ภาคที่ 5 บทที่ 99 ยอมจำนน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 99 ยอมจำนน

เมืองเขามังกรตกอยู่ในความวุ่นวายในทันที

เปลวเพลิงโหมกระหน่ำไปทั่วท้องฟ้า ฝนอุกกาบาตเพลิงโปรยปรายลงมาทั่วเมือง

แม้ว่าเมืองจะอยู่ในอากาศสูงมาก แต่ชาวเมืองก็ยังไม่อาจหลบเลี่ยงภัยพิบัติที่ตกลงมาจากฟากฟ้าได้

คลื่นความร้อนอันน่าสะพรึงกลัวจากท้องฟ้าแผดเผาทุกหนทุกแห่ง พัดกวาดทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้เป็นเถ้าถ่าน

เสียงตะโกนกรีดร้องของเผ่าปักษาดังขึ้นทั่วเมือง พวกเขาพากันบินหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มนุษย์นกที่ช้าเกินไปถูกเผาจนไม่เหลือแม้แต่เถ้าถ่าน

เมื่อคนที่โชคดีพอที่จะหลบหนีได้ทันเวลาหันกลับมา พวกเขาก็เห็นเพียงเมืองจมอยู่ในทะเลเพลิงจนหมดแล้ว

ใช่ ทั้งเมืองถูกทำลาย !

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้เชี่ยวชาญที่ทรงพลัง 2 คนปะทะกัน แค่คลื่นความผันผวนที่เป็นลูกหลงจากการต่อสู้ก็มากเกินพอที่จะทำลายเมืองทั้งเมืองแล้ว อีกทั้งเมืองเขามังกรก็เป็นเพียงเมืองเล็ก ๆ มันจึงไม่มีทางที่จะทนต่อการโจมตีระดับนี้ได้อยู่แล้ว

การปะทะกันระหว่างวิชาอาร์คาน่าระดับ 8 เทียบได้กับการปะทะกันระหว่าง 2 กองทัพใหญ่ ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นเรียกได้ว่าเป็นอยู่ในระดับเดียวกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนี้จึงไม่น่าแปลกใจมากเท่าที่ควร

และเพราะเหตุนี้ เผ่าพันธุ์ต่าง ๆ จึงได้ตกลงว่าเมื่อความแข็งแกร่งของเหล่าผู้เชี่ยวชาญมากจนถึงจุด ๆ หนึ่งแล้ว พวกเขาจะไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้บริเวณใกล้เคียงหรือในเขตเมือง

โชคร้าย ที่ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนบนโลกนี้ ก็มักจะมีเหล่าคนผู้ปฏิเสธที่จะทำตามกฎอยู่เสมอ

ซูเฉินเป็นมนุษย์ สำหรับเขาแล้วเผ่าพันธุ์อื่นทั้งหมดล้วนไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ชายหนุ่มไม่เคยใส่ใจเรื่องของอีกฝ่าย เพราะพวกเขาสามารถตายเพื่อสิ่งที่เขาห่วงใยได้ ดังนั้นซูเฉินจึงไม่เคยระวังผลจากการกระทำของเขาเป็นพิเศษ

สำหรับจือฮัวนู๋ ถึงนางจะเป็นเผ่าปักษาแต่นางก็เป็นสมาชิกของมือแห่งโชคชะตาที่เป็นองค์กรก่อการร้าย เป็นเรื่องธรรมดาที่นางจะไม่สนใจว่านางจะเผลอทำลายล้างอะไรไปหรือไม่

เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายไม่มีใครมีเหตุผลที่ต้องยั้งมือ การที่จะมีภัยพิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

เมืองที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายมีเพียงเมืองเขามังกร แน่นอนว่าตระกูลกุยซานนับรวมอยู่ในเมืองนี้ด้วย

พวกเขาเฝ้าดูสถานการณ์นี้มาตั้งแต่เริ่มด้วยตาของพวกเขาเอง แต่สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้คือวิ่งหนี !

ขณะที่พวกเขาหนีออกจากเมือง พลางเฝ้ามองดูเมืองจมลงสู่ทะเลเพลิงจากที่ไกล ๆ พวกเขาก็ได้แต่แอบคร่ำครวญและถอนหายใจอยู่ข้างในใจ

ทั้งตระกูลของพวกเขาก็ลุกเป็นไฟไปแล้ว

ถึงอย่างนั้น การต่อสู้ก็ยังคงดำเนินต่อไปอย่างดุเดือด โดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุดลง

เงาร่างของคน 4 คนบินฉวัดเฉวียนอยู่บนท้องฟ้า ปลดปล่อยการโจมตีที่รุนแรงใส่กัน

ตอนนี้การต่อสู้ได้มาถึงจุดที่ไม่มีใครคิดที่จะเป็นฝ่ายที่ยอมถอยอีกต่อไป

ทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็ปลดปล่อยวิชาอาร์คาน่าที่ทรงพลังยิ่ง ออกมาอย่างต่อเนื่องวิชาต่อวิชา ซูเฉินอาศัยดาบเพลิงขนาดใหญ่เป็นหลัก และใช้วิชาอาร์คาน่าอื่น ๆ ปะปนลงไปในการโจมตีเป็นครั้งคราว ทั้งวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายทั้งสนามพลังกระแสแสง ฯลฯ ความชำนาญและความแข็งแกร่งของซูเฉิน ทำให้จือฮัวนู๋กับพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงรู้สึกตกตะลึงอย่างมาก

แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือ เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จือฮัวนู๋ก็พบว่าพลังของนางกำลังค่อย ๆ หมดลง

ใช่ นางกำลังจะหมดแรง !

แม้ว่าหงส์เพลิงนิพพานของนางจะทรงพลัง แต่มันก็เปลืองพลังงานอย่างมาก หลังจากที่ใช้งานวิชานี้อย่างต่อเนื่อง พลังของนางก็เหลือไม่เพียงพอที่จะใช้อีกต่อไป

ซูเฉินยังคงกวัดแกว่งดาบของเขาราวกับว่าเขาลืมเรื่องดังกล่าวไปแล้ว ดาบศิราทองคำกินพลังน้อยกว่าหงส์เพลิงนิพพานมาก แต่ถึงมันจะกินพลังงานพอ ๆ กัน ด้วยกำลังของซูเฉินแล้ว เขาก็สามารถอยู่ได้นานกว่าจือฮัวนู๋อยู่ดี

ผลตัดสินการต่อสู้ครั้งนี้ จือฮัวนู๋ได้ถูกกำหนดให้เป็นฝ่ายพ่ายแพ้

นางรู้ว่าตนกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายมาก หลังจากปล่อยหงส์เพลิงนิพพานครั้งสุดท้ายออกไป นางก็บินถอยหลังไปด้วยความเร็วเต็มที่เพื่อหลบหนี

เมื่อซูเฉินเห็นเช่นนั้น เขาก็ยิ้ม “อยากหนีแล้ว ? ไม่คิดว่ามันสายเกินไปหน่อยหรือ ?”

ขณะที่พูดดาบในมือเขาก็ฟาดตรงเข้าหาจือฮัวนู๋

ดวงตาของจือฮัวนู๋ทอประกายแสงวูบ ก่อนที่ร่างของนางกลายเป็นกลุ่มเปลวเพลิง ลูกไฟขนาดใหญ่พุ่งขึ้นไปในอากาศ มันพยายามอย่างยิ่งที่จะหลบหนีออกจากสนามรบไป

ซูเฉินมองนางอย่างดูถูก “เจ้าไม่อาจเอาชนะข้าได้ในแง่ของพลัง ส่วนในแง่ของความว่องไวแล้วนั้น… ยิ่งแย่กว่าอีก”

ดาบศิราทองคำฟาดใส่อากาศเบื้องหน้าเขา

ถึงการโจมตีนี้จะดูเหมือนฟันทะลุอากาศที่ว่างเปล่า แต่เสียงกรีดร้องที่ฟังดูเจ็บปวดของจือฮัวนู๋กลับดังขึ้น ขณะที่เปลวเพลิงของนางกระแทกเข้ากับดาบศิราทองคำด้วยตัวเอง การที่จือฮัวนู๋ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้มันแสดงให้เห็นว่าการโจมตีนี้มีพลังเทียบเท่าวิชาระดับ 8 จริง ๆ

นางกลับคืนร่างเดิมอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปากด้วยใบหน้าซีดเผือด

เมื่อพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงเห็นดังนั้น พวกเขาก็ชำเลืองมองกันก่อนจะกลายร่างเป็นสายลมสีขาวดำ 2 สายหลอมรวมกันเป็นพายุหมุนพัดออกไป ซูเฉินใช้ดาบศิราทองคำฟาดฟันใส่พวกเขาเช่นเดียวกัน ทว่าการโจมตีนั้นกลับตัดผ่านไปตามสายลม ไม่สามารถเข้าถึงตัวพวกเขาได้เลย

“ต้านการโจมตีกายภาพ ?” ซูเฉินหรี่ตาด้วยความประหลาดใจ

พี่น้อง 2 คนนี้รับมือยากจริง ๆ

วิชาอาร์คาน่าเฉพาะตัวที่พวกเขาใช้เรียกว่าสายลมโกลาหล ซึ่งเป็นทั้งชื่อของ 2 พี่น้องและชื่อของวิชาอาร์คาน่าเฉพาะตัวที่มีมาแต่กำเนิด มันจะทำให้พวกเขาสามารถกลายร่างเป็นสายลม และทำให้การโจมตีทางกายภาพไม่มีผล มันจึงช่วยให้พวกเขาหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนย้ายผ่านอากาศได้เป็นช่วง ๆ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นวิชาสำหรับหลบหนีที่ยอดเยี่ยมยิ่ง

“ช่วยข้าด้วย !” จือฮัวนู๋ร้องตะโกน

พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงไม่สนใจเสียงร้องเรียกของนาง และยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งหนีต่อไป พวกเขาเป็นผู้ก่อการร้าย มิตรภาพย่อมไร้ความหมาย เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ระหว่างความเป็นความตายอยู่แล้ว

ซูเฉินยิ้ม “ไม่ต้องกังวล พวกเขาจะไม่ได้ไปไหนทั้งนั้น”

พูดจบเขาก็ยื่นมือขึ้นไปบนฟ้า ควบคุมอากาศรอบตัวเขาให้เริ่มหมุนวน

สุเมรุสูญ

กล่าวตามจริง วิธีนี้นับว่าค่อนข้างเสี่ยง เพราะวิชาสุเมรุสูญไม่ใช่ความลับที่ปกปิดมิดชิดขนาดนั้น หากมีคนที่รู้จักซูเฉินดีอยู่ที่นี่ พวกเขาย่อมสามารถเดาตัวตนที่แท้จริงของซูเฉินได้ในทันที

อย่างไรก็ตามจือฮัวนู๋กับพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงไม่ใช่คนที่รู้จักเขา และซูเฉินเองก็ไม่ได้คิดที่จะปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดไปอยู่แล้ว ผู้ที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ก็ได้แต่ดูอยู่จากที่ไกล ๆ เท่านั้น เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถเข้าใกล้ได้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่คนเหล่านั้นจะระบุวิชาที่ซูเฉินใช้ได้ นอกจากนี้สุเมรุสูญยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการใช้จัดการกับวิชาหลบหนีประเภทลมแบบนี้

ทันทีที่ซูเฉินเปิดใช้งานสุเมรุสูญ พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงก็รู้สึกในทันทีว่าพวกเขาเคลื่อนไหวได้ยากมากขึ้น

ไม่เพียงแค่นั้น เมื่อซูเฉินกำหมัด พื้นที่รอบ ๆ ตัวเขาก็หดแคบลง ฉุดดึงพายุหมุนกลับมาทางเขา

พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงพยายามดิ้นรนอย่างสิ้นหวัง แต่ซูเฉินก็ยังคงดึงพวกเขากลับมาทีละนิด สุเมรุสูญไม่เพียงแต่จะสามารถหยุดอีกฝ่ายจากการหลบหนี ทว่ายังป้องกันพวกเขาจากการเคลื่อนย้ายอีกด้วย

นี่คือตัวอย่างของศิษย์ที่มีความสามารถแซงหน้าอาจารย์ ฉือไคฮวงไม่สามารถจัดการปรมาจารย์อาร์คาน่าระดับ 6 เช่นนี้ได้

แต่ซูเฉินทำได้

ซูเฉินลากพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงกลับมาอยู่ด้านข้างเขา ก่อนจะรำพึงอย่างสนุกสนาน “ในเมื่อดาบศิราทองคำสร้างความเสียหายให้พวกเจ้าไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นลองสิ่งนี้ดูเป็นอย่างไร ?”

ในจังหวะที่เขากดมือซ้ายลง หงส์เพลิงสีดำสนิทก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หงส์สีดำตัวนี้มีขนาดเล็กกว่าหงส์เพลิงที่ผ่าน ๆ มาของเขามาก เปลวเพลิงจากดาบศิราทองคำที่ปกคลุมอยู่ทั่วบังมันจนมิด ทำให้ไม่มีใครมองเห็นหงส์สีดำนี้เลย ทว่าพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังของมัน เปลวเพลิงที่มีพลังกัดกร่อนอย่างรุนแรง มันไม่ใช่การโจมตีทางกายภาพเหมือนดาบศิราทองคำ 2 พี่น้องในร่างพายุจึงไม่อาจไม่ใส่ใจมันได้

พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงตะโกนอย่างหวาดกลัวขึ้นพร้อมกัน “ไม่ !”

ถึงพวกเขาจะเปลี่ยนร่างเป็นสายลมได้ ทว่าแม้แต่จะหนีจากเงื้อมมือของคู่ต่อสู้พวกเขาก็ยังไม่สามารถได้ ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับหงส์เพลิงสีดำนี้ พวกเขาจึงไม่อาจต่อต้านได้เลย

อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ก็พบว่าพวกเขาไม่สามารถคืนร่างกลับไปเป็นร่างกายเดิมของพวกเขาได้ สุเมรุสูญของซูเฉินบีบพวกเขาเอาไว้แน่นจนไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงทำได้เพียงอดทนต่อการเผาไหม้อันรุนแรงของเปลวเพลิงสีดำไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

“อ้าก !” พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ทำให้จือฮัวนู๋ที่ได้ยินใจสั่น

“ไว้ชีวิตเราด้วย ! พวกข้ายินดีรับใช้ท่าน !” พี่น้องชัวหลวนจือเฟิงตะโกนอย่างสิ้นหวัง

“ข้าไม่ต้องการ” ซูเฉินตอบกลับอย่างเย็นชา

ซูเฉินไม่ต้องการให้คนที่สามารถละทิ้งพวกพ้องของตนเองได้ในทันทีมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

ขณะที่เปลวเพลิงสีดำยังคงแผดเผาต่อไป เสียงโหยหวนของพี่น้องชัวหลวนจือเฟิงเริ่มค่อย ๆ เงียบลง จนในที่สุดก็เงียบหายไปพร้อมกับสายลมสีขาวดำ

พวกเขาถูกทำลายไปทั้ง ๆ แบบนั้น

เมื่อจือฮัวนู๋เห็นชะตากรรมของ 2 พี่น้อง นางก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เช่นเดียวกับเหล่าปักษาที่กำลังเฝ้าดูและสมาชิกของตระกูลกุยซานที่สามารถหลบหนีได้ออกมาได้ทัน

หลังจากที่ได้เห็นความสามารถอันทรงพลังต่อหน้าต่อตาตนเอง จะไม่ให้พวกเขารู้สึกตกใจและหวาดกลัวได้อย่างไร ?

บุคคลเช่นนี้เพียงแค่ยกมือก็สามารถสังหารพวกเขาทั้งหมดได้ในพริบตาแล้ว

ด้วยเหตุผล พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่คิดที่จะหลบหนีอีกต่อไป

เนื่องจากชิงเฮิ่นไม่ได้อนุญาตให้เขาหนี หากพวกเขาพยายามทำเช่นนั้นอีกฝ่ายอาจจะโกรธขึ้น และมันอาจกลายเป็นหายนะของตระกูลพวกเขาได้

วิธีที่ฉลาดที่สุดคือการยอมจำนนในทันที

หลังเห็นการตายของพี่น้องชัวหลวนจือเฟิง มนุษย์นกที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าทั้งหมดก็คุกเข่าลงอย่างหวาดกลัว

พวกเขาก้มหน้าคุกเข่าอยู่บนเมฆ ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะมองไปที่ซูเฉิน

ซูเฉินไม่สนใจพวกเขา และหันมองไปทางจือฮัวนู๋

“ถึงคราวของเจ้าแล้ว”

“ไม่ !” จือฮัวนู๋กรีดร้อง

นางรู้ว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้นกับตน เมื่อเห็นดาบสีทองในมือของอีกฝ่ายยกขึ้นอีกครั้ง จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่พ้น

จือฮัวนู๋ตัดสินใจที่จะอ้อนวอนเขา นางคุกเข่าลงบนพื้นและตะโกนออกไป “ข้ายอมจำนน !”

“ข้าไม่สน” ซูเฉินกล่าวขณะที่เขาฟาดดาบศิราทองคำลงมา

“ข้าสามารถมอบสมบัติทั้งหมดของข้าให้ท่านได้ !”

“ไม่จำเป็น” ดาบศิราทองคำกวาดผ่านอากาศเข้ามาใกล้ และอยู่ห่างไปจากศีรษะของจือฮัวนู๋เพียงแค่เอื้อม

“ขะ ข้าสามารถมอบทุกอย่างที่ข้ามีให้ท่านได้ ความรู้ ความแข็งแกร่ง ความมั่งคั่ง หรือแม้กระทั่งจิตวิญญาณของข้า!”

ดาบศิราทองคำหยุดชะงักลง ห่างจากศีรษะของจือฮัวนู๋ไปเพียงนิ้วเดียว

เหงื่อเย็นเฉียบไหลท่วมหลังจือฮัวนู๋ผู้หวาดกลัว

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าซูเฉินจะยังไม่มีความตั้งใจที่จะถอนดาบของเขากลับออกไป

เขาพูดอย่างเย็นชา “ข้อเสนอของเจ้ายังขาดอะไรอยู่”

การที่จือฮัวนู๋เต็มใจยกวิญญาณให้ มันหมายความว่านางยินดีที่จะมอบชีวิตนี้ให้เพื่อยืนยันความภักดีของนาง และยอมให้เขาควบคุมนางอย่างสมบูรณ์

แต่ถึงอย่างนั้น ซูเฉินก็ยังคงไม่ยอมรับนางง่าย ๆ

การควบคุมวิญญาณของผู้อื่นไม่ได้ไร้ค่าใช้จ่าย มันยังสร้างภาระบางอย่างให้ซูเฉินด้วย

ดังนั้นซูเฉินจึงต้องการจือฮัวนู๋พิสูจน์คุณค่าของนาง

ใช่ ต่อให้อยากเป็นทาสของเขา ก็ต้องพิสูจน์ว่ามีคุณสมบัติพอที่จะเป็นทาส

นั่นคือทัศนคติของซูเฉิน

นั่นคือความภาคภูมิใจและความเย่อหยิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา

จือฮัวนู๋รู้สึกขมขื่นในใจ

นางตกมาอยู่ในจุดที่ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะเป็นทาสของใครบางคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?

แต่นางก็ไม่ได้อยากตาย เพราะนางได้ลิ้มรสชีวิตที่มีความสุขดีมาแล้ว นางจึงไม่อยากจากโลกนี้ไปทั้งอย่างนั้น

หากยังมีชีวิตอยู่ ก็ยังมีโอกาส

ด้วยเหตุนี้จือฮัวนู๋จึงเลือกที่จะกล่าวว่า “ข้าสามารถช่วยท่านจัดการกับปัญหาของมือแห่งโชคชะตาได้”

“โอ้ ?” ซูเฉินหรี่ตาลง

จือฮัวนู๋กล่าวต่อ “ข้ายอมรับว่าท่านแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ท่านก็ยังไม่ใช่ปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนาน ในระดับสูงของมือแห่งโชคชะตามีปรมาจารย์อาร์คาน่าในตำนานอยู่ แม้ว่าวันนี้ชัยชนะจะเป็นของท่าน แต่มือแห่งโชคชะตาก็อาจส่งผู้เชี่ยวชาญที่มีพลังมากกว่ามาแทนอีกจริงหรือไม่ ?”

เป็นคำพูดที่มีเหตุผลดี

“แล้วเจ้าคิดจะรับมือกับมือแห่งโชคชะตาอย่างไร ?” ซูเฉินถาม

“ไม่ใช่เรื่องยากนัก ข้าจะเขียนจดหมายถึงมือแห่งโชคชะตา โดยบอกกับพวกเขาว่าข้าได้เอาชนะและจับตัวท่านไว้แล้ว เท่านี้เรื่องนี้ก็จะคลี่คลายลง”

“แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องรู้ความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนจำนวนมากเห็นเหตุการณ์นี้”

“ดังนั้นเราจึงต้องลงมืออย่างรวดเร็ว… เราเปิดแดนลับของอวี้ชิงหลานก่อนที่พวกเขาจะรู้ตัวเป็นเช่นไร ? แน่นอน ถ้าท่านไม่ต้องการให้สิ่งต่าง ๆ ซับซ้อนขนาดนั้น ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง… ฆ่าพยานทั้งหมดทิ้งเสีย” จือฮัวนู๋ยิ้ม