ตอนที่ 718 พลังลึกลับ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ ฉินอวี้โม่ เฟยเฟยและบุปผาแห่งแสงในร่างของเฟยเฟยก็ติดอยู่ในสถานการณ์ที่ชะงักงันไปชั่วขณะ

ร่างที่พองโตขึ้นของเฟยเฟยค่อย ๆ หยุดลงทว่าร่างของฉินอวี้โม่กลับพองขึ้นเรื่อย ๆ แทน พลังมายาที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายกำลังปะทะเข้ากับพลังมายาเดิมของนางอย่างต่อเนื่องซึ่งทำให้นางรู้สึกถึงความเจ็บปวดไม่น้อย

“เหอะ เจ้าพวกมนุษย์ต่ำต้อย ยังคิดที่จะสยบข้าผู้นี้ให้ได้รึ ? ช่างเป็นความคิดที่เพ้อฝันสิ้นดี !”

บุปผาแห่งแสงแค่นเสียงเย็นชา มันมิใช่สิ่งมีชีวิตที่จิตใจชั่วร้าย ทว่ามันเพียงทะนงตนและไม่ยอมให้ใครมาท้าทายอำนาจของมันได้ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ต้องการจะสยบหรือควบคุมมันถือเป็นการกระทำที่ล่วงเกินมันเป็นที่สุด เพราะเหตุนั้นจึงเป็นธรรมดาที่มันจะโกรธเคืองขึ้นมา

“เจ้าควรจะปิดปากเงียบและรอดูว่าพวกข้าจะตบใบหน้าของเจ้าอย่างไร !”

ฉินอวี้โม่ไม่แสดงท่าทีที่บ่งบอกถึงความอ่อนแอแม้แต่น้อยและยังคงกล่าววาจายั่วโทสะบุปผาแห่งแสงต่อไป

“เหอะ สามหาวยิ่งนัก ในเมื่ออยากจะช่วยเจ้าเด็กนี่มากนัก ข้าก็จะเริ่มจากเจ้าก่อน !”

บุปผาแห่งแสงแค่นเสียงเย็นชาและพลังอีกส่วนหนึ่งของมันพุ่งออกจากร่างเฟยเฟยและหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของฉินอวี้โม่อีกครั้ง

ร่างของเฟยเฟยในตอนนี้ค่อย ๆ หดเล็กลงตามเดิมทว่ากลับเป็นร่างของฉินอวี้โม่ที่พองโตขึ้นเรื่อยๆ  หากสถานการณ์ยังดำเนินต่อไปเช่นนี้ เกรงว่าร่างของนางคงจะระเบิดในเวลาอีกไม่นาน !

“นายหญิง !”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว เหล่าอสูรที่จับตาดูสถานการณ์อย่างไม่วางตาก็ตะโกนออกมาทันทีและต้องการออกมาช่วยผู้เป็นนาย

“ไม่ต้องห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร”

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่กล่าวหยุดความคิดของพวกมันไว้ก่อน มีสิ่งหนึ่งที่นางต้องการพิสูจน์มาตลอดและตอนนี้บุปผาแห่งแสงก็มอบโอกาสนั้นให้กับนาง

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ !”

ฉินเฟิงและคนอื่น ๆ มองดูร่างที่แทบจะระเบิดออกมาของฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาปลดปล่อยการโจมตีตรงไปที่ม่านพลังอย่างต่อเนื่องและต้องการเข้าไปข้างในเพื่อช่วยนาง อย่างไรก็ตาม แม้แต่พลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดของพวกเขาก็ไม่สามารถฝ่าทำลายม่านพลังนั้นและทำได้เพียงมองดูอยู่ข้างนอกด้วยความกังวลใจ

“หึ อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทนได้นานเพียงใด !”

น้ำเสียงเยือกเย็นไม่แยแสของบุปผาแห่งแสงดังขึ้นในหูของฉินอวี้โม่พร้อมด้วยจิตสังหารแรงกล้าอย่างมิอาจปิดบัง

“ถ้าเช่นนั้นก็ดูให้ดีเถอะ !”

ฉินอวี้โม่เม้มปากเล็กน้อยและสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังจะถูกปลุกขึ้นมาภายในร่างกาย…

“พี่อวี้โม่!”

เฟยเฟยสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นและพยายามดึงพลังของบุปผาแห่งแสงกลับคืนมาแต่ก็พบเพียงว่าพลังของตนอ่อนแอเกินกว่าจะควบคุมบุปผาแห่งแสงได้ เวลานี้เด็กสาวนึกละอายใจขึ้นมา หากทราบก่อนว่าฉินอวี้โม่จะติดร่างแหไปด้วยและได้รับอันตรายจากเรื่องนี้ นางก็คงไม่คิดผสานพลังเข้ากับบุปผาแห่งแสงอย่างวู่วามเช่นนี้

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล”

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบางและกล่าวปลอบประโลมเพื่อมิให้เฟยเฟยกังวล

“ช่วยไม่ได้ ข้าผู้นี้เพียงต้องการหยุดยั้งการกระทำของเด็กสาวผู้นี้เท่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าที่เป็นเพียงจอมยุทธ์นภาเซียนขั้นสูงสุดจะกล้าเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้”

บุปผาแห่งแสงแสยะยิ้มเย้ยหยัน ในสายตาของมัน ราวกับว่าพลังในขอบเขตนภาเซียนขั้นสูงสุดมิใช่พลังที่คู่ควรแก่การกล่าวถึงเลย

ฉินอวี้โม่ไม่สนใจวาจาเย้ยหยันดังกล่าวแต่อย่างใดขณะแผ่พลังวิญญาณเข้าไปในส่วนลึกของร่างกายตนเอง

“เจ้ายังไม่คิดจะออกมาอีกงั้นหรือ…?”

นางพึมพำออกมาเบา ๆ ขณะสำรวจสถานการณ์ในร่างกาย ก่อนหน้านี้นางมักรู้สึกเสมอว่านอกเหนือจากกายเทพมายา ร่างกายของนางยังมีพลังลึกลับอื่นที่แอบแฝงอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็นชิงเหอในชีวิตก่อนหรือร่างคุณหนูสี่ในภพนี้ ฉินอวี้โม่ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังลึกลับนั้นอยู่ด้วยเสมอ นางคาดเดาว่าพลังดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของนาง ทว่าก็มิอาจมั่นใจได้

ในภพก่อน นางใช้พลังอำนาจทั้งหมดเพื่อพยายามสังหารผู้นำฝ่ายมาร ในตอนนั้นนางสัมผัสได้ว่าพลังลึกลับนั้นต้องการที่จะออกมาปกป้องนาง เพียงแต่ไม่อาจทราบได้ว่าเพราะเหตุใดมันจึงไม่ปรากฏให้เห็น ในชีวิตปัจจุบันนี้ แม้พลังดังกล่าวไม่เคยปรากฏขึ้นมา ทว่าเมื่อนางพัฒนาพลังขึ้นมาในระดับสูงขึ้น นางก็สัมผัสถึงมันได้อย่างเลือนราง เพราะเหตุนั้นนางจึงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อพิสูจน์ว่าพลังดังกล่าวจะปรากฏขึ้นหรือไม่

อย่างไรก็ตาม หลังจากรอนานหนึ่งก้านธูป มันก็ยังไม่เกิดความผิดปกติใดในร่างกาย หรือข้าจะเข้าใจผิดไป และร่างกายนี้ไม่มีพลังลึกลับใดแฝงอยู่เลย…

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา ดูเหมือนว่าจะมีข้อจำกัดบางอย่างกับพลังนั้นและไม่สามารถปลุกมันออกมาง่าย ๆ ทว่าเมื่อกำลังจะหาวิธีต่อไป จู่ ๆ นางก็ได้ยินน้ำเสียงตื่นตระหนกของบุปผาแห่งแสง

“นี่มันพลังอะไรกัน ?!”

น้ำเสียงของบุปผาแห่งแสงในตอนนี้ฟังดูตื่นตระหนกเจือหวาดกลัว เมื่อครู่นี้จู่ ๆ มันก็สัมผัสได้ถึงพลังที่แกร่งกล้าอย่างผิดปกติในร่างกายของฉินอวี้โม่ และพลังดังกล่าวก็น่าสะพรึงกลัวมากจนมีความคิดที่จะยอมจำนนผุดขึ้นมาในหัวของมัน

ตูมมม !

ทันใดนั้น พลังที่ยุ่งเหยิงและปั่นป่วนในร่างของฉินอวี้โม่ก็ถูกกลืนกินโดยพลังดังกล่าว ภายในส่วนลึกของจุดตันเถียนในร่างกายของนาง พลังมายาสีเหลืองสดใสเอ่อล้นออกมาและลบล้างพลังที่ยุ่งเหยิงทั้งหมดออกจากร่างกาย

รูปร่างของฉินอวี้โม่ค่อย ๆ กลับคืนสู่ปกติ ทว่าพลังภายในร่างก็ยังไม่สามารถไหลเวียนได้เหมือนอย่างเดิม

“คิดไว้ไม่มีผิด เจ้ามีอยู่จริง…เพียงแต่พลังอะไรกันที่ถูกปิดผนึกไว้ในร่างกายของข้า ?”

ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวและยืนยันข้อสันนิษฐานของตนได้ในที่สุด ทว่านางก็อดสงสัยใคร่รู้ไม่ได้

นางไม่เคยเห็นพลังประเภทนี้มาก่อน ไม่ว่าจะในชีวิตก่อนหรือว่าในชีวิตนี้ นางก็ไม่เคยเผชิญกับพลังที่แกร่งกล้ามากเช่นนี้ ฉินอวี้โม่รู้สึกได้ว่าหากสามารถควบคุมพลังดังกล่าว นางก็จะมีพลังพอที่จะกวาดล้างทั่วทั้งดินแดนเทพมายาได้ แม้แต่ฮวาเฉินที่อยู่ต่อหน้านางก็จะไม่ต่างไปจากมดตัวหนึ่ง

เพียงแต่พลังดังกล่าวลึกลับจนเกินไปและมันถูกผนึกไว้ในร่างกายของนางโดยใครสักคน บางทีนางอาจต้องรอจนกระทั่งพบโอกาสบางอย่างเพื่อทำให้พลังลึกลับในร่างกายตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์และควบคุมได้อย่างอิสระ

“เป็นไปได้อย่างไรกัน ?! เหตุใดในร่างของเจ้าจึงมีพลังจากที่นั่นได้ ?!”

เสียงของบุปผาแห่งแสงกลายเป็นตื่นตระหนกมากขึ้นและมันสัมผัสได้ว่าพลังของตนกำลังถูกยับยั้งอย่างต่อเนื่อง พลังลึกลับจากร่างของฉินอวี้โม่ทรงพลังจนเกินไปและแม้แต่บุปผาแห่งแสงก็มิอาจต้านทานได้

“พลังจากที่ใดกัน ?”

ฉินอวี้โม่จับใจความประโยคของบุปผาแห่งแสงได้และดูเหมือนว่ามันจะรู้อะไรบางอย่าง…

อย่างไรก็ตาม นางไม่ได้รับคำตอบจากบุปผาแห่งแสง จู่ ๆ มันก็นิ่งเงียบไปและไม่เอ่ยปากส่งเสียงอีกเลย

“บุปผาแห่งแสง เจ้ากำลังพูดถึงที่ใด ?”

ฉินอวี้โม่เอ่ยถามอีกครั้ง ตราบใดที่ทราบแหล่งที่มาหรือต้นกำเนิดของพลังดังกล่าว นางก็อาจจะสืบทราบความจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของตนเอง

ในชีวิตภพก่อน นางคือชิงเหอ อาจารย์ของนางในตอนนั้นก็บอกเพียงว่านางเป็นเด็กกำพร้าที่ไร้ซึ่งบิดาและมารดา นางก็เชื่อเช่นนั้นมาโดยตลอดและไม่เอ่ยถามหรือสงสัยสิ่งใดขณะเติบโตขึ้นในการดูแลของอาจารย์ผู้นั้น ทว่าเมื่อนึกย้อนกลับไปในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์ไม่ต้องการบอกนางและทุกครั้งที่นางกล่าวถึงบิดามารดาของนาง สีหน้าของอาจารย์ก็มักแสดงความรู้สึกซับซ้อนอยู่เสมอ เชื่อว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงในอดีตของนางคงจะไม่ธรรมดาแน่

แม้หลังจากจุติและเกิดใหม่ พลังดังกล่าวก็ยังคงติดตามมากับนาง ฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าสิ่งนี้จะต้องเป็นไปตามชะตาฟ้าลิขิตอย่างแน่นอน บางทีการล่มสลายและสิ้นชีวิตไปเมื่อพันปีก่อนก็อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์กำหนดมาแล้วและอาจารย์ของนางก็คาดการณ์ไว้ก่อนเช่นกัน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่เกี่ยวข้องกับจุดกำเนิดของนาง…

“แม่นางเอ๋ย บางทีเจ้าอาจจะคิดถูกแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนถูกลิขิตไว้!”

บุปผาแห่งแสงนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนส่งเสียงอีกครั้ง เพียงแต่ครานี้ความทะนงตนที่เคยมีหายสาบสูญไปอย่างสิ้นเชิงและเหลือเพียงความอับจนปัญญาเท่านั้น

บางสิ่งบางอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว ต่อให้เป็นสิ่งที่ทรงพลังอย่างบุปผาแห่งแสงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้ การที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเฟยเฟยในวันนี้ เกรงว่ามันอาจถูกลิขิตไว้ก่อนแล้วเช่นกัน คนจาก ‘ที่แห่งนั้น’ มิใช่ตัวตนที่มันจะยั่วยุได้และมันก็ไม่มีทางทำเช่นนั้นเด็ดขาด เคราะห์ร้ายเหลือเกินที่มันยังต้องเกี่ยวข้องกับคนจาก ‘ที่แห่งนั้น’ อย่างมิอาจหลุดพ้นได้

“แม่สาวน้อย รีบผสานพลังเข้ากับข้าเถอะ ข้าจะไม่ต่อสู้ขัดขืนอีก หลังจากนี้หวังว่าข้าจะช่วยเจ้าได้ !”

บุปผาแห่งแสงกล่าวทิ้งท้ายและคลื่นพลังของมันก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงจนราวกับว่าห้วงจิตของมันสลายหายไป

“บุปผาแห่งแสง ที่แห่งนั้นคือที่ใดกัน ?”

แน่นอนว่าฉินอวี้โม่รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น วาจาและการกระทำของบุปผาแห่งแสงทำให้นางสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับ ‘ที่แห่งนั้น’ มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพยายามเอ่ยถามซ้ำ ๆ เพียงใด บุปผาแห่งแสงก็ไม่กล่าวสิ่งใดอีก เมื่อเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง พลังงานทั้งหมดในอากาศก็สลายหายไปอย่างสิ้นเชิงและบุปผาแห่งแสงก็ถูกเฟยเฟยสยบได้สำเร็จ

“พี่อวี้โม่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ ?”

เมื่อครู่นี้ ฉินอวี้โม่และบุปผาแห่งแสงสื่อสารกันผ่านทางกระแสจิต เฟยเฟยจึงไม่ทราบบทสนทนาเหล่านั้น ในตอนนี้นางควบคุมบุปผาแห่งแสงได้สำเร็จและโล่งใจเป็นที่สุด เด็กสาวลืมตาขึ้นและจับมือฉินอวี้โม่พร้อมมองสำรวจทั่วร่างอย่างพินิจพิจารณาพลางเอ่ยถามด้วยความกังวล

“ไม่เป็นไร”

ฉินอวี้โม่เพียงแตะหลังมือเฟยเฟยเบา ๆ และรู้สึกได้ว่าพลังลึกลับในร่างของตนหายไปอีกครา มันกลับสู่ส่วนลึกของจุดตันเถียนเช่นเดิมราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจนได้พิสูจน์แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มิใช่เป็นเพียงภาพลวงตา

เห็นได้ชัดว่าบุปผาแห่งแสงไม่ต้องการตอบคำถามนั้น ฉินอวี้โม่ก็คิดว่ามันอาจเป็นเพราะยังไม่ถึงเวลาที่สมควรหรือว่ามันหวาดหวั่นต่อ ‘ที่แห่งนั้น’ มากเกินไป ทว่าสิ่งที่ทำให้ฉินอวี้โม่ฉงนสงสัยมากที่สุดคือซิว เสี่ยวโพธิ์ รวมถึงอสูรมายาอื่น ๆ ของนางดูจะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพลังลึกลับในร่างกายของนางเลยสักนิด…

“อวี้โม่ เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ?!”

ทันทีที่ม่านพลังรอบ ๆ สลายหายไป ฉินเหยียนและคนอื่น ๆ ก็รีบปรี่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของทุกคนในตอนนี้แสดงถึงความกังวลอย่างที่สุด

“ไม่ต้องห่วง ทุกคน…ข้าสบายดี”

ฉินอวี้โม่โบกมือเพื่อมิให้พวกเขาต้องกังวล ทว่านางก็หยุดคิดเรื่องพลังลึกลับนั้นไปเช่นกัน ในเมื่อมันปรากฏขึ้นมา นั่นก็หมายความว่าข้อจำกัดบางอย่างได้ถูกคลายออกแล้ว และในเมื่อปรากฏครั้งหนึ่งแล้ว ในอนาคตมันก็จะต้องปรากฏออกมาอีก และหากมันเกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของนางจริง ฉินอวี้โม่ก็จะต้องสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับมันให้จงได้ !

“ดีแล้ว ดีแล้วล่ะ”

อู๋ฉงและจางหยวนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเช่นกัน ทั้งสองมองเฟยเฟยตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าหลายคราและกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลน้อย ๆ “หนูน้อยเฟยเฟย เจ้าควบคุมบุปผาแห่งแสงได้สำเร็จแล้วจริง ๆ หรือ ?”

ในเมื่อสภาพแวดล้อมโดยรอบกลับคืนสู่ปกติ พวกเขาก็คิดว่าเฟยเฟยน่าจะผสานพลังเข้ากับบุปผาแห่งแสงได้สำเร็จดังที่ต้องการ

“เจ้าค่ะ ขอขอบคุณท่านลุงผู้นำเกาะและท่านป้าที่ดูแลข้ามาตลอดหลายปี”

เฟยเฟยก้าวออกไปข้างหน้าและเขย่ามือทั้งสองเบา ๆ พร้อมกะพริบตา

“หนูน้อยเฟยเฟย ดวงตาของเจ้า…เจ้ามองเห็นแล้วรึ ?”

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเด็กสาวตรงหน้า อู๋ฉงและจางหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวด้วยสีหน้ามีความสุข แม้ฉินอวี้โม่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าสถานการณ์อาจเป็นเช่นนี้ ทว่าเมื่อดวงตาของเฟยเฟยสามารถมองเห็นได้เหมือนปกติ ทั้งสองก็ยังประหลาดใจไม่น้อย

“เจ้าค่ะ ข้าควบคุมพลังของบุปผาแห่งแสงได้สำเร็จและตอนนี้สามารถข้ามองเห็นแล้ว”

เฟยเฟยยิ้มอย่างมีความสุข สีหน้าท่าทางและแววตาชัดใสทำให้ทุกคนสุขใจไปตาม ๆ กัน

ขณะยิ้มอยู่นั้น จู่ ๆ บางสิ่งบางอย่างก็ผุดขึ้นในความคิดของนาง

“บุปผาแห่งแสง เหตุใดเมื่อครู่นี้เจ้าจึงไม่ตอบพี่อวี้โม่ ? แล้วเหตุใดจู่ ๆ จึงยอมจำนนต่อข้าอย่างง่ายดายเช่นนี้ ?”

“เด็กน้อยเอ๋ย สำหรับบางสิ่งบางอย่าง การที่ได้รู้เร็วเกินไปก็มิใช่เรื่องดีสำหรับนาง อีกอย่าง…ข้าไม่ได้ยอมจำนนต่อเจ้า ทว่ายอมจำนนต่อนาง !”