ธารบุปผายามอุษาสางแดงปลั่งยิ่งกว่าเปลวเพลิง
ตอนนี้ยังดึกสงัด ทว่าบุปผาแดงก็ยังคงเบ่งบานอย่างเงียบงันท่ามกลางคลื่นสีครามมากมาย
คนสองคนยืนอยู่ที่หัวเรือ หนึ่งเป็นชายชุดอาลักษณ์กับดอกไม้แดงอันไม่รู้ว่าของจริงหรือทำจากไหม ผูกอยู่กับนิ้วก้อย อีกหนึ่งสวมชุดนักพรตหญิงยากจะบอกอายุของนางได้ นางโฉมสะคราญ ทว่าแผ่กลิ่นอายโหดเหี้ยมรอบกาย ใครเห็นเป็นต้องรังเกียจ แส้หางม้าที่นางถือในวงแขนแผ่รัศมีแห่งการดับสูญอันน่าหวาดหวั่นขัดแย้งกับรูปลักษณ์ของนางอยู่บ้าง
เฉินฉางเซิงจดจำนักพรตหญิงผู้นี้ได้ รู้ว่านางคืออู๋ฉยงปี้
ในการเดินทางหมื่นลี้จากหานซานสู่จิงตู เขาได้เห็นดอกไม้แดงเล็กๆ นั้นอยู่เสมอ เมื่ออาลักษณ์นั้นยืนอยู่ข้างอู๋ฉยงปี้ เขาย่อมต้องเป็นสมาชิกอีกคนของแปดมรสุม เปี๋ยยั่งหง
อู๋ฉยงปี้เคยลอบเข้ามาในจิงตู หมายจะสังหารเซวียนหยวนผ้อในสำนักฝึกหลวง ทว่าถูกจดหมายของซูหลีบังคับให้ถอยหนีไป อย่างไรก็ตาม คืนนี้นางมาจิงตูพร้อมกับสามี หากมองจากบางมุม พวกเขามาเพื่อช่วยเขา ความรู้สึกสับสนของเฉินฉางเซิงก็เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้
“เจ้าโง่นี่กล้ามายังจิงตูด้วย”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองไปยังเรือใหญ่บนม่านแสงและกล่าวอย่างเฉยชา “นิ้วเดียวก็ฆ่านางได้แล้ว แต่สามีนางกลับไม่เลว มีค่ามากกว่านางอย่างน้อยสามเท่า”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นสองคนบนถนนหลวงทางตะวันตกเฉียงเหนือ หรือคู่สามีภรรยาในคลองทางตะวันออกเฉียงใต้ ก็ล้วนถูกยกให้เป็นดังเทพในโลกของผู้บำเพ็ญเพียร ทว่าในคำพูดจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ นอกจากเปี๋ยยั่งหงแล้วก็ไม่มีใครทำให้นางรู้สึกเป็นกังวลได้แม้แต่น้อย
แต่สุดท้ายแล้ว นางก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่
สิ่งที่เฉินฉางเซิงรู้สึกย่อมต่างไปจากที่นางรู้สึก
จากมรสุมทั้งแปด สี่คนได้มาแล้ว
คืนนี้ พายุได้วาดผ่านท้องฟ้าหม่นมัวของจิงตู สวรรค์ต้องสะท้านแผ่นดินต้องสะเทือน
นี่เป็นเพียงการเปิดม่านเท่านั้น มิช้ามินาน คนนับไม่ถ้วนก็ก้าวขึ้นเวที คนแล้วคนเล่า
บนถนนหลวงที่แตกกิ่งก้านออกจากจิงตูไปราวกับใยแมงมุม มีกองทัพมากมายปรากฏขึ้น คนเหล่านี้เหมือนจะซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดตลอดมา รอให้ยอดฝีมือทั้งสี่ปรากฏกาย จากนั้นพวกเขาก็จะฉีกฝ่าความมืดและปรากฏตัวต่อหน้าคนทั้งโลก เฉกเช่นที่พวกเขาได้ทำเมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมา
ถนนหลวงก็คือถนนที่เชื่อมต่อเมืองต่างๆ กับจิงตู
คนพวกนั้นก็อาศัยอยู่ในเมืองต่างๆ เหล่านั้นที่อยู่ห่างไปจากจิงตูตลอดมา มีลักษณะร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือล้วนมีแซ่เฉิน และเป็นทายาทจักรพรรดิไท่จง
เฉินฉางเซิงจ้องมองม่านแสงที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด นับอยู่ในใจอย่างเงียบงัน เขายืนยันแล้วว่าในความมืดมีสิบห้ากองทัพกำลังมุ่งหน้ามายังจิงตู
คนเหล่านี้มาจากจวนอ๋องของเมืองต่างๆ แม้จะมีจำนวนไม่มากแต่ก็ล้วนเป็นยอดฝีมือ ยอดฝีมือเหล่านั้นที่เดินทางอยู่รอบราชรถล้วนอยู่ในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูงขึ้นไป สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วงยี่สิบปีให้หลังมานี้ ราชวงศ์เฉินดูเหมือนจะซ่อนตัวอยู่เงียบๆ ทว่าในคืนนี้ พวกเขาก็เผยความแข็งแกร่งที่ซ่อนเอาไว้ออกมา!
สิบห้าเมือง อ๋องสิบห้าองค์ ราชรถสิบห้าคัน
ฝุ่นลอยคลุ้งขึ้นจากถนนหลวงในความมืดและปะทะกับลมเมฆ ตลบอบอวลจรดชายเมืองจิงตู
นครจิงตูแห่งต้าโจวนั้นไม่มีกำแพงเมือง ทว่ามีประตูเมืองและกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองที่อยู่ภายใต้การบัญชาการขุนพลเทพตงอวี้สวีซื่อจี แต่กระนั้น…กองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองจะหยุดยั้งราชรถเหล่านี้ที่เดินทางมาจากเมืองต่างๆ ได้อย่างไร ใครจะรู้ว่ามีขุนพลคนใดในกองทหารรักษาการณ์ประตูเมืองที่เป็นศิษย์อ๋องบ้าง มีบิดาของทหารคนใดที่ทำงานเป็นหัวหน้าองครักษ์ในจวนของหลูหลิงอ๋อง
ประตูเมืองหลายแห่งระเบิดออกด้วยคลื่นพลังปราณและประกายกระบี่อันคลุมเครือ จากนั้นก็จางไปอย่างรวดเร็ว
เหล่าอ๋องตระกูลเฉินในที่สุดก็กลับมายังจิงตูที่พวกเขาได้จากจรไปนานแล้ว
บรรดายอดฝีมือที่อยู่รอบราชรถของเหล่าอ๋องมองดูในความมืดด้วยสีหน้าที่หนักแน่น เตรียมที่จะเผชิญหน้ากับกองทัพต้าโจว หากจะให้บรรยายยอดฝีมือพวกนี้ ก็สามารถบรรยายได้ด้วยวลีเดียว ผู้กล้าแห่งโลกนี้ พวกเขามีความมั่นใจในความแข็งแกร่งและระดับการบำเพ็ญเพียรของตนเอง เชื่อว่าสิ่งที่ตนทำนั้นถูกต้อง
“เหล่าผู้กล้าอันโดดเด่นมารวมตัวกันที่จิงตู เตรียมที่จะตัดหัวจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ในคืนฤดูใบไม้ร่วง หลั่งเลือดอุ่น พลีกายเพื่อประเทศชาติ”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่มองภาพนี้ในความมืด ไม่ปิดบังความดูถูกเอาไว้แม้แต่น้อย “หมื่นปีผ่านไป เรื่องนี้อาจถูกเขียนในบันทึกประวัติศาสตร์ว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลที่สุด”
เฉินฉางเซิงมองไปที่ยอดฝีมือผู้มีสีหน้าฮึกเหิมในความเงียบงันเหล่านั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากถาม “แล้วควรเขียนอย่างไร”
“ในปีที่ยี่สิบเอ็ดของรัชศกเจิ้งถ่งราชวงศ์ต้าโจว อ๋องสิบเจ็ดคนก่อกบฏบุกเข้าจิงตู ถูกกำจัดจนหมดสิ้น”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่กล่าวอย่างเรียบเฉย โบกแขนเสื้อเล็กน้อยราวกับจะปัดเอาฝุ่นควันทั้งหลายออกไป
เฉินฉางเซิงคิดในใจ อ๋องกบฏอีกสองคนอยู่ที่ใด
ห่างจากจิงตูไปหลายร้อยลี้ห่าง ในเมืองลั่วหยาง คืนนี้ไม่มีเมฆมากนัก ดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าส่องแสงมายังโลกดังเช่นเคย ไม่ว่าจะเป็นตรอกเหม็นสาบที่คนจนอาศัยหรือประตูเคลือบเงาสีแดงที่ตอนเหนือของเมือง
ประตูใหญ่ของจวนอ๋องถูกเปิดออกช้าๆ และเซียงอ๋องก็เดินออกมา เขาเคลื่อนร่างกายอ้วนอั้นตั้นลงมาตามบันไดหินด้วยความยากลำบาก ด้วยความช่วยเหลือจากผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากผ่านไปนานเขาก็จะไต่ขึ้นราชรถที่ไม่สูงเสียเลยจนได้ แค่การเคลื่อนไหวง่ายๆ นี้ก็ทำให้เขาต้องหอบหายใจแล้ว
เมื่อนั่งลง พุงอ้วนพีก็ห้อยลงบนเข็มขัดสีเหลืองดูไม่สบายเอาเสียเลย
เซียงอ๋องปลดเข็มขัดสีเหลืองและนวดไขมัน ภายในใจพลันเกิดความรู้สึกเศร้าอย่างล้ำลึก
เขาอาศัยอยู่ในลั่วหยางมานานหลายปี และเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการเป็นที่สนใจของเสด็จแม่ เขาจึงกินดื่มอย่างเต็มที่ เป็นผลให้พ่วงพีเช่นนี้ หากเขาได้สืบทอดบัลลังก์ในอนาคต จะได้รับความเคารพจากเหล่าขุนนางด้วยสภาพร่างกายเช่นนี้ได้อย่างไรกัน แต่นั่นก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเขาก็ไม่เหมือนกับน้องเจ็ด ถึงขนาดโยนขี้ลาเข้าปากแสร้งเป็นบ้า แหวะ ช่างเป็นคนบ้าอย่างแท้จริง!
ทุกคนในจวนอ๋องไม่ว่าจะเป็นสนมหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ล้วนคุกเข่ากันอย่างเนืองแน่นอยู่บนถนนยาวและกล่าว “ขอแสดงความยินดีที่ท่านอ๋องเสด็จกลับจิงตู”
เซียงอ๋องถอนหายใจให้กับฝูงชนและกล่าว “มีอะไรให้แสดงความยินดี มีแต่ผีถึงรู้ว่าข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาไหม”
ถนนด้านนอกจวนอ๋องเปลี่ยนเป็นเงียบงัน เหล่าสนมคนโปรดมองหน้ากันไปมาอย่างหวาดกลัว บางคนเริ่มร้องไห้คร่ำครวญ แต่ก็ยากจะบอกได้ว่าเป็นความจริงใจหรือไม่
เซียงอ๋องรู้สึกรำคาญเลยโบกมือ “เจ้าร้องไห้หาอะไรกัน ก็ได้ๆ หากข้าไม่อาจกลับมา พวกเจ้าก็ฆ่าตัวตายตามอ๋องผู้นี้ไปแล้วกัน”
ได้ยินเช่นนี้ท้องถนนก็เงียบงันไปอีกครา จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องไห้ครั้งใหญ่ แต่ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเหล่าสนมและผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายร้องได้ออกมาอย่างจริงใจ เปี่ยมไปด้วยความเศร้าโศก
……
……
บนถนนด้านนอกจวนประจำเมืองเจียงหนาน ภาพแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นแม้ว่าจะไม่เหมือนทุกประการก็ตาม
จงซานอ๋องเดินออกมาจากฝูงชนที่คุกเข่าด้วยสีหน้าขาวซีดไร้อารมณ์ มีเพียงแค่ความบ้าคลั่งในส่วนลึกของดวงตาแดงก่ำที่พอจะมองเห็นได้
เมื่อเขาเดินออกมา รอยเท้าที่ชัดเจนก็ปรากฏขึ้นด้านนอกจวนอ๋อง เป็นรอยเท้าเลือด
ประหนึ่งเขาเดินผ่านทะเลเลือดมา
อันที่จริงแล้วในตอนนี้จวนจงซานอ๋องก็ได้กลายเป็นทะเลเลือดไปแล้ว เหล่าคนรับใช้ที่ถูกส่งมาจากราชสำนักล้วนจมอยู่ในกองเลือด หัวหลุดออกจากร่าง
ทั้งหมดล้วนถูกจงซานอ๋องสังหารกับมือตัวเอง
มีคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ถูกฆ่าก็คือหัวหน้าขันที เขากำลังถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ด้านหลังประตูจวนอ๋อง
หัวหน้าขันทีแก่มากแล้ว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น เขารู้ดีว่าเขากำลังจะตายแต่สีหน้าก็ยังสุขุม เขามองจงซานอ๋องที่กำลังจะขึ้นราชรถและกล่าว “ท่านอ๋อง ที่ท่านไม่ฆ่าข้าก็คาดว่าคงเป็นเพราะท่านอ๋องไม่อยากเด็ดบัวไม่ไวใยกับจักรพรรดิ การเดินทางไปยังวังหลวงนั้นยาวไกลนัก ไม่เสียหายอะไรหากท่านอ๋องจะใช้เวลาสักหน่อย มองดูสถานการณ์เสียก่อนและจากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะทำอย่างไร”
นี่เป็นคำแนะนำอันดีเลิศ อย่างแรกเขามอบคำอธิบายแก่จงซานอ๋องจากนั้นก็เสนอแผนให้ เป็นแผนที่ชาญฉลาดและรอบคอบอย่างมาก
จงซานอ๋องไม่สนใจขันทีเฒ่า กระโดดขึ้นราชรถและกล่าว “ข้าไม่ฆ่าเจ้าไม่ใช่เพราะข้าอยากเหลือทางถอยไว้ให้ตนเอง ข้าแค่อยากให้เจ้าได้ลิ้มรสว่าข้ารู้สึกอย่างไรตลอดหลายปีมานี้”
สีหน้าขันทีเฒ่าเปลี่ยนไปครั้นได้ยินคำพูดนี้ ไม่อาจรักษาความสุขุมเอาไว้ได้อีกต่อไป
ภายใต้การคุ้มกันของยอดฝีมือหลายสิบคนของจวนอ๋อง ราชรถของจงซานอ๋องก็เคลื่อนเข้าไปในความมืด มุ่งตรงไปยังจิงตู
มีแต่เสียงเย็นเยียบเสียดกระดูกของท่านอ๋องดังสะท้อนอยู่บนถนน
“อย่าให้เจ้าสุนัขเฒ่านั่นตาย แต่ไม่ต้องให้อาหารมัน ให้กินแต่ขี้ลา จำไว้ว่าต้องเป็นขี้สด สดใหม่เท่านั้น”
……
……
พายุวาดผ่านท้องฟ้าหม่นมัว
อ๋องกบฏทั้งสิบเจ็ดองค์เข้าสู่จิงตู
ครั้นเห็นภาพนี้ในความมืด เฉินฉางเซิงก็รู้ว่าตนได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในต้าลู่นับตั้งแต่โศกนาฏกรรมของสำนักฝึกหลวง
เขาเป็นต้นเหตุของเหตุการณ์นี้หรือไม่ก็เป็นชนวนเหตุ เมื่อเขาคิดว่ามีคนมากมายในโลกต้องตายในคืนนี้ มีสามัญชนมากมายต้องไร้บ้านหลังจากนี้ ไม่ก็ต้องตายในความโกลาหลจากสงคราม อารมณ์ของเขาก็ยิ่งว้าวุ่นไม่สบายใจ รู้สึกเพียงแต่ความสะอิดสะเอียนภายในท้องจนอดกระอักกระไอออกมาไม่ได้ ไอแต่ละครั้งก็เจ็บปวดยิ่งนัก ใบหน้าขาวซีดลงเรื่อยๆ
“การแสดงวิปริตนี้น่าสนุกยิ่งนัก ดูต่ออีกหน่อยก่อนจะตาย อย่าเพิ่งรีบตายเร็วนัก”
จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ได้ยินเสียงไอของเขาและให้คำแนะนำโดยไม่หันมามอง
ได้ยินเช่นนี้ เฉินฉางเซิงก็พลันสัมผัสได้ว่าเขาเคลื่อนไหวได้
เขารู้ว่านี่คือเจตนาของนาง เขาจึงใคร่ครวญว่าเขาสามารถทำสิ่งใดได้อีก
เขามีจดหมายของซูหลีอยู่ในอกเสื้อ มีกระบี่มากมายอยู่ในฝัก มีแผ่นป้ายอนุสรณ์คัมภีร์สวรรค์และสิ่งอื่นๆ อีกมาก
แต่ร่างของนางช่างสูงส่งยิ่งใหญ่ นางอยู่ใต้ท้องฟ้าราตรีแต่กลับดูเสมือนว่าอยู่เหนือมัน
เขาเอามือซุกอกเสื้อ ไม่ได้เอาจดหมายออกมา แต่เป็นขวดลายครามเล็กๆ ใบหนึ่ง
ในขวดนี้มียาอยู่
เขาเทยาหลายสิบเม็ดออกจากขวด ก่อนโยนเข้าปากโดยไม่แยกยา เคี้ยวกินราวกับเป็นลูกกวาด เสียงเม็ดยาดังกร้วมๆ
เมื่อมาถึงยอดเขาสุสานเทียนซู จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็ไม่เคยหันกลับมามองเขาอีก แต่เมื่อได้ยินเสียงนี้นางก็หันมามองเขา
เฉินฉางเซิงไม่สนใจสายตาของนาง ไม่นานจากนั้นเขาก็กางแผงเก็บเข็มออก แล้วเริ่มเอาเข็มปักลงตามจุดชีพจรบนลำคอ
ใบหน้าของเขาขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาราวกับว่าไม่อาจทนทานลมฤดูใบไม้ร่วงได้
เมื่อเวลาผ่านไป การสั่นก็ค่อยๆ หายไป ใบหน้ามีจุดเลือดที่ค่อนข้างผิดปกติปรากฏขึ้น
……
……
ศัตรูจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ปรากฏตัวในความมืดทีละคนๆ ไม่ใช่เพียงเพราะนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด แต่เพราะเป็นโอกาสสุดท้าย
หากพวกเขาปล่อยให้นางสังหารเฉินฉางเซิงและทำการพลิกโชคชะตาครั้งที่สามในรอบพันปีสำเร็จ บางทีอาจไม่มีใครสามารถทำให้นางลงจากบัลลังก์ต้าโจวได้อีก
ยอดฝีมือที่ใช้ชีวิตสันโดษแยกจากโลก เหล่าอ๋องแห่งราชวงศ์ที่รอคอยอย่างอดทน เหล่าวีรชนที่ทนทุกข์อยู่เงียบๆ ต่างก็มารวมกันที่จิงตู แต่นี่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาล และศัตรูจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์เทียนไห่ก็มีมากมายเหลือเกิน บนถนนหลวงสู่แดนใต้ เงาร่างจำนวนหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้น สำนักกระบี่หลีซานไม่ส่งใครมา ยอดเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ไม่ส่งคนมา สำนักต้นไหวก็ไม่มีใครปรากฏตัว พรรคฉางเชิงก็ไม่มีใครเช่นกัน ทว่าประมุขตระกูลชิวซานกับผู้เฒ่าคนนั้นปรากฏตัว หญิงชราแห่งตระกูลมู่ท่าก็มา ประมุขตระกูลอู๋ผู้เจ้าเล่ห์ก็มาเช่นกัน ในสี่ตระกูลใหญ่ล้วนมาแล้ว แต่ว่าตระกูลถังเล่า