ตอนที่ 910 เลี้ยงต้อนรับ ( จบ )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 910 เลี้ยงต้อนรับ ( จบ )

“…ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นฉลามเพียงมิกี่คราก็มิได้เห็นมันอีก ทว่าได้พบกับพายุโหมกระหน่ำพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อเอ่ยถึงเรื่องพายุลูกนั้นสีหน้าของหลิวจิ่นก็พลันแปรเปลี่ยนไปในทันที ในใจของเขายังมีความหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย “พายุลูกนั้นช่างน่ากลัวมากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ท้องนภามืดครึ้มราวกับสีของน้ำหมึก พายุโหมกระหน่ำมองเห็นระยะทางเบื้องหน้าได้เพียง 3 ฉื่อเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”

“โชคดียิ่งนักที่หลิวจิ่นห้าวแข็งแกร่งและต้องขอบพระทัยพระบารมีของฝ่าบาทที่ช่วยคุ้มครองพวกเรา กระหม่อมจึงรอดชีวิตมาได้ ส่วนเรือบรรทุกเสบียงทั้งสามลำมิได้โชคดีเยี่ยงกระหม่อม… ฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตายที่ปล่อยให้เรือทั้งสามลำนั้นอับปางลงไปพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนฟังอย่างตั้งใจ เห็นว่าการเดินเรือในคราต่อไปต้องให้เรือทุกลำเขียนบันทึกการเดินเรือ !

“มาเถิด… เจิ้นขอดื่มให้เจ้าหนึ่งจอก ! ”

หลิวจิ่นตกตะลึงจนต้องอ้าปากค้าง “กระหม่อม… กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ การที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับฝ่าบาทเยี่ยงนี้ก็นับว่าผิดกฎแล้ว กระหม่อมมิบังอาจ ! ”

“เจ้า จงลุกขึ้นยืน ! ”

หลิวจิ่นยืดตัวขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขาได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “เจิ้นได้บอกเจ้านานแล้วมิใช่หรือ ว่าเป็นขันทีแล้วเยี่ยงไร ? ขันทีก็สามารถสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่และขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีได้เช่นกัน ! แน่นอนว่าผลงานของเจ้าในครานี้ยังมิเพียงพอต่อการขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี แต่เจ้าได้สร้างผลงานมากมายกว่าขุนนางหลายคนไว้แล้ว เจิ้นตัดสินใจว่า…”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกปวดศีรษะมากยิ่งนักเพราะหลิวจิ่นสมควรได้รับรางวัล แต่ก็มิอาจมอบรางวัลให้มากมายได้ เนื่องจากอาจจะทำให้หลายคนมิพอใจ หากพวกเขาสร้างความลำบากขึ้นมาคงมิดีเป็นแน่ เนื่องจากตนจะอำลาไปมิช้าก็เร็ว

“ฝ่าบาท ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ สิ่งเหล่านี้กระหม่อมสมควรทำอยู่แล้ว การที่ได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาทนับว่าเป็นเกียรติมากยิ่งนัก แม้ตายกระหม่อมก็มิเสียใจและมิกล้าเอ่ยขอรางวัลจากพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ! ”

อืม…เจ้าหมอนี่มีเหตุผลมากเสียทีเดียว

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเอ่ยอันใดบางอย่างออกมา ทว่าเขากลับได้ยินหลิวจิ่นเอ่ยตัดหน้าขึ้นมาก่อนว่า “หากฝ่าบาทมิรังเกียจ กระหม่อมยินดีเดินทางออกทะเลเพื่อขยายอาณาจักรแทนฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

นี่ถือเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าพลางนึกในใจว่าข้าจะทำให้เจ้าสมปราถนา และจะทำให้เจ้ากลายเป็นขันทีในตำนาน

“ตกลง ! มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่และมหาสมุทรทั้งห้าได้เชื่อมต่อกัน เจ้าจงพักผ่อนให้เพียงพอเถิด ในปีหน้ารอเจิ้นสร้างกองเรือรบเสร็จสิ้นแล้ว เจิ้นจะให้เจ้าเป็นผู้บังคับบัญชาและให้เจ้าออกไปบุกเบิกอาณาจักรแทนเจิ้นอีกครา ! ”

หลิวจิ่นลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ถอยออกไปสามก้าว คุกเข่าลงกับพื้น “กระหม่อม… กระหม่อมยินดีใช้ทั้งชีวิตเดินทางออกไปบุกเบิกอาณาจักรในท้องทะเลเพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ดี ! เจ้าลุกขึ้นเถิด ช่วงนี้อยู่ในพระราชวังก็จงติดตามเจิ้นดังเดิม”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หลังจากนั้นหลิวจิ่นและซูม่อก็เล่าเรื่องที่พานพบมาอย่างละเอียด ฟู่เสี่ยวกวนจึงพอรับรู้ได้คร่าว ๆ ว่าโลกนี้มิได้ต่างจากโลกที่แล้วสักเท่าใดนัก

ส่วนการที่เขารับรู้ว่าซูเจวี๋ยและเกาหยวนหยวนข้ามช่องแคบเบริงไปแล้วก็สามารถวางใจได้บ้าง เพราะถ้าเดามิผิดคือทั้งสองกำลังเดินไปบนเส้นทางที่เคยเป็นประเทศรัสเซียมาก่อน

บัดนี้ใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวเต็มทีแล้ว มิรู้ว่าทั้งสองเดินทางไปถึงที่ใดแล้ว

“ราตรีนี้เจ้าจงพักผ่อนที่เมืองเจียงให้สบาย พรุ่งนี้ศิษย์พี่แปดจะคุ้มกันสมบัติเหล่านี้กลับไปยังเมืองกวนหยุน การเดินทางกลับในครานี้ต้องทำให้ครึกครื้นสักหน่อย จงเขียนป้ายติดว่า…”

“จงเขียนว่า ‘หลิวจิ่นห้าวกลับมาแล้ว ได้เรียนรู้สิ่งใหม่มากมาย มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ทรัพย์สมบัติละลานตา’…ให้มีความหมายทำนองนี้และให้ตีกลองโห่ร้องไปตลอดทาง ! ”

ซูม่อตกตะลึงขึ้นมาทันใด “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าต้องการทำอันใดกันแน่ ? พวกเรากลับไปอย่างเงียบเชียบมิดีกว่าหรือ ? แล้วในปีหน้าพวกเราค่อยไปแย่งชิงสมบัติเหล่านั้นอีก ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าขึ้นมา “แน่นอนว่าพวกเราต้องไปแย่งชิงอีก หากชาวบ้านทั่วไปต้องการเดินทางออกมหาสมุทรก็เกรงว่าต้องใช้เวลาสักปีหรือสองปี ในสองปีนี้คาดว่าเรือของพวกเราคงจะกวาดล้างสมบัติไปจนสิ้นแล้ว”

“แต่พวกเราต้องให้ชาวอู๋รับรู้ว่า อีกฟากของทะเลมีสมบัติอยู่มากมายจนใช้มิหมดอยู่ เมื่อถึงเวลานั้นความสามารถที่ชาวบ้านทำได้มิใช่การแย่งชิง ทว่าเป็นการค้าขายต่างหาก”

ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ยกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น…จุดประสงค์ของพวกเรามิใช่การยึดครองแคว้นเหล่านั้นหรือทำลายล้างมันหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าช้า ๆ “ก็มิถูกต้องเสียทีเดียว เราจะยึดครองเพียงบางส่วนเท่านั้น อาทิเช่นเส้นทางนี้…”

เขาเปิดแผนที่ออก จากนั้นก็ใช้นิ้วชี้ลากเป็นแนวเส้น “นับตั้งแต่บริเวณที่พวกเราออกทะเลจนถึงแคว้นหลิว เส้นทางนี้มีทั้งสิ้น 3 แคว้น พวกเราสามารถแสดงพลังอันน่าเกรงขามออกมาเพื่อทำให้พวกเขายอมแพ้ จากนั้นก็นำทหารเข้าประจำการ เนื่องจากพวกเราจำเป็นต้องใช้ท่าเรือของอีกฝ่ายและเพื่อความปลอดภัยของพ่อค้าในอนาคตด้วย”

“ทว่านับจากแคว้นหลิวไปถึงช่องแคบเบริง เส้นทางนี้ยังมิเคยสำรวจอย่างละเอียด พวกเรามิอาจทราบได้ว่ามีแคว้นใดบ้าง ดังนั้นในปีหน้า…”

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางหลิวจิ่น “ในปีหน้าเจ้าต้องเดินเรือไปบนเส้นทางนี้อีกครา ข้าต้องการทราบว่ามีกี่แคว้นในเส้นทางนี้ และพวกเขาแข็งแกร่งหรือไม่ ? ”

“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“สิ่งที่ข้าต้องการคือยึดครองท่าเรือของทุกแคว้นมาเป็นของตนเอง นั่นหมายความว่าต้องมีทหารของเราประจำการอยู่ที่นั่น ดังนั้นนับจากนี้ต้องมีการรับสมัครทหารเรือเพิ่มอีกจำนวนมาก กองนาวิกโยธินก็เช่นกัน”

“สิ่งเหล่านี้ทำเพื่อรับรองความได้เปรียบของราชวงศ์อู๋ในด้านการเดินเรือ และเพื่อความสะดวกและปลอดภัยของเรือสินค้าบนน่านน้ำ”

ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า บัดนี้เขารู้แล้วว่าการแย่งชิงเยี่ยงนี้มีประโยชน์มากมายเพียงใด

การเข้ายึดครองแคว้นอื่นที่มิใช่แคว้นของตน ในใจจึงมิมีความรู้สึกผิดแต่อย่างใด

“ใต้หล้านี้กว้างใหญ่มากยิ่งนัก ทว่าราษฎรในราชวงศ์อู๋กลับมีมิมาก ดังนั้นต่อให้ในที่สุดพวกเราทราบถึงการเดินเรือทุกเส้นทางแล้วก็มิอาจเข้ายึดครองได้ทุกแคว้น เยี่ยงนั้นทางเดินในอนาคตมีเพียงทางเดียวซึ่งก็คือ ภายใต้กำลังทหารที่พวกเรามีอยู่ในตอนนี้ จงก่อตั้งการค้าทางทะเลขึ้นมา เมื่อถึงเวลานั้นผู้ค้าขายจากต่างแคว้นจะเดินทางเข้ามาที่แคว้นเรา สินค้าของเราจะถูกส่งไปยังต่างแคว้นด้วยเช่นกัน เช่นนี้จึงจะเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรืองอย่างแท้จริง”

……

……

วิธีเดียวที่จะสามารถรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในทะเลคือกองทัพเรือที่ทรงพลัง

สำหรับราชวงศ์อู๋แล้ว กองทัพเรือถือเป็นสิ่งใหม่ แม้ว่าไป๋ยู่เหลียนจะฝึกฝนทหารอย่างเคร่งครัดตามวิธีการของฟู่เสี่ยวกวนมานานกว่าหนึ่งปีแล้วก็ตาม ทว่าพวกเขาก็ยังมิค่อยชำนาญสักเท่าใดนัก เมื่อขึ้นเรือรบระดับอู่เว้ยลำนี้เป็นคราแรกจึงมิมีความคุ้นเคย

วันต่อมาฟู่เสี่ยวกวนได้อำลาซูม่อและหลิวจิ่น จากนั้นเขาก็พาเจี่ยหนานซิงและเป่ยหวังฉวนขึ้นไปบนเรือทดลองลำหนึ่ง

เรือทดลองแล่นออกจากท่าเรือ จากนั้นก็ล่องไปตามแม่น้ำแยงซี และกลับเข้าฝั่งในอีกสองวันต่อมา

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าความเร็วนี้คือเท่าใด แต่จากความยาวของแม่น้ำฉางเจียง เรือลำนี้น่าจะมีความเร็วกว่าเรือสามเสากระโดงอย่างน้อย 4 เท่า !

ทหารเรือเหล่านั้นคุ้นเคยกับการใช้ปืนใหญ่เป็นอย่างดี เนื่องจากพวกเขาได้ฝึกฝนการใช้งานบนบกมานับครั้งมิถ้วน ทว่านี่คือในทะเลจึงมิเหมือนกัน

เรือที่อยู่ในทะเลมิได้หยุดนิ่งเยี่ยงอยู่บนบก

พวกเขาจำเป็นต้องคุ้นเคยกับการใส่กระสุนในสภาพเซไปเซมา อีกทั้งยังต้องเล็งเป้าให้แม่นยำ

เสียงปืนใหญ่จากทะเลดังสนั่น ฟู่เสี่ยวกวนนั่งตากลมอยู่บนชั้นสามโดยมีท่าทางเป็นสุขมากยิ่งนัก

ความคิดของเขามิได้อยู่ที่ว่าทหารเหล่านี้ทำการฝึกซ้อมกันเยี่ยงไร แต่เขากำลังคิดว่าหากเครื่องยนต์เผาไหม้ภายในถูกสร้างขึ้นมาสำเร็จ เขาจะสร้างเรือสำราญลำใหญ่ขึ้นมา !

รอให้ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปบนทางที่วางไว้ ข้าจะพาภรรยาและลูก ๆ ทั้งหลายขึ้นเรือสำราญเพื่อนั่งตากอากาศและตกปลาอย่างสบายอารมณ์

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดอย่างสบายใจอยู่นั้น มิมีผู้ใดรู้ว่าสถานที่ที่เรียกว่าอะแลสกาโดนล่าอาณานิคมโดยกองเรือจากยุโรปเรียบร้อยแล้ว

ธงมังกรที่หลิวจิ่นปักเอาไว้ในหมู่บ้านชนเผ่า ถูกโจรสลัดหักทำลายจนขาดมิเหลือชิ้นดี

พวกเขาแย่งเครื่องลายครามและผ้าไหมไปจากมือของชนพื้นเมืองเหล่านั้น แน่นอนว่าบัดนี้สายตาของพวกเขากำลังจ้องมองไปยังทิศตะวันออกอันไกลโพ้น