ตอนที่ 912 จักรพรรดิตัดสินโทษ

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 912 จักรพรรดิตัดสินโทษ

ท้องพระโรงซวนเต๋อบังเกิดความเงียบขึ้นมาทันใด

ฟู่เสี่ยวกวนกวาดสายตาจ้องมองขุนนางทุกคน “เจิ้นมักจะเอ่ยว่า หากขุนนางมิอยู่ข้างราษฎรก็ลาออกไปขายมันเทศเสียจะดีกว่า บัดนี้เจิ้นพบว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะเอ่ยให้มากความ ต่อไปเจิ้นจะเอ่ยกับพวกท่านในเรื่องที่สองซึ่งก็คือ…”

“ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเบื้องต้นเสร็จสมบูรณ์แล้ว จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่หนึ่ง เดือนสอง รัชศกเทียนเต๋อปีที่สาม เมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านต้องอ่านรัฐธรรมนูญอย่างตั้งใจ เพื่อที่จะได้เข้าใจเนื้อหาของรัฐธรรมนูญอย่างลึกซึ้ง ! ”

“กฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่งที่ได้แก้ไขตามรัฐธรรมนูญจะประกาศใช้ราวเดือนสิบของรัชศกเทียนเต๋อปีที่สาม หลังจากนั้นมาตรฐานด้านความประพฤติของผู้คนในราชวงศ์อู๋ต้องยึดตามกฎหมายทั้งสองนี้”

ผู้ใดฝ่าฝืนกฎหมายเหล่านี้ มิว่าจะเป็นขุนนางขั้นที่เท่าใดก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ! ”

“เจิ้นต้องการบอกกับพวกท่านว่า การดำเนินงานตามรัฐธรรมนูญจะนำโดยกรมราชทัณฑ์และจะประสานงานร่วมกับกระทรวงครัวเรือน ภายในหนึ่งปีราษฎรทุกคนในราชวงศ์อู๋ต้องรู้จักคำว่ารัฐธรรมนูญและเข้าใจในสิทธิหน้าที่ของตนเอง”

“เหตุใดถึงต้องแจ้งพวกท่านล่วงหน้าน่ะหรือ ? ก็เพราะเจิ้นจะออกทะเลในเดือนสองของปีหน้าเพื่อไปยึดครองผืนปฐพีและสร้างท่าเรือ เพื่อให้กองทัพเรือของราชวงศ์อู๋สามารถประจำการที่ท่าเรือได้และเพื่อล่องไปบนมหาสมุทรอีกคราเพื่อนำสมบัติมหาศาลกลับมา ! ”

ฝ่าบาทจะออกทะเลด้วยพระองค์เองเยี่ยงนั้นหรือ ?

ขันทีหลิวจิ่นเอ่ยว่าในทะเลนั้นเต็มไปด้วยอันตรายมิใช่หรือ ?

ฝ่าบาทจะไปเสี่ยงอันตรายเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?

ในดวงตาของเหล่าขุนนางที่กำลังจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนจึงเต็มไปด้วยความกังวล… แม้ฝ่าบาทจะทรงพิโรธในวันนี้และทรงต้องการสังหารขุนนางทุจริตหลายสิบคน ก็มิได้ทำให้พวกตนขุ่นเคืองแต่อย่างใดเนื่องจากพวกมันสมควรตายอย่างแท้จริง !

ในช่วงสองปีที่ผ่านมาสิ่งที่ฝ่าบาททรงกระทำล้วนเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งต่อสายตาผู้คน การพัฒนาของราชวงศ์อู๋ทำให้ใต้หล้านี้สั่นสะเทือนมากขึ้น

หากพระองค์เผชิญกับเหตุร้ายในระหว่างเดินทางล่องทะเลเล่า ราชวงศ์อู๋จะทำเยี่ยงไรต่อไป ?

ดังนั้นจัวอี้สิงและพรรคพวกจึงออกหน้าคัดค้านเรื่องนี้ทันที “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่ามิเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ ด้วยว่าพระวรกายของฝ่าบาทเปรียบดั่งทองคำหมื่นชั่ง หากพระองค์รู้สึกเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่แต่ในราชสำนักก็สามารถออกประพาสราชวงศ์อู๋เหมือนดั่งปีนี้ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ทว่าอย่าออกทะเลเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับท่านราชเลขาพ่ะย่ะค่ะ ! กระหม่อมคิดว่าท่านแม่ทัพไป๋ยู่เหลียนพอจะออกเรือได้แล้ว ฝ่าบาททรงเป็นถึงจักรพรรดิ ส่วนไป๋ยู่เหลียนมีฐานะเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือ ทุกคนควรทำหน้าที่ของตนให้ดี พระองค์เป็นถึงจักรพรรดิ เหตุใดถึงแย่งหน้าที่ของท่านแม่ทัพเล่า นี่มิใช่ว่าเป็นการก้าวก่ายหน้าที่ของผู้อื่นหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“ทูลฝ่าบาท แต่กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงออกทะเลด้วยพระองค์เองถือเป็นการแสดงอำนาจของแคว้นและควรประกาศให้ทราบโดยทั่วกันพ่ะย่ะค่ะ ! ”

โจวถงถงคือผู้เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมา

เขาทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เอ่ยอย่างหนักแน่นว่า “จักรพรรดิมีหน้าที่รับผิดชอบต่อราษฎร ผืนปฐพีทั้งหมดถือเป็นเขตอำนาจของจักรพรรดิ และราษฎรที่อาศัยอยู่บนผืนปฐพีนี้ถือเป็นราษฎรของพระองค์ทั้งหมด มหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนี้ก็เป็นของฝ่าบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมบัติอีกมากมายก็ย่อมเป็นของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ ! ”

“พวกท่านได้เห็นสมบัติที่ขันทีหลิวจิ่นนำกลับมาแล้วนี่ ว่ามันมีมูลค่ามหาศาลมากเพียงใด ! ฝ่าบาทมิได้ออกไปในมหาสมุทรเพื่อเสี่ยงภัยสักหน่อย ฝ่าบาทเพียงแค่ไปเสาะหาท่าเรือแถบทะเลก็เท่านั้น พวกท่านกังวลอันใดกัน ? ”

“โจวถงถง… ! ”

ดวงตาของหนานกงอี้หยู่จ้องเขม็งไปยังเขา “หุบปากประเดี๋ยวนี้ ! บริเวณริมทะเลมันก็อันตรายเช่นกัน ! หากมีอันใดเกิดขึ้น ข้าเอ่ยไว้เลยว่าเจ้ามีกี่ศีรษะก็มิอาจแลกชีวิตของฝ่าบาทได้ ! ”

“โจวถงถง เจ้ามีเจตนาเยี่ยงไรกันแน่ ? ต่อให้กำลังมองหาท่าเรือ ทว่าจำเป็นต้องให้ฝ่าบาทเสด็จด้วยตนเองด้วยหรือ ? ”

เสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามกำลังประณามโจวถงถง ฝ่ายโจวถงถงก็จ้องมองพวกเขากลับเช่นกัน “พวกท่าน…เป็นพวกขี้ขลาด ! ฝ่าบาทยังทรงเยาว์วัยนัก ทรงมีความทะเยอทะยานและมีความคิดในการเปิดพรมแดน แต่ก็ถูกตาเฒ่าเยี่ยงพวกท่านขังเอาไว้ที่นี่ ช่างโง่เขลาเบาปัญญาเสียจริง ! ”

ขุนนางทั้งหลายเบิกตากว้าง จ้องมองเหตุการณ์นี้ด้วยสีหน้าตกตะลึง นี่คือกิริยาที่โจวถงถงแสดงออกมาต่อหน้าเสนาบดีอาวุโสทั้งสามคน !

ลักษณะท่าทางเยี่ยงนี้มิเคยเห็นมาก่อน ยิ่งไปกว่านั้นคือโจวถงถงหัวหน้าหอเทียนจี เข้าร่วมประชุมนับครั้งได้ ทั้งยังมิเคยแสดงความคิดเห็นด้านการเมืองเลยสักครา

เหตุใดวันนี้โจวถงถงถึงแปลกไปเยี่ยงนี้ ?

เขาควรรู้ตัวสิว่า มิมีทางตามเสนาบดีอาวุโสทั้งสามท่านได้ทัน ! เพราะว่าสิ่งที่เสนาบดีทั้งสามท่านเอ่ยมานั้นถูกต้องและชัดเจนยิ่งนัก

อีกอย่างการเป็นจักรพรรดิก็ดีอยู่แล้ว บัดนี้มีทั้งเรือรบระดับอู่เว้ยและกองทัพเรือ เช่นนั้นก็ให้ทหารเรือนำเรือรบออกสู่ทะเลเองสิ จักรพรรดิจะไปเข้าร่วมเพื่อเหตุอันใดกันเล่า ?

แต่สิ่งที่พวกเขามิคาดคิดก็คือ ในขณะนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ตะโกนออกมาว่า “เงียบ ! ลืมธรรมเนียมอันพึงปฏิบัติกันแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ! พวกท่านหุบปากประเดี๋ยวนี้ ! ”

“เรื่องที่เจิ้นจะออกทะเลนั้น เจิ้นได้คิดไว้เนิ่นนานแล้ว พวกท่านมิต้องโต้เถียงกัน”

“ตามแผนที่การเดินเรือ สถานที่ที่เจิ้นจะไปเรียกว่าเซี่ยเย๋ซึ่งอยู่มิไกลมากนัก เหตุผลที่เจิ้นต้องไปมิใช่เพราะต้องการก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของผู้อื่น แต่เจิ้นเพียงต้องการไปดูด้วยตนเองว่าท่าเรือธรรมชาตินั้นเหมาะสำหรับการเทียบท่าของเรือรบระดับอู่เว้ยหรือไม่”

“สิ่งที่เจิ้นต้องการไปดูคือท่าเรือนั้นสามารถนำเรือรบเทียบท่าได้จำนวนกี่ลำ ? แล้วสามารถก่อสร้างท่าเทียบเรือได้ที่ใดอีกบ้าง ? สำนักอาวุธปืนควรตั้งอยู่ที่ใด ? ”

“อู่ต่อเรือเจียงเฉิงมิเหมาะสำหรับการเทียบท่าเรือรบเพราะสถานที่แคบจนเกินไป สิ่งที่กองทัพเรือของเจิ้นต้องการคือเรือรบหลายร้อยลำ ทหารเรือของเจิ้นจะได้แล่นไปทุกทิศทุกทางในมหาสมุทรทั้งสี่ทิศในวันข้างหน้า เอ่ยไปตอนนี้พวกท่านก็มิรู้หรอก แต่พวกท่านจะรู้เองในภายหลัง”

“ดังนั้นเรื่องนี้มิใช่การหารือกับพวกท่าน จงทำหน้าที่ของตนให้ดีเพื่อที่เจิ้นจะได้คลายกังวลลงบ้าง เท่านี้เจิ้นก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว ! ”

จัวอี้สิงและพรรคพวกจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ริมฝีปากของพวกเขาเปิดออกแต่ก็มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา

ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ของพระองค์เองอยู่แล้ว ในเมื่อมิได้มาหารือ ถึงจะเอ่ยอันใดออกไปก็คงไร้ประโยชน์…

“เรื่องที่สามคือ ประกาศราชโองการของเจิ้นออกไปว่า เจิ้นอนุญาตให้ภาคเอกชนลงทุนด้านการขนส่งทางทะเล ซึ่งราชสำนักจะกำหนดอัตราภาษียี่สิบส่วนของรายได้ทั้งหมด”

……

……

จากข่าวเรื่องการประชุมใหญ่ประจำราชสำนักในวันนี้ ราษฎรจากเมืองกวนหยุนถือเป็นกลุ่มแรกที่ทราบข่าวและได้บังเกิดความเดือดพล่านขึ้นมาในทันใด

“ขุนนางเหล่านั้นสมควรโดนประหารชีวิตแล้ว ! ”

“ถูกอกถูกใจราษฎรมากยิ่งนัก ฝ่าบาททรงมีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อถึงเวลาประหารเหล่าขุนนางทุจริต ข้าจะต้องไปดูสักหน่อยแล้ว”

“พวกเจ้ามิสนใจเรื่องรัฐธรรมนูญหรือ ? ”

“ชื่อรัฐธรรมนูญ…เป็นชื่อที่แปลกประหลาดยิ่ง มิรู้ว่ามันคือกฎหมายอันใดน่ะสิ”

“ข้าเคยได้ยินมาว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด หลังจากประกาศใช้แล้ว จะต้องมีการแก้ไขกฎหมายอื่น ๆ ด้วย นี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงกำหนดและย่อมเป็นประโยชน์ต่อพวกเราอย่างแน่นอน”

“เฮ้ ๆ ๆ ฝ่าบาททรงอนุญาตให้ออกสู่ทะเลได้ พวกเจ้าจำสมบัติที่ขันทีหลิวนำกลับมาเมื่อคราที่แล้วได้หรือไม่ ? แม้ว่าราชสำนักจะเก็บภาษียี่สิบส่วน ทว่ารายได้นี้ก็น่าตกตะลึงมากยิ่งนัก ! ”

“แต่สำหรับมหาสมุทรมิใช่เรื่องง่าย ต้องใช้จำนวนเงินเท่าใดถึงจะสามารถสร้างเรือได้ ? แล้วต้องมีค่าใช้จ่ายเท่าใดถึงจะสามารถรับสมัครลูกเรือได้ ? เรื่องนี้…คงมีเพียงผู้ที่ร่ำรวยเท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมได้”

“สำหรับข้ามิคิดเยี่ยงนั้น เพราะทุกคนสามารถรวบรวมเงินทุนหรือหาผู้ร่วมลงทุนแล้วจัดตั้งบริษัทขนส่งขึ้นมาได้ ส่วนผลประโยชน์ที่ได้รับจะถูกแบ่งตามหุ้นที่ลงทุน เช่นนี้เป็นไปได้หรือไม่เล่า ? ”

“…”

นี่คือผลลัพธ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการเพราะเมื่อราษฎรมีความสนใจและมีส่วนร่วมต่อเรื่องราวของแคว้น ราชอาณาจักรจึงมีพละกำลังแข็งแกร่ง

บัดนี้เขานั่งอยู่ในห้องทรงพระอักษรและผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็คือเสนาบดีอาวุโสทั้งสามท่าน

จัวอี้สิงและคนอื่น ๆ เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ฝ่าบาท วันนี้โจวถงถงผิดแปลกไปจากเดิม นอกจากนี้…คนในตระกูลของโจวถงถงกำลังเดินทางไปยังราชวงศ์หยูแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมุ่น แต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา จากนั้นเมิ่งฉางผิงก็เอ่ยออกมาว่า “ทูลฝ่าบาท จั่วจงถานแห่งกรมขุนนางตรวจพบว่าเฉิงหยางจือโจวแห่งอู่หยวนโจวมีแนวโน้มจะทุจริตพ่ะย่ะค่ะ ! คนในตระกูลของเขาก็เดินทางไปยังราชวงศ์หยูหมดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ฝ่าบาท การเดินเรือในครานี้จึงมิสมควรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”