ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 128 คืนนี้

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เดินขึ้นไปตามถนนเสินที่ปูไปด้วยหยกขาว

สุสานเทียนซูเป็นที่ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่สุดในต้าลู่ ในที่แห่งนี้กฎเกณฑ์ของโลกมีผลกระทบอย่างมหาศาล แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจบินได้ พวกเขาได้แต่พึ่งพากำลังของสองเท้าก้าวเดินขึ้นไป แน่นอนว่านอกจากยอดฝีมือเช่นนางแล้ว คนอื่นก็ไม่อาจหวังว่าจะได้ก้าวเดินขึ้นไปบนถนนเสินแห่งนี้

นี่เป็นครั้งแรกที่เฉินฉางเซิงได้เดินขึ้นไปบนถนนเสินของสุสานเทียนซู แม้ว่าเท้าเขาจะไม่ได้สัมผัสพื้นถนนก็ตาม

นี่คือที่ซึ่งผู้บำเพ็ญเพียรมากมายได้แต่ฝันจะได้เหยียบย่างขึ้นมา และเขาก็เคยเห็นกับตาตัวเองว่าสวินเหมยพยายามบุกขึ้นถนนเสินจนตัวตาย นี่ทิ้งเป็นความรู้สึกอันลึกล้ำไว้ให้เขา

เห็นถนนเสินใต้แสงดาวยามนี้ช่างศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ ประหนึ่งว่าไม่ใช่ของโลกใบนี้ ทว่าเขาไม่มีเวลามาชื่นชม ในหัวมีแต่คำถามมากมาย

เหตุใดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ถึงได้นำเขามายังที่แห่งนี้ ทำไมนางถึงได้สั่งขุนพลฮั่นชิงเช่นนั้นตอนอยู่ที่ต้นถนน ทั่วโลกต่างรู้ว่ากองทัพต้าโจวนั้นอยู่ใต้การนำของขุนพลเทพสามสิบแปดท่าน และส่วนใหญ่ในสามสิบแปดคนนี้ก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ ยกเว้น…คนที่อยู่ในอันดับสูงสุด ขุนพลเทพฮั่นชิง

ขุนพลเทพฮั่นชิงเป็นขุนพลเทพเพียงคนเดียวที่อยู่มาตั้งแต่สมัยของจักรพรรดิไท่จง ตอนที่เขาสร้างภัยพิบัติอยู่ในทุ่งหิมะ จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ยังอยู่ในส่วนลึกของตำหนักอยู่เลย ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีมิตรภาพเก่าอันใดต่อกัน ว่ากันว่าเขาสาบานมอบชีวิตให้จักรพรรดิไท่จง และสาเหตุที่เขาปกป้องสุสานมาหกศตวรรษโดยไม่เคยออกไปเลยก็คือคำสั่งสุดท้ายที่จักรพรรดิไท่จงสั่งให้เขาทำ ทว่าท่าทีที่จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่แสดงตอนที่กล่าวกับเขานั้น บ่งบอกว่านางมั่นใจอย่างมากว่าเขาจะฟังคำสั่งนาง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ขุนพลเทพผู้นี้ย่อมเข้าใกล้เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์อย่างถึงที่สุดมานานหลายปีแล้วและเป็นที่รู้กันไปทั่วว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดนอกเหนือจากห้านักปราชญ์และแปดมรสุม ถึงกับมีคนคิดว่าหากเขาไม่เฝ้าสุสานเทียนซูอยู่ตั้งหกศตวรรษ บางทีเขาคงทะลวงผ่านเข้าสู่เขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว! หากเขาเป็นยอดฝีมือเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เฝ้าสุสานเทียนซู ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าฝ่ายตรงข้ามของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ย่อมตกใจอย่างถึงที่สุด

เมฆดำก่อตัวอีกครั้งและแสงดาวก็หายไปอีกครา ถนนเสินอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ก็หม่นมัวอยู่ในความมืด มองแล้วดูเย็นเยียบอยู่บ้าง

ตอนที่เฉินฉางเซิงคิดถึงเรื่องพวกนี้ ถนนเสินใต้เท้าของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ได้กลายเป็นสายน้ำที่ไหลสู่ตะวันตก ไหลสู่แดนไกล และนางได้มาถึงต้นน้ำแล้ว

ต้นน้ำของแม่น้ำนี้อยู่ตรงจุดสูงสุดของสุสานเทียนซูและยังเป็นจุดสูงสุดของจิงตูอีกด้วย

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่คลายมือออกแล้วโยนเขาลงกับพื้น นางเดินผสานมือไพล่หลังไปยังขอบถนนเสิน แล้วมองดูโลกเบื้องล่างสุสานเทียนซู

ความสูงของที่แห่งนี้สูงกว่าแทนกานลู่ เมื่อนางมองไปยังโลกนี้ ก็ย่อมก้มลงมองด้วยสายตาที่อยู่สูงกว่า เพราะนี่เป็นโลกของนางเสมอมา

มีน้อยคนนักที่จะสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดของสุสานเทียนซูได้ หลังจากจักรพรรดิเซียนกลับคืนสู่ทะเลดวงดาว ก็มีเพียงจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กับสังฆราชเท่านั้นที่ได้มา

เฉินฉางเซิงเป็นคนที่สามที่มายังที่แห่งนี้ ทว่าเขาไม่รู้สึกเป็นเกียรติแม้แต่น้อย เพราะเขาถูกแบกขึ้นมาและยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่อาจบรรยายได้ เจียนตายอยู่ทุกขณะ

ตอนมาสุสานเทียนซูครั้งแรก เฉินฉางเซิงได้เห็นกับตาว่าสวินเหมยยินดีจ่ายด้วยชีวิตเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของสุสานเทียนซู แต่ตอนนี้เมื่อเขามาถึงยอดเขาได้โดยไม่ต้องลงแรง เฉินฉางเซิงกลับรู้สึกหดหู่และเศร้าสร้อย

แม้จะเศร้าสร้อยหดหู่ เขาก็ยังคงมองไปรอบๆ หวังจะมองภาพทิวทัศน์รอบกายและจดจำมันไว้ มิใช่เพราะความปรารถนาเข้าถึงมหามรรคหรือเพราะความสงสัย แต่เพียงต้องการมองดูแทนผู้อาวุโสสวินเหมย และหากเขาได้พบกับคนที่จากไปแล้วบนแดนเทพเหนือดวงดาวได้จริง ก็จะได้บอกสวินเหมยว่าที่แห่งนี้เป็นเช่นไร

ยอดเขาสุสานเทียนซูนั้นดูธรรมดาอย่างยิ่ง ไร้จุดเด่นอันใด ก็เหมือนๆ ยอดเขาของภูเขาทั่วไป สิ่งเดียวที่ต่างไปก็คือที่ราบหินแห่งหนึ่ง

แต่ที่แห่งนี้เป็นที่ซึ่งผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดไฝ่ฝันจะมาถึง ดังนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มันจะธรรมดาอย่างที่เห็น

เส้นลมปราณของเฉินฉางเซิงในตอนนี้ฉีกขาดหมดแล้ว ไม่อาจก่อคลื่นในห้วงแห่งจิต เขาจึงไม่อาจส่งดวงจิตออกไป แต่กระนั้นก็สัมผัสได้ว่าบนที่ราบหินแห่งนี้รวมถึงป่าและหินใหญ่โดยรอบนั้นมีกฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่และยากจะเข้าใจได้อยู่ ยิ่งไปกว่านั้น กฎเกณฑ์เหล่านี้ก็ไม่อาจมองเห็นได้ ไร้ตัวตนแต่ก็เหมือนจะมีตัวตนอยู่บางเบา แต่ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมองเห็น

ภูเขาแห่งนี้เป็นสุสานเทียนซูเพราะว่ามีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่มากมาย ดังนั้นบนยอดเขาก็ย่อมมีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์อยู่ใช่หรือไม่

สายตาเขากวาดมองไปที่ยอดเขา และหยุดลงที่วัตถุสีดำในส่วนลึกของที่ราบหิน

คืนนี้ฟ้าไร้ดาวเต็มไปด้วยมวลเมฆ แสงจากเมืองจิงตูไม่อาจส่องมาถึงยอดเขาสูงใหญ่ของสุสานเทียนซูได้ ทุกสิ่งบนนี้จึงมืดมัวยากจะมองเห็นได้ชัดเจน เขาจึงได้แต่คาดเดาจากรูปร่างของสิ่งนั้นว่าเป็นแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์ หรือว่าแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์นี้จะเป็นเหมือนกับบทสุดท้ายของบทกวีวิถีลัทธิเต๋า บนแผ่นป้ายสลักเอาไว้ด้วยสิ่งที่คลุมเครืออยากทำความเข้าใจที่สุดแต่ก็เป็นสิ่งที่สูงส่งที่สุดของมหามรรคด้วยเช่นกัน

เฉินฉางเซิงคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจมองเห็นสิ่งที่เขียนหรือวาดเอาไว้บนแผ่นหินได้อย่างชัดเจน

“ในช่วงพันปีที่ผ่านมา คนที่สามารถทำความเข้าใจแผ่นป้ายนี้ได้มีไม่เกินห้าคน”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ยืนอยู่ที่ริมถนนเสินโดยไม่หันกลับมา

เฉินฉางเซิงเลื่อนสายตามามองแผ่นหลังของนาง

ในตอนนั้น เขานั่งอยู่บนพื้นเงยหน้าขึ้นมองนาง จากมุมมองนี้ นางเสมือนยืนอยู่บนเมฆท่ามกลางท้องฟ้าราตรี ช่างยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ

“ท่านรออะไรอยู่ ฆ่าข้าให้จบๆ ไปเลย” เฉินฉางเซิงกล่าวกับนาง

“ปัญหาก็คือว่าข้าไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงเร็วนัก” จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองดูโลกเบื้องล่างสุสานเทียนซู จากชายฝั่งที่ห่างไกลจนถึงแผงขายอาหารกลางคืนริมแม่น้ำนอกสุสานเทียนซู นางกล่าวต่อ “มีคนกี่คนที่อยากให้เจ้าตาย มีกี่คนที่อยากให้เจ้าอยู่ คืนนี้เป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะได้เห็นพวกเขาทั้งหมด และข้าเองก็อยากดูสักหน่อย”

เฉินฉางเซิงถาม “ทำไมท่านถึงอยากดู”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ตอบ “คืนนี้ ทุกคนที่อยากช่วยเจ้าก็คือศัตรูของข้า แต่คนที่อยากให้เจ้าตายไม่แน่ว่าจะเป็นคนของข้า หากพวกมันปรากฏตัวขึ้นในคืนนี้ ต่อให้อยู่ห่างไปหลายพันลี้ ซุ่มมองอยู่อย่างกระรอกกระแต ก็หมายความว่าในใจพวกมันมีความเป็นกบฏ ดังนั้นพวกมันก็ย่อมเป็นศัตรูของข้า”

“ทำไมท่านถึงอยากรู้ว่าใครเป็นศัตรูของท่าน”

“ปกติแล้วคนพวกนั้นซ่อนตัวได้เป็นอย่างดี ข้าต้องฉวยโอกาสนี้มองดูพวกมันทั้งหมด แล้วจากนั้นก็สังหารให้สิ้น”

“แล้วถ้าทั้งโลกเป็นศัตรูกับท่านเล่า”

“เช่นนั้นข้าก็จะสังหารไปครึ่งโลก แล้วอีกครึ่งที่เหลือก็จะไม่กล้าเป็นศัตรูกับข้าอีกต่อไป”

เฉินฉางเซิงนิ่งงันไป ในที่สุดก็เข้าใจในสิ่งที่นางหมายจะทำ

เป็นหญิงน่ากลัว ที่ทำให้คนอื่นหวาดกลัวได้อย่างแท้จริง

เขานั่งอยู่บนพื้นน้ำแข็ง เอนหลังพิงบันไดมองไปยังโลกงามอันเงียบสงบเบื้องล่างสุสานเทียนซูซึ่งห้อมล้อมด้วยความมืด เขาคิดในใจ จะมีกี่คนที่ต้องตายคืนนี้ คงขึ้นอยู่กับว่ามีกี่คนที่ปรากฏตัวขึ้นในจิงตูคืนนี้ หรือบางทีอย่างที่นางกล่าว มีกี่คนที่ซ่อนตัวอยู่ตามที่ต่างๆ แอบมองจิงตูอยู่ในความมืด

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่โบกแขนเสื้อและลำแสงชัดเจนก็พุ่งออกมา ลำแสงนั้นมีขนาดหลายฉื่อส่องแสงอยู่บนท้องฟ้าราตรีตรงหน้าเขา

ลำแสงนี้ไม่ใกล้ไม่ไกล อยู่ในระยะที่พอเหมาะพอดีให้คนทั้งสองเห็นได้ชัดเจน

ภาพบนท้องฟ้าเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เดี๋ยวก็เป็นวังหลวง เดี๋ยวก็เป็นสำนักฝึกหลวง เดี๋ยวก็เป็นถนนหลวงด้านนอกจิงตู เดี๋ยวก็เป็นเงาดำเลือนรางในความมืด

ภาพเหล่านี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจนเฉินฉางเซิงไม่อามองเห็นได้ชัดเจน รู้แค่ว่าในเวลาสั้นๆ ทุกคนที่ปรากฏตัวขึ้นในภาพเหล่านี้จะถูกนางสังหาร

คืนนี้ก็เป็นค่ำคืนธรรมดาช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงคืนหนึ่ง

แต่หลังจากผ่านคืนนี้ไป คืนนี้จะกลายเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สุดรัชศกเจิ้งถ่ง แห่งราชวงศ์ต้าโจว

คืนนี้ คนที่มีคุณสมบัติหรือความกล้าที่จะมายังจิงตูเพื่อช่วยเฉินฉางเซิงนั้นย่อมไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน คนที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดที่มองดูสถานการณ์ในจิงตูก็ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาเช่นกัน

เมฆดำในท้องฟ้าราตรีหนาขึ้นเรื่อยๆ แสงบนท้องถนนในจิงตูหม่นมัวลงเรื่อยๆ โลกนี้ก็มืดมนลงเรื่อยๆ บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ

บางแห่งในจิงตูก็ดูเหมือนจะปั่นป่วนขึ้น จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นความเงียบงันในที่สุด

ทันใดนั้นบนท้องฟ้าทางพายัพของจิงตูก็มีแสงปรากฏขึ้น แสงนี้มิได้สว่างเจิดจ้า แต่ดูประหนึ่งมีคนฉีกกระชากก้อนเมฆในบริเวณนั้น เผยให้เห็นดวงดาวมากมาย และเบื้องหลังดวงดาวมากมายนี้ ก็มีแสงส่องประกายรุ่งโรจน์งดงาม ไม่แน่ว่าอาจเป็นแสงจันทราที่ล่ำลือกันว่ามีแต่เผ่ามารที่จะมองเห็นได้

ในถนนหลวงตรงที่แห่งนั้น ต้นหลิวทั้งสองฝั่งไหวเอนแม้ว่าจะไม่มีลม ราวกับว่ากำลังโค้งคำนับให้กับถนนตรงกลาง

ไม่มีกองทัพที่กลางถนน ไม่มีขบวนรถ มีเพียงคนสองคน

ชายสวมหมวกไม้ไผ่ที่กำลังผลักรถเข็น เหมือนจะไปตามถนนหลวงสู่นครจิงตูอันห่างไกล

การเดินทางจากสวนหมื่นหลิวที่ทรุดโทรมในเมืองเทียนเหลียงมายังที่แห่งนี้ต้องใช้เวลานานมาก สำหรับชายบนรถเข็น เขาเดินทางมาเป็นเวลาสองร้อยกว่าปีแล้ว

สองร้อยปีก่อน จักรพรรดิเซียนไม่อาจออกว่าราชการเนื่องจากเจ็บป่วย ดังนั้นเทียนไห่จึงเริ่มทำการปกครอง นับจากตอนนั้นชายบนรถเข็นก็ไม่มาจิงตูอีกเพราะเขากลัวนาง

คืนนี้ เขาก็มาในที่สุด บางทีอาจเพราะเขาตระหนักว่าเขาเหลือเวลาอยู่บนโลกนี้ไม่มากแล้ว ต่อหน้าความตาย ความกลัวใดก็สลายไปสิ้น

สองคนจากแปดมรสุม จูลั่วกับกวนซิงเค่อได้มายังจิงตู

……

……

ครั้นเห็นภาพบนท้องฟ้าตรงหน้า เห็นจูลั่วบนรถเข็น เห็นกระบี่ชื่อดังที่เอว เฉินฉางเซิงก็ย่อมต้องคิดไปถึงการต่อสู้ในสายฝนที่เมืองสวินหยาง

เขาจดจำได้ชัดเจนว่าซูหลีเคยเยาะเย้ยจูลั่ว บอกว่าเขาเกรงกลัวเทียนไห่ ไม่กล้าก้าวเข้าจิงตูแม้แต่ก้าวเดียว

การที่จูลั่วมายังจิงตูคืนนี้ อาจเป็นเพราะเขารู้แล้วว่าตนเองกำลังจะตาย เมื่อมาพร้อมกับเพื่อนมรสุมอย่างกวนซิงเค่อ แม้ว่าพวกเขาจะมีแค่สองคน ทว่าพลังในการเคลื่อนตัวมาก็เหนือล้ำกว่ากองทัพนับพันทหารม้านับหมื่น

“กวนซิงเค่อมีบุคลิกสงบเยือกเย็นเกินไป ไม่มีความรักความชังต่อสิ่งใดในโลก หัวใจลอยอยู่ท่ามกลางดวงดาวเปลี่ยวเหงาจนทำให้คนอื่นรู้สึกเศร้า เขาไม่อาจก้าวหน้าต่อไปได้อีกในชีวิตนี้และไม่มีค่าให้ต้องกังวล”

จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่เอามือไพล่หลังยามที่นางสำรวจมองคนทั้งสองบนถนนหลวงและกล่าว “จูลั่วเสียความกล้าหาญไปเพราะซูหลี แต่ก็ยังกล้ามายังจิงตู บางทีนี่อาจเป็นตัวแปรบางอย่าง แต่อย่างไรเขาก็พิการไปแล้ว การมาถึงก็แค่นำตัวเองมาสู่ความตาย ไม่มีอะไรมากกว่านั้น”

จูลั่วกับกวนซิงเค่อเป็นยอดฝีมือในเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์สองคนที่จัดอยู่ในแปดมรสุม แต่ในสายตานาง พวกเขาก็เป็นแค่พวกไร้ประโยชน์สองคน

ภาพบนท้องฟ้าราตรีเปลี่ยนไปอีกครั้ง แสงตกลงบนถนนเสินเบื้องล่าง สีหน้าเฉินฉางเซิงเปลี่ยนไปมาระหว่างกระจ่างใสกับหม่นมัว อารมณ์เขาก็เช่นกัน เพราะตอนนี้ ภาพตรงหน้าได้เปลี่ยนไปยังลำน้ำทางอาคเนย์ของจิงตู

มันคือคลองระหว่างลั่วหยางกับจิงตู ใช้ในการขนส่งธัญพืช ลำคลองกว้างมากแต่เพราะกฎของราชสำนัก จึงไม่มีเรือเดินทางในยามค่ำคืน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ มีเรือลำใหญ่กำลังแล่นมาตามลำคลอง เมื่อเรือใหญ่แล่นผ่านลำน้ำมา ก็ก่อให้เกิดคลื่นลูกแล้วลูกเล่า คลองที่เคยใสสะอาดก็กลายเป็นขุ่นคล้ำในความมืด แต่ก็ไม่อาจบดบังสีแดงเข้มในน้ำได้

……