ตอนที่ 717 จงใจยั่วยุ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

พลังของเฟยเฟยอ่อนแอลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ร่างกายพองโตอย่างที่สุดจนแทบระเบิดได้ทุกเวลา

ฟุ่บ~

ด้วยเสียงตัดอากาศที่แผ่วเบา ฉินอวี้โม่ผู้ซึ่งกระเด็นออกไปไกลก่อนหน้านี้ก็พุ่งกลับมาปรากฏตัวข้างกายเฟยเฟยอย่างรวดเร็ว

พลังมายาจากทั่วทั้งร่างกายของนางเอ่อล้นออกมาก่อนรวมตัวกันที่มือข้างขวาและจับไปที่หัวไหล่เล็ก ๆ ของเฟยเฟยขณะต้านทานพลังงานร้อนรุ่มของบุปผาแห่งแสงไว้

นางไม่ลังเลแม้แต่น้อยและปลดปล่อยพลังวิเศษของกายเทพมายาออกไปอย่างเต็มพิกัดเพื่อให้พลังมายาที่รายล้อมอยู่รอบตัวหลั่งไหลเข้ามาในร่างของตนแทน

“พี่อวี้โม่ !”

เฟยเฟยผู้ซึ่งอยู่ในสภาพอ่อนแออย่างยิ่งก็รับรู้ได้ถึงสถานการณ์ของฉินอวี้โม่และโพล่งออกไปทันทีพร้อมทั้งรีบฟื้นฟูเรี่ยวแรงขึ้นมาบางส่วน

“เฟยเฟย อย่ายอมแพ้ เจ้าจะไม่เป็นอะไร”

ฉินอวี้โม่คลี่รอยยิ้มมั่นใจและพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดภายในร่างกายไว้ ร่างกายของนางก็เปลี่ยนกลายเป็นเหมือนกระแสวนที่ดูดกลืนพลังงานรอบตัวเข้ามาอย่างบ้าคลั่งส่งผลให้เกิดการผันผวนที่รุนแรงในร่างกายของนาง ด้วยการที่นางมีสภาวะร่างกายที่พิเศษอย่างกายเทพมายา ร่างกายของนางจึงสามารถรองรับพลังมายาได้ทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ครานี้พลังมายาเหล่านั้นที่เข้ามาในร่างของนางกลับต่อต้านขัดขืนโดยที่ไม่สามารถผสานเข้ากับพลังเดิมของนางได้เลย

“พี่อวี้โม่…”

เฟยเฟยทราบดีว่าฉินอวี้โม่กำลังรับมือกับความเจ็บปวดที่รุนแรงเพียงใดและได้เพียงเอ่ยกระซิบแผ่วเบาก่อนที่จิตใจมุ่งมั่นยิ่งกว่าเดิม

“บุปผาแห่งแสง ข้าจะต้องควบคุมพลังของเจ้าให้ได้ !”

เด็กสาวหลับตาลงและอำนาจจิตของนางก็พุ่งสูงขึ้นอีกครั้งเพื่อต่อสู้กับบุปผาแห่งแสงที่ดื้อด้าน

อู๋ฉง ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ ทำได้เพียงมองดูสถานการณ์ของสตรีทั้งสองอย่างจนปัญญา อันที่จริงพวกเขาก็ต้องการเข้าไปช่วยด้วยตัวเองแต่ก็พบว่าไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้แม้แต่ก้าวเดียว ฉินอวี้โม่และเฟยเฟยถูกห้อมล้อมโดยพลังงานที่เกรี้ยวกราดและรุนแรง แม้พวกเขาถือว่าแข็งแกร่งมากพอสมควร ทว่าหากเข้าไปใกล้มัน พวกเขาจะเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่านไปในชั่วพริบตา

หลังจากดูดกลืนพลังมายาจนมากเกินไป ร่างของฉินอวี้โม่ก็เริ่มพองโตขึ้น นางสัมผัสได้ว่าเส้นลมปราณในร่างก็เริ่มบวมเป่งขึ้นเช่นกันราวกับพวกมันจะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ

ในทางกลับกัน พลังของบุปผาแห่งแสงก็ไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแอลงเลยสักนิด แม้จิตใจของเฟยเฟยจะกลับมาหนักแน่นเช่นเดิม นางก็แทบไม่สามารถรับมือกับบุปผาแห่งแสงได้เลย

เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ !

อากาศรอบ ๆ ก็ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าเลวร้ายทีเดียว

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว บรรดาอสูรมายาหลายตัวซึ่งกำลังบ่มเพาะฝึกวิชาก็ล้วนสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ของผู้เป็นนาย

“เราจะทำอย่างไรกันดี…เราจะทำอย่างไรกันดี ?!”

เสี่ยวเฮยและอสูรอื่น ๆ ทำได้เพียงหันไปหันมาอย่างกระสับกระส่ายและไม่ทราบเลยว่าควรทำอย่างไร

“พี่ซิวก็เข้าไปเก็บตัวจำศีลแล้ว ไม่เช่นนั้นเราคงมีทางรับมือกับสถานการณ์นี้ได้แน่ !”

ในการต่อสู้กับมังกรดึกดำบรรพ์ก่อนหน้านี้ได้เปิดวิสัยทัศน์ใหม่ให้กับซิวและในช่วงเวลาที่เฟยเฟยกำลังต่อสู้กับบุปผาแห่งแสงอยู่นั้น จู่ ๆ มันก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบางอย่างในร่างกายและตัดสินใจเข้าสู่สภาวะจำศีลเป็นการชั่วคราว หานอวี้และเสี่ยวม่านก็ติดตามหานโม่ฉือไปยังฐานทัพของฝ่ายมาร ซึ่งพวกมันที่เหลือไม่ทรงพลังมากพอที่จะทำอะไรได้

“เสี่ยวโพธิ์ก็เข้าสู่ช่วงการเจริญเติบโตเร็วกว่ากำหนดและตอนนี้ก็ยังอยู่ในสภาวะหลับใหล”

มารยาขมวดคิ้วมุ่นเล็กน้อย แม้มันจะมีความรู้กว้างขวางมากมาย มันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนนี้ หากต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หลับไป มันก็อาจมีหนทางสักอย่างในการรับมือกับบุปผาแห่งแสง ถึงอย่างไรแล้วบุปผาแห่งแสง บุปผาแห่งความมืดและต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็มีการเชื่อมโยงบางอย่างกันอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เสี่ยวโพธิ์เข้าสู่สภาวะหลับใหลส่งผลให้ไม่สามารถพึ่งพาพลังของมันได้เลย

“มารยา ผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์”

ทันใดนั้น เสียงของฉินอวี้โม่ก็ดังขึ้นในหูของมารยา ต้นโพธิ์คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์และผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ก็คือผลผลิตของมันซึ่งมีพลังลึกลับอย่างที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น นางก็สัมผัสได้ลาง ๆ ว่าบุปผาแห่งแสงมีสติรับรู้เป็นของตนเองแล้ว สาเหตุที่เฟยเฟยไม่สามารถหลอมรวมพลังของมันได้สำเร็จเป็นเพราะจิตดังกล่าวกำลังต่อต้านอยู่

“นายหญิง รับไปเลย”

มารยารีบเอาผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาจากเสี่ยวโพธิ์และโยนตรงไปให้ฉินอวี้โม่โดยเร็ว มันก็แช่แข็งผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นกันและปลดปล่อยไอความเย็นออกมาเพื่อให้แนบติดกับมือของฉินอวี้โม่

แม้ไม่สามารถช่วยได้มากนัก อย่างน้อยที่สุดมันก็พอจะช่วยต้านทานคลื่นความร้อนที่แผ่ออกมาจากบุปผาแห่งแสงเพื่อให้ฉินอวี้โม่รู้สึกแสบร้อนน้อยลง

ผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์มาอยู่ในมือของฉินอวี้โม่แล้วและในที่สุดพลังมายาทั่วทั้งร่างของนางก็เสถียรคงที่มากขึ้น ผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ดูดซับเอาพลังมหาศาลรอบตัวและแบ่งเบาภาระของนางไปได้มาก

“เจ้ามนุษย์ เจ้ามีผลโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ?!”

เสียงหนึ่งดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่ มันคือเสียงหวานกังวานที่ชัดเจนของสตรี ทว่าเสียงนี้ก็เจือไปด้วยจิตสังหารเช่นกัน

“เจ้าคือบุปผาแห่งแสงสินะ”

ฉินอวี้โม่คาดเดาออกมาทันทีและมั่นใจว่าเสียงดังกล่าวจะต้องเป็นเสียงของบุปผาแห่งแสง

“บุปผาแห่งความมืดกำลังทำสิ่งชั่วร้ายต่อดินแดนของเรา ข้าได้พบกับต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญและตอนนี้มันก็อยู่ในคฤหาสน์ของข้า”

นางเพียงอธิบายอย่างเรียบง่ายเท่านั้น ในเมื่อบุปผาแห่งแสงมีสติรับรู้เป็นของมันเอง มันคงจะเข้าใจคำพูดของนางได้

“เหอะ อย่าคิดที่จะหลอกลวงข้า! พวกเราเทพพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามไม่มีวันก้มหัวให้ใครหน้าไหนและไม่มีทางปรากฏตัวให้ใครเห็นง่าย ๆ !”

บุปผาแห่งแสงแค่นเสียงเย็นชา เห็นได้ชัดว่ามันไม่เชื่อวาจาของฉินอวี้โม่เลยสักนิดและสาดวาจาตอบโต้โดยไม่ลังเล

“ต่อให้ไม่ยอมก้มหัวให้ผู้ใด เจ้าก็คงทนไม่ได้หากเห็นใครสร้างปัญหาความเดือดร้อนให้ผู้อื่น เทพพฤกษาทั้งสามเข้าสู่ระยะแรกของการเติบโตพร้อมกันและบุปผาแห่งความมืดก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายมาร เจ้าน่าจะคาดเดาได้ว่ามันจะเป็นอย่างไร เสี่ยวโพธิ์เองก็มีโชคชะตาผูกพันกับข้า มันจึงยินดีติดตามข้าและข้าไม่เคยบังคับให้มันทำสิ่งใดที่ฝืนใจ !”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับขณะเผชิญหน้ากับห้วงจิตของบุปผาแห่งแสงโดยไม่เผยให้เห็นความอ่อนแอใด ๆ

“เหอะ พวกมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เจ้าเล่ห์เป็นที่สุด ข้าไม่มีทางเชื่อคำพูดของเจ้า !”

บุปผาแห่งแสงยังคงไม่คล้อยตามและแค่นเสียงในลำคอ บุปผาแห่งแสงเป็นตัวตนที่ทั้งเย็นชาและหัวแข็ง กล่าวได้ว่ามันเป็นพฤกษาที่ทะนงตนมากที่สุดในบรรดาเทพพฤกษาทั้งสามและยากอย่างยิ่งที่ผู้ใดจะควบคุมมัน

“ต้นโพธิ์ หากเจ้าอยู่ในคฤหาสน์ของเจ้ามนุษย์ผู้นี้จริง ๆ จากนั้นก็ออกมาซะ เมื่อไหร่กันที่พวกเราเทพพฤกษาที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามจะต้องตกเป็นเครื่องมือของพวกมนุษย์ !”

เสียงของบุปผาแห่งแสงดังขึ้นและพยายามเรียกเสี่ยวโพธิ์ออกมา

“หุบปาก !”

ฉินอวี้โม่แค่นเสียงด้วยความหงุดหงิดใจและกล่าวต่อ “ไม่คิดเลยว่าบุปผาแห่งแสงจะเป็นตัวตนที่โง่เขลาถึงเพียงนี้ ทุกสิ่งในโลกล้วนมีวัฏจักรของเหตุและผล และทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาฟ้าลิขิต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เสี่ยวโพธิ์อยู่ในคฤหาสน์ของข้าหรือการเจ้าอยู่ในร่างของเฟยเฟยก็ล้วนแต่ถูกกำหนดไว้แล้ว ตอนนี้เฟยเฟยอยากจะหลอมรวมเข้ากับพลังของเจ้าก็เพียงเพราะต้องการใช้พลังของเจ้าเพื่อปกป้องผู้คนในดินแดนเทพมายาเท่านั้น มิใช่ว่าบุปผาแห่งแสงภาคภูมิใจในการนำพาแสงสว่างมาสู่ทุกสรรพสิ่งรึ ? ไม่คิดเลยว่ามันจะยอมปล่อยให้ผู้คนทั่วทั้งดินแดนต้องตายเพียงเพราะศักดิ์ศรีและความทะนงตนของตนเอง !”

พฤกษาทรงพลังทั้งสามล้วนแตกต่างไปจากตำนานที่เล่าขานกันมา มิใช่เรื่องแปลกที่บุปผาแห่งความมืดจะมีพลังลึกลับชั่วร้ายและถูกครอบครองโดยฝ่ายมารจนกลายเป็นสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ และแม้ต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จะบริสุทธิ์และจิตใจดี ทว่ามันก็มีความคิดจิตใจเป็นของมันเอง อย่างไรก็ตาม ในบรรดาพฤกษาทั้งสามชนิดนี้ เรียกได้ว่าบุปผาแห่งแสงเป็นพฤกษาที่รับมือและควบคุมได้ยากที่สุด

“ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเป็นคนดีหรือคนชั่ว ! อีกอย่าง..เหตุใดข้าจะต้องยอมให้เด็กสาวธรรมดา ๆ ผู้นี้ควบคุมพลังของข้าได้ !”

บุปผาแห่งแสงยังไม่คิดที่จะยอมจำนนและตกอยู่ในการควบคุมของผู้อื่น น้ำเสียงของมันยังแสดงถึงความเหยียดหยามอย่างชัดเจน มันคือหนึ่งในสามเทพพฤกษาที่ยิ่งใหญ่และจะไม่มีวันก้มหัวให้กับผู้ใด ตอนนี้การที่เด็กสาวอ่อนแอผู้นี้คิดจะกำราบมันนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ตลกสิ้นดี !

“ถ้าเช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงอยากอยู่ในร่างของเด็กสาวธรรมดา ๆ ผู้นี้ล่ะ? อย่าบอกข้านะ..ว่าเจ้าไม่รู้!”

ฉินอวี้โม่กล่าวและยิ้มเยาะ ในเมื่อบุปผาแห่งแสงมีสติรับรู้เป็นของมันเองและอาศัยอยู่ในร่างของเฟยเฟย มันก็ไม่มีทางที่บุปผาแห่งแสงจะไร้ความรู้สึกนึกคิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การที่เฟยเฟยดวงตามืดบอดไร้แสงใด เกรงว่าเป็นเพราะพลังของบุปผาแห่งแสงนี้เอง มันดูดซับพลังมายาที่มากเกินไปจนส่งผลให้ดวงตาของเฟยเฟยมืดบอดเป็นการชั่วคราวและไม่สามารถเชยชมความงามของโลกนี้ได้

“เหอะ การที่ข้าสิงสถิตอยู่ในร่างของนาง เด็กสาวผู้นี้ควรที่จะขอบคุณข้าด้วยซ้ำ หากมิใช่เพราะข้า นางก็คงจะตายไปนานแล้วและไม่มีทางอยู่มาได้นานถึงเพียงนี้”

บุปผาแห่งแสงแค่นเสียงเบา ๆ และกล่าวด้วยความทะนงตน มันไม่รู้สึกว่าตนเองทำสิ่งใดผิดไปเลยสักนิด

อย่างไรก็ตาม แรกเริ่มเดิมทีก็จริงอยู่ที่ร่างกายของเฟยเฟยมีบางอย่างที่ดึงดูดบุปผาแห่งแสง ในตอนนั้นบุปผาทะนงตนเพิ่งเข้าสู่ระยะแรกเริ่มและชีวิตของเฟยเฟยแขวนอยู่เส้นด้ายพอดิบพอดี เพราะเหตุนั้นโชคชะตาจึงทำหน้าที่ของมันและสุดท้ายมันจึงได้เข้ามาอยู่ภายในร่างของเด็กสาวผู้นี้

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันดูดซับพลังในร่างกายของเฟยเฟยอย่างต่อเนื่องจนตัวมันเองค่อย ๆ แกร่งกล้ามากขึ้นและเข้าใกล้ช่วงโตเต็มวัย สาเหตุที่ดวงตาของเด็กสาวมืดบอดก็เป็นเพราะมันอย่างแท้จริง

พลังของบุปผาแห่งแสงแกร่งกล้าจนเกินไปและร่างของเด็กสาวธรรมดาอย่างเฟยเฟยไม่สามารถรองรับได้ เพราะเหตุนั้น มันจึงระงับพลังส่วนหนึ่งของตนไว้บริเวณใกล้ดวงตาของเฟยเฟยส่งผลให้นางมองไม่เห็นเหมือนกับคนธรรมดาทั่วไป

ก่อนหน้านี้เมื่อรู้สึกได้ว่าเฟยเฟยพยายามจะควบคุมพลังของมัน บุปผาแห่งแสงจึงปลดปล่อยพลังที่ระงับไว้ออกมาและต้องการถือโอกาสนี้ครอบครองร่างของเฟยเฟยเพื่อฟื้นฟูกลับไปสู่สภาวะสูงสุดของตนเอง เพียงแต่มันคาดไม่ถึงเลยว่าเฟยเฟยจะมีจิตใจที่มุ่งมั่นและแกร่งกล้าถึงเพียงนี้ นางสามารถอดทนยื้อเวลามาได้นานถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังต่อกรกับมันได้ในระดับหนึ่ง

“ที่แท้บุปผาแห่งแสงก็เป็นพวกเห็นแก่ตัวนี่เอง หากเปรียบเทียบกัน เจ้ายังเลวร้ายยิ่งกว่าบุปผาแห่งความมืดเสียอีก !”

ฉินอวี้โม่หัวเราะในลำคอเบา ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันอย่างไม่ปิดบัง บุปผาแห่งแสงไม่คู่ควรแก่ชื่อเสียงที่ร่ำลือกันเลยสักนิด

“เจ้ามนุษย์ เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว !”

บุปผาแห่งแสงเกรี้ยวโกรธเดือดดาลในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีวันหนึ่งที่มันถูกเยาะเย้ยถากถางโดยมนุษย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้

“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์จึงยินดีติดตามเจ้า แต่หากเจ้าคิดที่จะควบคุมพลังของข้า เจ้าก็อย่าได้หวังไปเลย ! ไม่เพียงแต่ข้าจะฆ่าเด็กนี่เท่านั้น แม้แต่เจ้า ข้าก็จะไม่มีทางปล่อยให้เจ้ารอดออกไป !”

น้ำเสียงของบุปผาแห่งแสงในตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า เกียรติยศศักดิ์ศรีของมันมิใช่สิ่งที่ผู้ใดจะดูหมิ่นได้ง่ายๆ

“จะลองดูก็ได้ ข้าก็อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทรงพลังสักเพียงใด !”

ฉินอวี้โม่ไม่เกรงกลัวเลยสักนิดและกล่าวน้ำเสียงยั่วโทสะอย่างไม่ปิดบัง

“เหอะ เจ้าจะได้เห็นแน่ !”

บุปผาแห่งแสงแค่นเสียงในลำคอ และทันใดนั้น พลังบางอย่างก็รวบรวมอยู่ที่ไหล่ของเฟยเฟยและพุ่งเข้าไปในมือของฉินอวี้โม่ซึ่งจับอยู่บนไหล่ก่อนกระจายไปทั่วร่างของนาง

ตูมมม !

พลังมหาศาลในร่างกายของนางพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้งและฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าร่างกายของตนร้อนระอุราวอยู่บนกองไฟซึ่งเป็นความรู้สึกที่อึดอัดอย่างยิ่ง

“พี่อวี้โม่ ท่านจงใจยั่วยุให้บุปผาแห่งแสงแบ่งพลังของมันเข้าสู่ร่างกายของท่าน !”

เฟยเฟยลืมตาขึ้นมาและมองเห็นสตรีงดงามตรงหน้า ดวงตาของนางในตอนนี้ไม่มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาอีกต่อไป หากแต่ค่อย ๆ กลายเป็นนัยน์ตาธรรมดา วิสัยทัศน์การมองเห็นของนางกลับมาเป็นปกติแล้วและในที่สุดก็ได้มองเห็นโลกที่เต็มไปด้วยสีสันเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ

“หากเป็นเราทั้งสองคน เราก็น่าจะรับมือกับบุปผาแห่งแสงนี้ได้”

ฉินอวี้โม่เขย่ามือเฟยเฟยเบา ๆ เป็นจริงอย่างที่ว่า เมื่อครู่นี้นางจงใจกล่าววาจายั่วยุโทสะของบุปผาแห่งแสง นางทราบดีว่าด้วยเฟยเฟยเพียงคนเดียว ไม่มีทางที่เด็กสาวผู้นี้จะรับมือกับพลังของบุปผาแห่งแสง ทว่าหากมีนางร่วมด้วย โอกาสก็จะเพิ่มมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ฉินอวี้โม่ก็ต้องการพิสูจน์สิ่งหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่นางสงสัยใคร่รู้มาเนิ่นนาน…

“เราจะต้องทำได้แน่ !”

เฟยเฟยพยักหน้าหงึกหงักและจับมือฉินอวี้โม่ไว้แน่น บุปผาแห่งแสง…ข้าจะต้องควบคุมพลังของเจ้าให้จงได้ !

.