ตอนที่ 911 กริ้วโกรธ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 911 กริ้วโกรธ

รัชศกเทียนเต๋อปีที่สอง วันที่สิบ เดือนสิบ ประชุมใหญ่ประจำราชสำนักแห่งราชวงศ์อู๋

นี่เป็นการเรียกประชุมราชสำนักคราแรกหลังจากจักรพรรดิเต๋อจงเสด็จกลับมาจากการออกเดินเรือ ขุนนางทุกคนย่อมต้องรอบคอบเป็นอย่างมาก ในอดีตพวกเขาเคยรู้สึกว่าการประชุมช่างน่าเบื่อ ทว่าบัดนี้ได้กลายเป็นสิ่งล้ำค่าไปเสียแล้ว

เพราะมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าฝ่าบาทจะเรียกประชุมใหญ่ประจำราชสำนักอีกคราเมื่อใด ?

มิมีผู้ใดรู้ว่าจะทรงทำสิ่งที่น่าตกใจในการประชุมใหญ่นี้อีกหรือไม่ ?

นี่เป็นคราแรกที่กงซุนเซ่อเข้าร่วมการประชุมใหญ่ประจำราชสำนัก ด้วยเหตุนี้หยุนซีเหยียนและจงสือจี้จึงไปรับเขาตั้งแต่เช้าตรู่ ทั้งสามซื้อฮะเก๋าจากร้านซิ่งหลินจี้ 3 ชุด จากนั้นก็นั่งรถม้ามุ่งหน้าไปยังประตูชิงหลง

กงซุนเซ่อทานฮะเก๋าพลางเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาทของพวกเรานั้น…ปกติเรียกประชุมมิค่อยบ่อยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

กงซุนเซ่อทำงานมาเกือบ 2 เดือนแล้ว อย่าเอ่ยถึงการประชุมใหญ่ราชสำนักเลยเพราะแม้แต่การประชุมธรรมดาก็มิเคยได้เข้าร่วม อย่างมากก็แค่การเรียกประชุมเล็ก ๆ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งคราของสามสำนักเท่านั้น

เรื่องนี้แตกต่างจากราชวงศ์หยูมากยิ่งนัก ดังนั้นในคราแรกกงซุนเซ่อยังปรับตัวมิค่อยได้… เนื่องจากราชวงศ์หยูเริ่มประชุมตั้งแต่ยามเหม่า ทว่าราชวงศ์อู๋เริ่มประชุมตั้งแต่ยามเฉินซึ่งช้าไปราว 1 ชั่วยาม !

ส่วนขั้นตอนการไปทำงานนั้น กงซุนเซ่อพบข้อสังเกตอย่างหนึ่ง เริ่มจากกรมขุนนาง… เหล่าขุนนางทั้งหลายเมื่อถึงเวลาทำงานต่างก็ดูจริงจังกันอย่างมากและประสิทธิภาพการทำงานก็เหนือกว่าราชวงศ์หยูมากโข ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกรมการค้าของราชวงศ์หยูเลยทีเดียว

หยุนซีเหยียนหัวเราะร่าออกมา เมื่อได้ยินคำถามนี้ “แท้จริงเมื่อปีที่แล้วฝ่าบาททรงมุ่งมั่นยิ่งนัก พระองค์มิเคยพลาดการประชุมเลยสักครา เพียงแต่ว่าปีนี้ทรงกลับมาเป็นตัวของตนเองแล้วก็เท่านั้น”

“เช่นนี้พระองค์จะทรงเข้าพระทัยแล้วควบคุมข้าราชการทั้งหมดได้หรือ ? ”

“เฮ้ ๆ เจ้าคิดเยี่ยงนี้ก็มิถูก ลองคิดดูสิว่าตอนที่พระองค์อยู่ที่ว่อเฟิงเต้ามีการเรียกประชุมกี่ครา ? ”

กงซุนเซ่อกระจ่างแจ้งขึ้นมาทันที เขาหัวเราะเยาะตนเองจากนั้นก็ส่ายศีรษะไปมาเบา ๆ “ข้าคิดว่าเมื่อเขาเป็นจักรพรรดิแล้วจะมุมานะมากกว่าตอนที่เป็นเต้าถายเสียอีก ข้าหลงลืมคำที่พระองค์เคยตรัสไว้ว่า การปกครองแคว้นใหญ่ก็เหมือนการปรุงอาหารจานเล็ก ๆ แท้จริงแล้วมันก็เหมือนกันนั่นแหละ”

หลังจากทานฮะเก๋าจนหมดแล้ว หยุนซีเหยียนจึงหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปากแล้วเอ่ยถามว่า “เยี่ยงไรเสียการประชุมใหญ่ราชสำนักในวันนี้เกรงว่าจะเกี่ยวข้องกับการบริหารราชการ เอ่ยว่าที่อู่หยวนโจวได้ตรวจพบขุนนางทุจริตทั้งหมดแปดสิบกว่าคนเยี่ยงนั้นหรือ ? ดูเหมือนว่ากรมขุนนางของเจ้าก็ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้แล้วนี่”

“ใช่ ! เมื่อกลางเดือนที่แล้วหนังสือร้องเรียนการทุจริตของเฉินหยางจือโจวแห่งอู่หยวนโจวมาถึง ใต้เท้าจั่วจงถานชื่อหลางแห่งกรมขุนนางได้จับกุมขุนนางทุจริต จากนั้นก็ส่งตัวนักโทษราว 81 คนมายังเมืองกวนหยุนเมื่อมิกี่วันก่อน เมื่อวานนี้กรมราชทัณฑ์ได้สอบปากคำทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว คาดว่าการประชุมใหญ่ในวันนี้จะเป็นคำตัดสินที่แท้จริง”

หยุนซีเหยียนนิ่งเงียบ กงซุนเซ่อจึงเอ่ยถามต่อว่า “พวกเจ้ายังจำเหอเชิงอันได้หรือไม่ ? ”

หยุนซีเหยียนตื่นตกใจขึ้นมาทันใด “จำได้สิ การประกาศรายชื่อในวันนั้นเขาได้ลำดับที่สอง ทั้งยังคุกเข่าลงพื้นเพื่อเคารพมารดาริมทะเลสาบเว่ยยางอีก มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เขามาถึงราชวงศ์อู๋แล้วใช่หรือไม่ ? ”

“เขาได้เป็นนายอำเภอเขตหนานผิงในอู่หยวนโจวแล้ว”

หยุนซีเหยียนหัวเราะออกมา เจ้าหน้าที่แห่งกรมการค้าทั้งหมดมิเว้นแม้แต่หลี่ฉายได้เดินทางมายังเมืองว่อเฟิงทั้งหมดแล้ว เกรงว่ากรมการค้าที่ราชวงศ์หยูจะมิมีผู้ใดหลงเหลืออยู่อีก นึกมิถึงว่าเหอเชิงอันก็เดินทางมาที่ราชวงศ์อู๋ด้วย…

“เจ้าหน้าที่จากว่อเฟิงเต้าเมื่อปีก่อน เดินทางมาที่นี่กี่คนกัน ? ”

“ราว 63 คน…แต่ซังเหลียงมิได้มาเพราะท่านปู่ของเขายังคงเป็นจงซูลิ่งอยู่ เขาจึงมิสามารถมาได้”

“เยี่ยงนี้เอ่ยได้ว่าหลงเหลืออยู่ที่ว่อเฟิงเต้ามิถึงครึ่งเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อืม…ที่ยังหลงเหลืออยู่ในว่อเฟิงเต้า โดยมากมีรากฐานผูกติดกับตระกูลทั้งสิ้น”

หยุนซีเหยียนถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ “ว่อเฟิงเต้านั้นทำเลดียิ่ง หากฝ่าบาทมิกลับมายังราชวงศ์อู๋ ก็เกรงว่าบัดนี้ว่อเฟิงเต้าคงจะกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของใต้หล้า เฮ้อ… ! ”

จงสือจี้ส่ายหน้า “มิต้องเอ่ยถึงเยาวชนที่เคยติดตามฝ่าบาทในตอนนั้นเลย แม้แต่บิดาข้าก็ลาออกจากการเป็นขุนนางแล้ว ท่านเอ่ยว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลของเว่ยอู๋ปิ้งแล้วมาตั้งรกรากถิ่นฐานในราชวงศ์อู๋ พวกเจ้าว่าจะมีสักกี่คนที่คิดเช่นนี้ในราชวงศ์หยู ? ”

“ฉางฮวนชื่อหลางแห่งกรมคลังที่หยูเวิ่นเต้าแต่งตั้ง ได้ส่งจดหมายไปยังตระกูลของข้า บอกว่าภาษีในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกสิบส่วนจากปีก่อน”

หยุนซีเหยียนถอนหายใจยาว “ราชวงศ์หยูต้องการเงิน หากมิใช่เพราะสินค้าที่ส่งมาขายยังราชวงศ์อู๋สามารถสร้างเงินได้ เศรษฐกิจของราชวงศ์หยูคงจะประสบเคราะห์ร้ายและหมดหนทางเยียวยาแก้ไข ส่วนนโยบายที่ว่อเฟิงเต้าก็เปลี่ยนไปหลังจากที่เปลี่ยนเต้าถาย พ่อค้าที่ลงทุนในว่อเฟิงเต้าต่างก็ร้องทุกข์มิหยุด มิง่ายเลยกว่าจะก่อตั้งโรงงานขึ้นมาได้ แต่พริบตาเดียวก็พังทลายเสียแล้ว”

“ข้าคาดการณ์ไว้ว่าโรงงานเกินครึ่งในว่อเฟิงเต้าจะเลิกกิจการ ดังนั้นเหล่าจงเอ๋ย ย่อมจะมีพ่อค้ามาลงทุนที่ราชวงศ์อู๋มากขึ้น ในปีหน้าและพวกเราต้องเตรียมพร้อมรับมือเอาไว้ให้ดี”

“บัดนี้สำนักงานการค้าได้ครอบคลุมพื้นที่ต่าง ๆ แล้ว กอปรกับใต้เท้าหลี่ฉายขึ้นบัญชาการด้วยตนเองคาดว่าคงมิมีปัญหาใหญ่อันใด”

กงซุนเซ่อเอ่ยถามอีกคราว่า “ใต้เท้าหลี่เคยเป็นหัวหน้ากรมการค้าที่ราชวงศ์หยูมาก่อน แล้วบัดนี้เจ้าทั้งสองก็ทำงานอยู่ในกรมการค้า หมายความว่าใต้เท้าหลี่เป็นข้าราชการฝ่ายใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หยุนซีเหยียนยกยิ้มขึ้น จากนั้นก็ตอบว่า “เดิมทีข้าตั้งใจเชิญใต้เท้าหลี่มาเป็นหัวหน้ากรมการค้า ทว่าฝ่าบาททรงประทานตำแหน่งที่ปรึกษาของกรมการค้าให้เขาแทน…เป็นการกำหนดแผนงานของกรมการค้าในอนาคต ซึ่งมติจากพวกเราทั้งสามคนจะต้องมีใต้เท้าหลี่ตรวจสอบความถูกต้องก่อนจึงจะสามารถนำไปบังคับใช้ได้”

“อ้อ…” กงซุนเซ่อพยักหน้าพลางครุ่นคิด

นี่คือความสมดุลทางอำนาจของกรมการค้า หยุนซีเหยียนเป็นหัวหน้าก็จริง ทว่าอำนาจของเขายังอยู่ภายใต้ข้อบังคับของหลี่ฉาย

ความหมายคล้ายกับสามสำนัก

ทั้งสามคนเดินทางมาถึงประตูชิงหลง สนทนากันต่อชั่วครู่ เมื่อเสียงระฆังในยามเช้าดังขึ้น ทุกคนจึงหยุดสนทนากัน แล้วเดินเข้าไปในท้องพระโรงซวนเต๋อ

……

……

การที่กงซุนเซ่อได้นั่งอยู่ในตำแหน่งสูงแล้วก้มมองจักรพรรดิที่อยู่เบื้องล่างทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก

ทว่าจักรพรรดิที่อยู่ด้านล่างดูมิใส่พระทัยเลยสักนิด

“เรื่องแรกคือเก๋อซู่ผู้ว่าการทางน้ำแห่งแม่น้ำต้าหลิงฆ่าตัวตาย ส่วนขุนนางทั้งสิ้น 81 คนในอู่หยวนโจวสารภาพผิดทั้งหมด เจิ้นได้ดูความผิดทางอาญาพบว่าทั้งแปดสิบเอ็ดคนนี้ พวกเขา…สมควรถูกประหารชีวิตทั้งหมด ! ”

น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเยือกเย็นยิ่งนัก สายตาของขุนนางทุกคนจึงจดจ้องไปยังเขาทันที

“ปัญหาน้ำท่วมเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยด้านชีวิตและทรัพย์สินของราษฎร ! แล้วคนพวกนี้เล่า ? เห็นชีวิตผู้อื่นมิต่างกับหญ้า ! ”

“พวกเขามิสนใจชีวิตและความตายของราษฎร เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขาคิดคือการรับสินบน ! ”

“เจิ้นตัดสินใจแล้วว่าจะประกาศความผิดทางอาญาของทั้งแปดสิบเอ็ดคนนี้ให้ใต้หล้าได้รับรู้ โดยให้ประหารชีวิตทั้งหมดในวันที่สิบห้าเดือนสิบ ! เพื่อประกอบพิธีเซ่นไหว้ให้แก่ราษฎรกว่าสามแสนรายที่เสียชีวิตในอู่หยวนโจว !

ในที่สุดฝ่าบาทก็จะสังหารผู้คนแล้ว !

เขาสังหารคราหนึ่งมากถึง 81 คนเลยทีเดียว !

ขุนนางทั้งหมดเพิ่งเคยเห็นด้านที่เย็นชาของจักรพรรดิเต๋อจงเป็นคราแรก

“ส่วนคนในตระกูลของผู้กระทำผิดทางอาญา สตรีให้ส่งไปยังกรมเจี้ยวฟางทั้งหมด ส่วนบุรุษให้ส่งไปยังอู่หยวนโจวเพื่อใช้แรงงานสร้างเขื่อน ! ”

“นอกจากนี้ ต้วนชูเหวินอดีตชื่อหลางกรมขุนนาง กรมราชทัณฑ์ได้ตรวจสอบแล้ว พบว่าได้รับสินบนมากมายระหว่างดำรงตำแหน่งจนทำให้การออกตรวจการของกรมขุนนางดำเนินไปเพียงผิวเผิน ปล่อยให้ขุนนางที่ไร้ความสามารถจำนวนมากรอดพ้นการตรวจสอบจากกรมขุนนาง คนเยี่ยงนี้… สมควรประหาร ! ให้สังหารในเวลาเดียวกันทั้งหมด ! ”

“ส่วนเสนาบดีเหวินซือหยวนแห่งกรมขุนนาง เจ้าเป็นถึงเสนาบดีแล้วเหตุใดถึงโดนขุนนางระดับล่างหลอกลวงได้เล่า ? เจ้าจงจำเอาไว้ว่าหากมีคราหน้าอีก จะมิมีการลงโทษโดยการงดรับเบี้ยหวัด 1 ปีอีกต่อไปแล้ว ! ”

“พวกเจ้าจงจำเอาไว้ว่า ใต้หล้านี้ผู้ที่สามารถหลอกหลวงและตบตาเจิ้นได้ ยังมิได้ถือกำเนิดขึ้นมา ! ”