบอยู่

ลาวา ?

หัวใจของจือฮัวนู๋สั่นสะท้าน ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ “ดาบศิราทองคำ !?”

ซูเฉินยิ้มเล็กน้อย “ใช่ มันคือดาบศิราทองคำ”

ดาบศิราทองคำเป็นวิชาอาร์คาน่าระดับ 4

มันไม่ใช่แม้แต่วิชาอาร์คาน่าระดับ 5 ด้วยซ้ำ

วิชาอาร์คาน่านี้คือการสร้างอาวุธชั่วคราวจากโลหะ มันเป็นวิชาที่ถูกใช้สำหรับการต่อสู้ระยะประชิด นั่นเป็นเหตุว่าทำไมวิชานี้จึงไม่ค่อยมีใครเคยเห็น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะวิชาอาร์คาน่าประเภทโลหะมักจะถูกใช้โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ระยะประชิดอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงเป็นหนึ่งในวิชาที่ไม่ได้รับความนิยม

เนื่องจากดาบศิราทองคำต้องใช้โลหะเป็นวัสดุ ซูเฉินจึงรวบรวมโลหะพิเศษจำนวนมากเตรียมไว้ก่อนแล้ว

เมื่อเทียบกับอาวุธทั่วไปดาบศิราทองคำนี้มีข้อดีอยู่หลายอย่าง หนึ่งเพราะมันเป็นวิชาอาร์คาน่า มันจึงไม่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมวิชาอาร์คาน่าอื่น ๆ ผ่านตัวอาวุธ และวิชาบางอย่างยังช่วยเพิ่มเสริมความแข็งแกร่งของมันด้วย สองมันยังมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปร่างตามความต้องการของผู้ใช้ ทั้งยังมีความสามารถพิเศษอย่างอาถรรพ์ทำลายล้างอีก

ความสามารถนี้นับว่าค่อนข้างพิเศษไม่เหมือนใคร มันทำให้ใบมีดสามารถทำลายทุกสิ่งที่สัมผัสได้ รวมไปถึงโล่ป้องกัน เครื่องมือกำเนิด และแม้แต่วิชาอาร์คาน่า

แต่มันก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ หนึ่งคือมันจำเป็นต้องสัมผัสกับเป้าหมายที่จะทำลายโดยตรง สองคือมันจำเป็นต้องเชื่อมกับวัตถุที่จะใช้วิชา ดังนั้นเมื่อใช้งานแล้ววัตถุที่เชื่อมติดอยู่ก็จะถูกทำลายไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้พลังทำลายล้างของวิชาอาร์คาน่านี้จะทรงพลัง แต่ก็มีคุณค่าให้ใช้งานจริงได้ไม่สูงนัก มันจึงเป็นเพียงวิชาอาร์คาน่าระดับ 3 เท่านั้น

หรือก็คือในดาบศิราทองคำได้มีวิชาอาร์คาน่าที่มีความสามารถทำลายแฝงอยู่

อาจกล่าวได้ว่าดาบศิราทองคำเดิมทีก็มีไว้สำหรับการทำลายเป้าหมาย ส่วนประโยชน์อีกสองประการเป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น

ฉะนั้น แม้ว่าตัวดาบศิราทองคำจะได้รับความเสียหายในปริมาณเท่ากันกับเป้าหมาย แต่มันก็เป็นเพียงวิชาระดับ 4 ถึงมันจะถูกทำลายไปแล้วแต่ก็ยังสามารถก่อรูปขึ้นใหม่ได้อย่างง่ายดายอยู่ดี ซูเฉินจึงไม่กลัวที่จะต้องใช้ดาบศิราทองคำเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้แบบตัวต่อตัว ทำให้เขาใช้ความสามารถในการทำลายล้างในระดับสูงสุดได้

น่าเสียดาย ที่คุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ไม่เคยได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง เพราะมันสามารถใช้ได้เฉพาะในการต่อสู้ระยะประชิดเท่านั้น เผ่าปักษาน้อยตนนักที่จะเลือกเรียนรู้วิชาอาร์คาน่าประเภทนี้ และพวกเขามักจะอยู่ในกลุ่มพลีชีพเผ่าปักษา ผู้เป็นโล่ที่กล้าหาญของเผ่า

อย่างไรก็ตาม วิชาอาร์คาน่าระดับ 4 นี้กำลังระเบิดความสามารถที่ไม่มีใครเคยได้เห็นมาก่อนอยู่ในมือของซูเฉิน

ยังมีคุณสมบัติเฉพาะของดาบศิราทองคำจำต้องพูดถึงอีกอย่าง

นั่นคือดาบศิราทองคำไม่ใช่วิชาอาร์คาน่าที่มีพลังคงที่ พลังโจมตีของมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับขนาดและลักษณะของอาวุธที่มันสร้างขึ้น ในขณะที่ขนาดและลักษณะของอาวุธเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่กับปริมาณวัตถุดิบที่ผู้ใช้มี

ตามหลักการแล้ว หากโลหะที่ใช้มีคุณภาพสูงพอ พลังของดาบศิราทองคำอาจล้ำเหนือวิชาระดับ 4 หรือ 5 ไม่ก็สูงกว่านั้นได้อีก

ในประวัติศาสตร์ของเผ่าปักษา เคยมีนักรบมนุษย์นกผู้หนึ่งสามารถใช้มันปลดปล่อยการโจมตีที่ทรงพลังของวิชาระดับ 6 ออกมาได้อยู่

อย่างไรก็ตามระดับ 6 นี้เป็นขีดจำกัดที่สูงที่สุดของมันแล้ว

ในฐานะวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 เลยจำต้องใช้โลหะคุณภาพสูงจำนวนมหาศาลเพื่อปลดปล่อยศักยภาพของวิชาระดับ 6 โดยพื้นฐานแล้วนี่คือขีดจำกัด มันไม่มีทางที่จะปรับปรุงเพิ่มเติมได้อีก

นี่คือจุดที่ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายประเภทโลหะได้เข้ามามีบทบาท

ผลึกต้นกำเนิดไม่ได้มีประโยชน์เพียงแค่ช่วยยกระดับพลังของดาบศิราทองคำเท่านั้น แต่มันยังช่วยเพิ่มขีดจำกัดสูงสุดด้วย ตราบใดที่ซูเฉินมีโลหะเพียงพอ เขาก็สามารถเพิ่มพลังของมันไประดับมันจนถึงวิชาอาร์คาน่าในตำนานได้

ตอนนี้ซูเฉินไม่ได้มีโลหะมากพอที่จะไปถึงจุดนั้น แต่ก็มีมากพอที่จะปลดปล่อยพลังของวิชาระดับ 7 อย่างไรก็ตามแค่นั้นมันยังไม่เพียงพอซูเฉินจึงลงเอยด้วยการสริมพลังไฟลงไปด้วย

เขามีพรสวรรค์ในการปรับปรุงวิชาอาร์คาน่าอย่างมาก และวิชาประเภทไฟก็เป็นของถนัดของเขา

ดังนั้นดาบศิราทองคำจึงมีร่องรอยส่วนหนึ่งของหงส์เพลิงอยู่ และยกระดับพลังเพิ่มขึ้นเทียบเท่าวิชาระดับ 8

เมื่อพิจารณาจากความแข็งแกร่งของดาบเล่มนี้แล้ว ถ้าพายุน้ำแข็งของ 2 พี่น้องไม่ถูกซูเฉินทุบจนสลายนี้สิถึงจะเป็นเรื่องแปลก

ที่น่าตกใจที่สุดคือดาบศิราทองคำยังได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของร่างกายมนุษย์ที่ซูเฉินมีออกมาพร้อมกับวิชาอาร์คาน่าด้วย อาจกล่าวได้ว่านี่เป็นการผสมผสานระหว่างทักษะต้นกำเนิดของมนุษย์และวิชาอาร์คาน่าอย่างแท้จริง

ถึงเผ่าปักษาจะเห็นซูเฉินเป่าพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงกระเด็นไปด้วยดาบก็จริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าดาบที่เขาใช้คือวิชาอาร์คาน่า ดังนั้นจึงไม่มีใครเอะใจสงสัยว่าชายหนุ่มไม่ใช่เผ่าปักษา พวกเขาแค่รู้สึกประหลาดใจที่ไพ่ตายลับของซูเฉินเป็นทักษะการต่อสู้ระยะประชิด

จือฮัวนู๋เองก็ตกตะลึงเหมือนคนอื่นเช่นกัน

ดาบศิราทองคำที่มีพลังเทียบเท่ากับวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ทำลายความรู้ความเข้าใจของนางไปจนหมด

นางโพล่งถามออกไปตามสัญชาตญาณในทันที “เจ้าทำได้อย่างไร ?”

จือฮัวนู๋ไม่ได้คาดหวังว่านางจะได้คำตอบ แต่ซูเฉินก็ตอบคำถามของนาง

“ด้วยสิ่งนี้” เขากล่าว

ซูเฉินพลิกข้อมือของเขา ให้ผลึกแวววาวอยู่ตรงกลางด้ามดาบเผยโฉมออกมา

ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายประเภทโลหะ

จือฮัวนู๋รู้สึกเหมือนนางกำลังจะเป็นลม

ผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย !?

ชายผู้นี้มีผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกาย !

และเขายังฝังมันลงในอาวุธเพียงเพื่อที่เขาจะปรับปรุงวิชาอาร์คาน่า

ชายคนนี้รู้หรือไม่ว่าผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายสำคัญอย่างไร ?

นั่นเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างไม้เท้าอาร์คาน่าระดับตำนาน !

แม้ว่าไม้เท้าอาร์คาน่าในตำนานจะไม่สามารถเพิ่มพลังวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 ให้เท่าระดับ 8 ได้ แต่มันก็ยังสามารถเพิ่มพลังของวิชาอาร์คาน่าได้ทุกประเภทถึงจะยกได้เพียงระดับเดียวก็ตาม

สิ่งไหนมันสำคัญกว่ากัน ระหว่างเพิ่มพลังของวิชาอาร์คาน่าทั้งหมดได้ 1 ระดับ หรือเพิ่มพลังวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 แค่อย่างเดียวให้เทียบเท่าระดับ 8 ?

ขออภัยอย่างหลังยังดีกว่า

อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่ซูเฉินคิด

เพราะเขาไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าจริง ๆ เสียหน่อย !

ในฐานะมนุษย์ เขาไม่มีวันละทิ้งเส้นทางแห่งการพัฒนาตนเอง วิชาอาร์คาน่าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเส้นทางนี้เท่านั้น มันไม่ใช่เป้าหมายที่เขาไล่ตาม

ไม้เท้าอาร์คาน่าระดับตำนานทรงพลังก็จริงอยู่ แต่สามารถใช้สับคนให้เหลือครึ่งท่อนได้หรือไม่ ?

ไม่ มันทำไม่ได้ !

ถ้าทำไม่ได้ก็ไร้ค่า !

หากมันไม่อาจช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งในรูปแบบของเขาได้ ไม่ว่าวิชาอาร์คาน่าจะแข็งแกร่งขนาดไหนมันก็สูญเปล่า

สิ่งที่ซูเฉินต้องการคือการเพิ่มพลังของตัวเขาด้วยวิชาอาร์คาน่า ดังนั้นเขาจึงไม่สนระบบการประเมินความแข็งแกร่งของวิชาอาร์คาน่าในปัจจุบัน

ดาบศิราทองคำเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของเรื่องนี้

เป้าหมายของเขาคือการปรับปรุงพลังของวิชาอาร์คาน่าระดับ 4 ให้กลายเป็นพลังระดับ 8 และมีโอกาสพัฒนาไปสู่วิชาอาร์คาน่าระดับตำนาน นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ

หลังจากนี้เมื่อเขาเชี่ยวชาญวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังกว่า เขาก็จะมีทางเลือกให้เลือกได้วิชาที่ดีกว่า

กระโดด ยกระดับ ก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างต่อเนื่อง พวกนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ

จือฮัวนู๋ไม่เข้าใจซูเฉิน นางรู้เพียงแค่ว่าซูเฉินเสียผลึกต้นกำเนิดจักรพรรดิอสูรกายไปอย่างเปล่าประโยชน์ ทำให้หัวใจของนางเจ็บปวดยิ่ง จือฮัวนู๋ยิ่งดูถูกและรังเกียจการกระทำของซูเฉินมากขึ้น

แต่ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ก็ตาม ซูเฉินก็จะทำเช่นนั้นอยู่ดี

ตอนนี้ดาบศิราทองคำได้กลายเป็นไม้ตายที่ใหญ่ที่สุดของเขาแล้ว มันไม่เพียงแต่จะทรงพลัง ทว่ายังไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนอีกด้วย ไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงความเกี่ยวข้องของมันกับมนุษย์นามว่าซูเฉินได้ ทั้งหมดที่ศัตรูรู้เกี่ยวกับเขา คือขณะที่กำลังจัดการกับคู่ต่อสู้ของเขาอย่างจริงจัง มนุษย์นกนามว่าชิงเฮิ่นก็ยังสามารถปกปิดตัวตนของเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ดาบศิราทองคำกวาดผ่านอากาศเข้าหาทั้ง 3 อีกครั้ง จือฮัวนู๋และพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงไม่อาจทนต่อเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงกลัวได้อีกต่อไป

จือฮัวนู๋รู้ว่าพวกเขาได้ตกอยู่ในสถานการณ์ไม่สู้ดีแล้ว นางกัดฟันแล้วบังคับเปลวไฟในอากาศควบแน่นออกมารูปลักษณ์เฉพาะ

ทันทีที่ซูเฉินเห็นรูปร่างของเปลวเพลิงนั้น เขาก็รู้สึกยินดียิ่ง

นั่นคือหงส์เพลิง

ทว่าถึงมันจะเป็นหงส์เพลิง แต่รูปร่างหน้าตาของมันกลับต่างออกไปจากของซูเฉิน หงส์เพลิงของจือฮัวนู๋ดูสวยและสง่ากว่าอย่างเห็นได้ชัด หงส์เพลิงนี้มีหงอนยาว 3 เส้นดุจดั่งมงกุฎเพลิงอยู่บนหัว หางยาวแผ่สยายสวยงาม รูปลักษณ์ของมันล้วนดูสูงส่งและงดงามยิ่ง

ในทางกลับกัน หงส์เพลิงของซูเฉินนั้นดูธรรมดากว่ามาก มันไม่มีหงอนมงกุฎ และหางของมันก็สั้น ตัวอ้วนหนา

หากหงส์เพลิงของจือฮัวนู๋คือผลงานชิ้นเอกของจิตรกร เช่นนั้นหงส์เพลิงของซูเฉินก็ไม่ต่างอะไรจากงานวาดเล่นของเด็กประถม

นั่นก็เพราะวิชาหงส์เพลิงนิพพานนี้ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้มันผ่านการปรับปรุงมาครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อพิจารณาถึงความชื่นชอบในความสวยงามของเผ่าปักษาแล้ว มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาพยายามทำให้หงส์เพลิงดูสง่างามที่สุดเท่าที่จะทำได้ สำหรับซูเฉินที่อยู่ในฐานะผู้สร้างนั้น เขาสนใจประสิทธิภาพในการใช้งานได้จริงมากกว่า และไม่ได้สนใจด้านสุนทรียศาสตร์มากนัก ที่หงส์เพลิงของเขามีรูปร่างเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่สนใจรูปธรรมสนเพียงหลักการเท่านั้น การที่หงส์เพลิงของเขาจะด้อยกว่าในแง่ของรูปลักษณ์จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

อย่างไรก็ตาม หงส์เพลิงนิพพานก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถมองข้ามได้ มันคือไพ่ตายของจือฮัวนู๋ ถึงแม้จะเป็นเพียงวิชาอาร์คาน่าระดับ 7 แต่ก็มีพลังเทียบได้กับวิชาระดับ 8 ทุกครั้งที่นางใช้มัน มันจะเปลืองพลังอย่างมาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผู้ใช้วิชานี้สลบไปในขณะที่กำลังใช้งานมัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงกลายเป็นวิชาที่รู้จักในนามหงส์เพลิงนิพพาน

วิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ของซูเฉินปะทะกับวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 ของจือฮัวนู๋ ทั้งดาบศิราทองคำทั้งหงส์เพลิงนิพพานต่างก็เป็นวิชาประเภทไฟ สิ่งที่ผู้เหล่าเฝ้ามองเห็นจึงคลื่นเพลิงขนาดใหญ่ 2 ลูกพุ่งชนกันอย่างรุนแรง

เปลวเพลิงที่เข้าปะทะกันโหมกระหน่ำพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เหนือเมืองเขามังกร ย้อมเมฆและผืนฟ้าเป็นสีส้มแดง

ฝนลูกไฟขนาดใหญ่ร่วงตกลงมาจากฟากฟ้า ราวกับว่าจุดจบของโลกมาถึงแล้ว !