ตอนที่ 719 กลับสู่นครล่าฝัน

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากพักอยู่ในเกาะไร้กังวลต่ออีกหลายวันและยังไม่ได้รับข่าวความคืบหน้าจากหานโม่ฉือ ฉินอวี้โม่จึงหารือกับฉินเฟิงและคนอื่น ๆ เพื่อวางแผนเดินทางกลับไปที่นครล่าฝันก่อน

บุปผาแห่งแสงถูกเฟยเฟยสยบได้สำเร็จแล้วและตอนนี้นางสามารถใช้พลังของมันได้ เพียงแต่พลังดังกล่าวก็ยังมิใช่พลังของบุปผาแห่งแสงในช่วงโตเต็มวัย

หลังจากคำนวณระยะเวลา พวกนางก็พบว่าบุปผาแห่งความมืดจะโตเต็มวัยภายในเวลาไม่ถึงครึ่งปี และเมื่อถึงตอนนั้น มันจะเป็นเวลาที่ฝ่ายของฉินอวี้โม่จะประจันหน้ากับฝ่ายมารในสงครามชี้เป็นชี้ตายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง

ด้วยการที่มีพลังของบุปผาแห่งแสง แน่นอนว่าเฟยเฟยต้องการติดตามฉินอวี้โม่กลับไปที่นครล่าฝันด้วยเช่นกัน เวลานี้ดวงตาของนางไม่มืดบอดอีกต่อไปและมองเห็นได้เช่นคนปกติแล้ว ทว่าเมื่อใดที่ใช้พลังของบุปผาแห่งแสง นัยน์ตาของนางจะเปลี่ยนกลายเป็นสีทองอร่าม นอกจากนี้ ในช่วงเวลาปกติทั่วไป แม้ว่าบุปผาแห่งแสงจะซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของเด็กสาวเช่นเดิม ทว่าตราบใดที่นางไม่กระตุ้นพลังของมันออกมา ต่อให้ฮวาเฉินมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ไม่มีทางค้นพบมันได้

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้าต้องหมั่นกลับมาที่เกาะไร้กังวลของเราด้วยนะ เราอาจไม่แข็งแกร่งพอที่จะช่วยในสงครามปะทะกับฝ่ายมาร ทว่าตราบใดที่มีสิ่งใดที่เราพอจะช่วยได้ เราก็ยินดีช่วย ขอเพียงแค่เจ้าเอ่ยมา”

อู๋ฉงรวมพลทุกคนในเกาะไร้กังวลมาเพื่อกล่าวอำลาฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ แม้เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ประมาณสิบวัน ผู้คนที่เป็นมิตรและจิตใจดีของเกาะไร้กังวลแห่งนี้ก็มองฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ เป็นคนของที่นี่เช่นกัน แน่นอนว่าคนเหล่านี้ก็ปรารถนาให้พวกนางอยู่ที่นี่ตลอดไป

“ท่านลุงผู้นำเกาะ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เมื่อสงครามในแผ่นดินใหญ่สิ้นสุดลง ข้าจะพาพี่อวี้โม่และเหล่าสหายกลับมาเยี่ยมเยือนที่นี่แน่ ข้าได้ยินมาว่าพี่อวี้โม่มีลูกสองคน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะพามาแนะนำให้พวกท่านรู้จักด้วยเจ้าค่ะ”

เฟยเฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้มทว่าแววตาเจือด้วยร่องรอยของความรู้สึกผิดไม่น้อย

นางทราบความจริงบางอย่างทว่ากำลังปิดบังมันจากฉินอวี้โม่ ในเวลานี้ บุปผาแห่งแสงยังไม่ได้ถูกนางสยบไปอย่างสมบูรณ์ ทว่ามันเพียงเลือกที่จะยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่เท่านั้น เฟยเฟยทราบถึงความจริงข้อนี้โดยที่ฉินอวี้โม่มิอาจล่วงรู้เลย ยิ่งไปกว่านั้น จากคำพูดของบุปผาแห่งแสง ชีวิตของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยปริศนาความลับมากมายและบางสิ่งบางอย่างแม้แต่นางเองก็ยังไม่อาจทราบได้ แม้จะรู้สึกผิดอยู่ในใจ เฟยเฟยก็เลือกที่จะปิดบังไว้

“ดีเลย ถ้าเช่นนั้นพวกเราจะเริ่มเตรียมของเล่นสนุก ๆ ไว้และมอบให้เจ้าหนูทั้งสองเมื่อมาถึงที่นี่”

อู๋ฉงและคนอื่น ๆ ยิ้มตอบด้วยใบหน้ามีความสุข

หลังจากบอกลาทุกคน ฉินอวี้โม่ก็พาเฟยเฟยเข้าไปในคฤหาสน์เฟิงหัวของตนก่อนขับเคลื่อนมันออกไป หลังจากนั้นทั้งคณะก็มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่ตั้งของนครล่าฝัน

“มิใช่เรื่องง่ายเลยที่พี่สาวของเจ้าจะมีสิ่งที่วิเศษเหล่านี้ได้…”

ภายในคฤหาสน์เฟิงหัว ทุกคนกำลังนั่งพูดคุยหัวเราะกันขณะดื่มน้ำชาและเสียงของบุปผาแห่งแสงก็ดังขึ้นในโสตประสาทของเฟยเฟย

ยิ่งใกล้ชิดกับฉินอวี้โม่มากเพียงใด มันก็ยิ่งได้เห็นชัดเจนมากขึ้นว่าฉินอวี้โม่ไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง นางไม่เพียงแต่มีกองทัพอสูรมายาที่ทรงพลังเท่านั้นทว่ายังมีอุปกรณ์วิเศษเหนือจินตนาการอย่างคฤหาสน์เฟิงหัว สิ่งที่เรียกว่ามิติที่สองนี้เรียกได้ว่าหายากอย่างที่สุดแม้ในดินแดนที่อยู่ในระดับสูงกว่าดินแดนเทพมายาก็ตาม

ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นต้นโพธิ์ศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณหอคอย หยกขาวพันปีและอสูรอื่น ๆ พวกมันก็ล้วนแต่เป็นของหายากอย่างที่สุดทั้งสิ้น ทว่าพวกมันทั้งหมดกลับรวมตัวกันอยู่ได้โดยที่มีฉินอวี้โม่เป็นจุดศูนย์กลาง ต้องกล่าวเลยว่าการได้ครอบครองสิ่งที่ทรงพลังมากมายนี้ต้องพึ่งพาโอกาสและโชคชะตาเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้กุมโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ไว้ซึ่งไม่เคยเห็นจากที่ใดมาก่อน ! พลังที่ซ่อนอยู่ในร่างกายของนางก็คือพลังของ ‘ที่แห่งนั้น’ เพียงคิดถึงข้อนี้ มันก็ตระหนักได้ว่าต้นกำเนิดของนางคงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…

“บุปผาแห่งแสง พ่อแม่ของข้าเป็นใค ร? แล้วเหตุใดข้าจึงปรากฏตัวอยู่ที่เกาะไร้กังวลได้ ?”

เฟยเฟยเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัยมากที่สุดจากบุปผาแห่งแสง บุปผาแห่งแสงถูกโอนถ่ายเข้ามาในร่างของนางโดยใครสักคนและสาเหตุที่ทารกน้อยเฟยเฟยในตอนนั้นปรากฏตัวที่เกาะไร้กังวลก็น่าจะเป็นเพราะคนผู้นั้นเช่นกัน บุปผาแห่งแสงมีสติรับรู้เป็นของมันเองและมันน่าจะทราบดีว่าคนผู้นั้นคือใคร แน่นอนว่าเด็กสาวสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของตนและอยากทราบว่าการปรากฏตัวที่เกาะไร้กังวลของตนเป็นเพราะเกิดปัญหาบางอย่างกับครอบครัวของนางหรือไม่ ?

“เด็กน้อยเอ๋ย ต้นกำเนิดของเจ้าน่ะ ข้าบอกได้เพียงว่ามันไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ในดินแดนระดับสูงและตกไปอยู่ในมือของคนผู้นั้นโดยบังเอิญ และเจ้าก็มิใช่คนของดินแดนเทพมายา สำหรับเรื่องที่ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครนั้น เจ้าจะได้รู้เองเมื่อถึงเวลา”

สำหรับตัวตนของเฟยเฟย บุปผาแห่งแสงไม่ต้องการบอกสิ่งใดมากนักและอธิบายเพียงสั้น ๆ อย่างไรก็ตาม หากกล่าวตามตรง เฟยเฟยเองก็มีความเชื่อมโยงบางอย่างกับคนจาก ‘ที่แห่งนั้น’…

จู่ ๆ ความสงสัยหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวใจของบุปผาแห่งแสง หรือคนผู้นั้นจงใจส่งมันและเฟยเฟยไปที่เกาะไร้กังวลตั้งแต่แรก ?

ฉินอวี้โม่ไม่ทันสังเกตเห็นสีหน้าประหลาดของเฟยเฟย แม้นางจะสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับพลังลึกลับในร่างของตนและ ‘ที่แห่งนั้น’ ที่บุปผาแห่งแสงกล่าวถึง นางก็มิได้คิดถึงมันมากนัก ฉินอวี้โม่ทราบดีว่าบางสิ่งบางอย่างก็ทำได้เพียงรอเวลาเท่านั้น และเมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง สิ่งที่สงสัยจะค่อย ๆ คลี่คลายด้วยตัวมันเอง สิ่งที่นางต้องทำในตอนนี้คือสะสางปัญหาเรื่องสำคัญในดินแดนเทพมาก่อนและออกตามหาเบาะแสของมารดา

ทุกคนพูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุขตลอดการเดินทาง หลังจากเวลาผ่านไปมากกว่าสิบวัน ทุกคนก็กลับถึงนครล่าฝัน

ณ นครล่าฝัน แน่นอนว่าทุกคนมีความสุขอย่างมากที่เห็นฉินอวี้โม่กลับมา

“ท่านแม่~”

ในตอนนี้เสี่ยวอ้ายฉือและเสี่ยวอ้ายโม่ก็สามารถสื่อสารได้ชัดเจนแล้ว ทั้งสองตะโกนเรียกฉินอวี้โม่ก่อนวิ่งโผเข้าหาอ้อมกอดของนางพร้อมกัน

“พวกเจ้าคิดถึงแม่หรือไม่ ?”

เมื่อได้พบหน้าบุตรตัวน้อยทั้งสอง หัวใจของฉินอวี้โม่ก็ผ่อนคลายลงและอ่อนโยนมากขึ้น นางกอดมนุษย์ร่างเล็กทั้งสองและหอมแก้มฟอดใหญ่ก่อนเอ่ยถามด้วยความรักเต็มเปี่ยม

“เจ้าค่ะ ข้าคิดถึงท่านพ่อด้วย”

เสี่ยวอ้ายโม่หอมแก้มฉินอวี้โม่อย่างแรงและกล่าวพร้อมยิ้มร่า นางมีบุคลิกสดใสร่าเริงและชอบเล่นสนุกจนดูจะห้าว ๆ เสียหน่อย ในทางกลับกัน เสี่ยวอ้ายฉือดูสงบนิ่งมากกว่าซึ่งเป็นลักษณะที่เหมือนกับหานโม่ฉือมาก อย่างไรก็ตาม เสี่ยวอ้ายฉือก็มักขี้อายไม่แสดงออกมากนัก เขามองดูเสี่ยวอ้ายโม่ทำตัวแบบเด็กน้อยในอ้อมแขนของมารดาจากด้านข้างเท่านั้น

“แล้วเสี่ยวอ้ายฉือล่ะ เจ้าคิดถึงพ่อหรือไม่?”

แน่นอนว่าในฐานะมารดา ฉินอวี้โม่รับรู้ถึงความแตกต่างในด้านบุคลิกของทั้งสองได้อย่างชัดเจนทว่านางก็ไม่คิดตั้งกรอบหรือควบคุมพวกเขา เด็กทั้งสองมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกันเป็นของตัวเองซึ่งมิใช่เรื่องที่ผิดหรือไม่ดี ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น บุคลิกลักษณะของพวกเขาก็จะปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเช่นกัน

“อื้อ~”

เสี่ยวอ้ายฉือพยักหน้าหงึกหงักและแก้มตุ่ย ๆ แดงระเรื่อจนดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก

“น้องชาย เจ้าหน้าแดงอีกแล้วนะ”

เสี่ยวอ้ายโม่ยื่นมือจ้ำม่ำออกไปจิ้มแก้มแดงของเสี่ยวอ้ายฉือและยิ้มชอบใจ

“น้องสาว ! ข้าเป็นพี่ชาย ไม่ใช่น้องชายของเจ้า”

ใบหน้าของเสี่ยวอ้ายฉือแดงขึ้นอย่างรวดเร็วทว่าก็ยังพยายามกล่าวเน้นย้ำเสียงดัง

นับตั้งแต่พูดจาได้คล่องแคล่ว เด็กน้อยทั้งสองก็โต้เถียงกันมาเสมอว่าใครเป็นพี่และใครเป็นน้องซึ่งทำให้ทุกคนที่ได้ยินล้วนจนปัญญาและอดยิ้มให้กับความน่ารักไม่ได้

ต้องกล่าวเลยว่าทั้งสองก็สืบทอดพรสวรรค์ของบิดามารดามาอย่างสมบูรณ์และเฉลียวฉลาดตั้งแต่ยังเยาว์วัย ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสองก็มีพรสวรรค์ในการฝึกวิชาและตอนนี้มีพลังบรรลุขอบเขตทิพย์มายาแล้วซึ่งเป็นพัฒนาการที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง

“ท่านตาบอกว่าข้าเกิดก่อนเจ้า ถ้าเช่นนั้นข้าก็ต้องเป็นพี่สาว ไม่ต้องห่วงหรอก…ต่อไปพี่คนนี้จะปกป้องเจ้าเอง !”

เสี่ยวอ้ายโม่ตบไหล่เสี่ยวอ้ายฉือปุ ๆ ด้วยท่าทางที่เหมือนพี่ใหญ่จนทำให้ผู้ที่พบเห็นหัวเราะด้วยความเอ็นดู

“ท่านน้าบอกว่าข้าเป็นพี่ชาย เพราะฉะนั้นข้าจะเป็นคนปกป้องเจ้าเอง”

ถึงแม้ปกติแล้ว เสี่ยวอ้ายฉือมักจะปล่อยให้เสี่ยวอ้ายโม่เอาชนะตนเองและไม่โต้เถียงมาตลอด ทว่าหากเป็นเรื่องของการเป็นพี่ เขาก็ยืนกรานอย่างหนักแน่นและไม่คิดที่จะยอมอ่อนข้อโดยเด็ดขาด

“ท่านแม่ โปรดบอกเสี่ยวอ้ายฉือว่าข้าเป็นพี่”

เสี่ยวอ้ายโม่เงยหน้ามองมารดาและกล่าวด้วยแววตาเว้าวอนชวนใจอ่อน

เสี่ยวอ้ายฉือไม่กล่าวสิ่งใดทว่ามองตรงมาที่ฉินอวี้โม่และกะพริบตาปริบ ๆ ดวงตาเป็นประกายกลมโตของเขาดูน่ารักจนไม่ว่าผู้ใดพบเห็นก็อดเข้าไปหอมแก้มด้วยความเอ็นดูไม่ได้

“เอาล่ะ เอาล่ะ พวกเจ้าต้องตกลงเรื่องนี้กันเอง แม่จะไม่ยุ่งด้วย”

ฉินอวี้โม่ลูบศีรษะบุตรน้อยทั้งสอง นางทราบดีว่าแม้ทั้งสองจะโต้เถียงเรื่องนี้กันมานาน ทว่ามันก็ไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่ดีต่อกัน นางจึงไม่สนใจเรื่องนี้นัก ทว่าหากกล่าวตามตรง เด็กน้อยทั้งสองก็น่ารักน่าชังเกินไปจนแม้แต่นางเองก็ไม่อาจสรรหาคำพูดใดตอบกลับไปได้

“เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ ออกไปเล่นกับข้าก่อนเถอะ แม่ของเจ้ายังมีธุระที่ต้องทำก่อน”

คนอื่น ๆ ซึ่งอยู่ด้านข้างมองฉินอวี้โม่อย่างจนปัญญาขณะฟังบทสนทนาของเด็กน้อยทั้งคู่และอดหัวเราะไม่ได้

เสี่ยวโร่วก็ยิ้มกว้างและกล่าวออกมาพร้อมกับเดินไปจับมือทั้งสองไว้ ฉินอวี้โม่เพิ่งเดินทางกลับมาถึงและคาดว่านางคงจะมีเรื่องต้องหารือกับคนอื่น ๆ เสียก่อน

“อีกอย่าง เสี่ยวอ้ายฉือ เสี่ยวอ้ายโม่ นี่คือน้าเฟยเฟย…และนางจะเป็นแขกอยู่ที่นครล่าฝันสักระยะ”

ฉินอวี้โม่จับมือเฟยเฟยก้าวออกมาและกล่าวแนะนำกับบุตรของตน

“ท่านแม่ พวกเราจะให้การต้อนรับน้าเฟยเฟยอย่างดี”

เด็กน้อยทั้งสองยิ้มกว้างและจับมือเฟยเฟยด้วยความรู้สึกถูกชะตากับท่านน้าผู้นี้ที่อายุไม่มากกว่าตนเท่าใดนัก

“ท่านแม่ ท่านตา ทุกคน พวกเราขอตัวออกไปเล่นสนุกก่อน~”

หลังจากกล่าวลาทุกคน เสี่ยวอ้ายโม่และเสี่ยวอ้ายฉือก็เดินออกไปกับเสี่ยวโร่วและเฟยเฟยโดยกล่าวว่าจะพานางไปเยี่ยมชมรอบนคร

ทุกคนไม่ขัดขวางแต่อย่างใดและปล่อยให้พวกเขาไปเที่ยวเล่นได้ตามต้องการ

หลังจากนั้นภายในห้องโถงประชุม สมาชิกระดับสูงของนครล่าฝันก็มารวมตัวกัน

“โม่เอ๋อร์ เจ้าได้บุปผาแห่งแสงมารึไม่ ?”

ฉินเทียนกล่าวถามเป็นคนแรกด้วยทราบดีถึงความสำคัญของบุปผาแห่งแสงในสงครามที่จะมาถึง

“ท่านพ่อ บุปผาแห่งแสงอยู่ในร่างของเฟยเฟย นางควบคุมพลังของมันได้สำเร็จแล้ว”

ฉินอวี้โม่บอกทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเกาะไร้กังวล รวมถึงเรื่องของฮวาเหยียนอวี่

“เหอะ ! นังฮวาเหยียนอวี่นั่นหน้าไม่อายจริง ๆ คิดว่าตัวเองคู่ควรพอที่จะเทียบชั้นกับอวี้โม่ของพวกเรางั้นรึ !”

เยว่ชิงเฉิงแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างชัดเจน เมื่อได้ยินว่าฮวาเหยียวอวี่หมายปองหานโม่ฉือ นางก็รู้สึกรังเกียจและขยะแขยงในความไร้ยางอายของสตรีผู้นั้น

ในหัวใจของนางและคนอื่น ๆ มีเพียงฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเท่านั้นที่จะคู่ควรกับกันและกัน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อได้ทราบอดีตตั้งแต่ภพก่อน พวกนางก็รู้สึกมากขึ้นว่าผู้ที่ต้องการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมิใช่คนดีน่านับถือ

“ถ้าอย่างนั้น…ในตอนนี้หานโม่ฉือก็กำลังสืบหาข่าวอยู่ในฐานทัพของฝ่ายมารรึ ?”

ฉินเทียนขมวดคิ้วมุ่นทันที แม้เขาจะมั่นใจในความแข็งแกร่งของหานโม่ฉือ เขาก็อดกังวลไม่ได้

พวกเขาไม่ทราบเลยว่าฝ่ายมารยังมีไพ่ตายใดซ่อนไว้บ้าง การที่หานโม่ฉือบุกเข้าไปที่รังของฝ่ายมารเช่นนี้ หากมีใครพบเข้ามันจะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้ด้วยความแข็งแกร่งของเขา การหลบหนีก็มิใช่เรื่องง่ายเลย

“เจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ผ่านมานานกว่าสิบวันแล้ว โม่ฉือคงจะส่งข่าวกลับมาในเร็ว ๆ นี้”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและเข้าใจในความกังวลของบิดา ทว่านางไม่กล่าวอธิบายมากนัก

ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น จู่ ๆ อุปกรณ์สื่อสารซึ่งเหน็บอยู่ที่เอวของนางก็ดังขึ้น…