ค่ำคืนนี้สำนักฝึกหลวงนั้นเต็มไปด้วยกิจกรรมวุ่นวาย เริ่มด้วยเฉินฉางเซิงหายตัวไป กองทัพจากราชสำนักและทหารม้านิกายหลวงเกิดปะทะกัน จากนั้นเฉินฉางเซิงก็กลับมา แต่ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็หายตัวไปอีกครั้ง ในป่าฤดูใบไม้ร่วงนอกกำแพงสำนักฝึกหลวงมีเสียงร้องโหยหวนและคลื่นพลังปราณอันน่าหวาดหวั่น ทว่าเมื่อทหารม้านิกายหลวงกับถังซานสือลิ่วและพวกรีบรุดไป พวกเขาก็ไม่เห็นอะไรอื่นอีกนอกจากซากศพและกองเลือด
กองทัพราชสำนักยังคงล้อมสำนักฝึกหลวงเอาไว้ จากตรอกไป๋ฮวาจนถึงถนนใหญ่ ตลอดทางไปจนถึงกำแพงวัง มีคนอยู่ทั่วไปหมด สัญญาณความขัดแย้งปรากฏให้เห็นอยู่เนืองๆ บนถนนและกำแพง ถังซานสือลิ่วยืนอยู่ที่ประตูสำนักฝึกหลวง มองไปในความมืด ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีความเมินเฉยไม่ไยดีเช่นเคยอีกต่อไป แต่เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ซูม่ออวี๋กำลังปลอบขวัญอาจารย์และนักเรียนในขณะที่เจ๋อซิ่วกำลังลาดตระเวนร่วมกับศิษย์สถานศึกษาหนานซี ประตูสำนักฝึกหลวงได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่นจากทหารม้านิกายหลวง และว่าตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่มีใครกล้าจะมาโจมตีที่แห่งนี้ กระนั้นก็ตาม ถังซานสือลิ่วเข้าใจดีว่าสำนักฝึกหลวงไม่อาจอยู่อย่างสงบสุขต่อไปได้ เพราะบางสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น
ตรงหน้าประตูสำนักฝึกหลวง ด้านข้างตรอกมีร้านน้ำชาอยู่ ฤดูใบไม้ร่วงปีก่อนระหว่างการประลองระหว่างสำนัก เหมาชิวอวี่กับนักพรตซื่อหยวนสองผู้ยิ่งใหญ่แห่งนิกายหลวงมักมาดื่มชาเพื่อดูแลไม่ให้เกิดเหตุการณ์ใดขึ้น อย่างไรก็ตาม คืนนี้เห็นได้ชัดว่าพระราชวังหลีถูกล้อมด้วยพายุ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่สองผู้ยิ่งใหญ่จะมาปรากฏตัวที่ร้านน้ำชา
แต่กลับพลันมีเสียงดังมาจากร้านน้ำชา เสียงบางคนกำลังลงบันไดมา
คนผู้หนึ่งเดินลงบันไดมา
ถังซานสือลิ่วหรี่ตามอง ไม่สบายใจยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกับว่าเขาเคยได้ยินเสียงฝีเท้านี้มาก่อน
ประตูไม้ของโรงน้ำชาถูกผลักเปิดจากด้านใน เถ้าแก่โรงน้ำชาส่งคนผู้หนึ่งออกมาอย่างนอบน้อม
เป็นชายหล่อเหลาผู้หนึ่ง ใบหน้าละม้ายคล้ายกับถังซานสือลิ่ว แต่เห็นได้ชัดว่ามีอายุมากกว่า เขานับได้ว่าอยู่วัยกลางคน แต่ก็ยังมีเสน่ห์ให้หญิงสาวนับไม่ถ้วนหลงใหล
ทหารม้านิกายหลวงตรงหน้าประตูตึงเครียดขึ้นมา คืนนี้มีทหารของราชสำนักล้อมอยู่ด้านนอก ทหารม้านิกายหลวงคุ้มกันอยู่ด้านใน ยากนักที่จะมีใครลอบเข้าสำนักฝึกหลวงได้ แต่ใครจะไปคิดว่าระหว่างกองกำลังทั้งสองจะมีคนนั่งดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาใกล้สำนักฝึกหลวงมาตลอดคืน
เมื่อเขาเดินออกมาจากโรงน้ำชา ก็ไม่ต่างไปจากฝ่าทะลวงผ่านการตรวจตราของราชสำนักและมาถึงสำนักฝึกหลวงได้โดยตรง
ครั้นถังซานสือลิ่วเห็นชายคนนั้น สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นซับซ้อนอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้เขาก็รู้แล้วว่าต้องมีคนมา แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนผู้นี้
คนผู้นี้มาจากเวิ่นสุ่ย เขาคือประมุขรองตระกูลถัง
……
……
“ท่านอารองมาได้อย่างไร”
ถังซานสือลิ่วยิ้มให้คนผู้นี้และถามแต่ในใจกลับระวังระไวกว่าปกติ
สถานการณ์ในจิงตูนั้นตึงเครียดจนเขารู้ว่าตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยต้องส่งคนมา แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนผู้นี้
ในบรรดาคนที่จะส่งมา นี่เป็นคนที่เขาอยากเห็นน้อยที่สุด
ตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยเป็นผู้นำของสี่ตระกูลใหญ่ มีความแข็งแกร่งหาใดเปรียบ เพียงนามประมุขเฒ่าตระกูลถัง ก็ทำให้ครึ่งโลกหวาดกลัวในขณะที่อีกครึ่งโลกหมอบคลานอยู่แทบเท้าแล้ว แต่ชื่อเสียงของบุตรทั้งสามของประมุขเฒ่าตระกูลถังนั้นไม่อาจเทียบกับเขาได้ แม้แต่ถังซานสือลิ่วก็ไม่ โดยเฉพาะประมุขรองตระกูลถัง หลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีตัวตน
คนในเมืองเวิ่นสุ่ยต่างก็รู้ ทุกครั้งที่มีคนเดินทางจากภายนอกพูดถึงสิ่งที่ถังซานสือลิ่วทำในจิงตู ก็เป็นต้องทอดถอนใจกับวิถีชีวิตสุรุ่ยสุร่ายของเขา ผู้คนในเมืองเวิ่นสุ่ยต่างก็พูดด้วยความดูถูกอย่างที่สุด “เทียบกับท่านอารองของเขาแล้ว เขาจะเรียกว่าสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไร หากเจ้าอยากรู้ว่าจะเขียนคำว่า ‘ผลาญตระกูล’ อย่างไร ก็ต้องมาดูประมุขรองตระกูลถังนี่ถึงรู้ได้”
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องเสแสร้งแกล้งทำ
มีแต่ทายาทโดยตรงของตระกูลถังเท่านั้นที่รู้ว่าประมุขรองนั้นน่ากลัวเพียงใด
ในตระกูลถัง ประมุขรองมีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียรมากที่สุด และเขาก็เป็นคนที่ทำให้พรสวรรค์เสียเปล่าจนหมดสิ้น หลายปีก่อนตอนที่จวงจือห้วนเจ้าสำนักเทียนเต้าในตอนนั้น มาเยี่ยมเยือนเวิ่นสุ่ยและพบกับคนผู้นี้ เขาก็ให้การประเมินว่า “ใช้พรสวรรค์อย่างสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ได้ คนผู้นี่ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก” คำพูดนี้ไม่นับว่าไร้ที่มา แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
คนที่ไม่สนสิ่งใดไม่นับถือสิ่งใด คนเช่นนี้ย่อมน่ากลัวที่สุด
ถังซานสือลิ่วเป็นหลานเพียงคนเดียวของตระกูลถังและเติบโตขึ้นมาภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของคนทั้งตระกูล แม้กระนั้นเขาก็ยังไม่ยินดีจะพบกับท่านอารองผู้นี้
เมื่อมาถึงจิงตู เขาก็ไม่แม้แต่จะจดจำว่ามีท่านอาเช่นนี้อยู่
คืนนี้ ประมุขรองตระกูลถังได้มายังจิงตูและเดินลงบันไดมาแล้ว
นี่หมายความว่าตระกูลถังก็มาแล้วและยังใช้ท่าที่ซึ่งใจหินที่สุด ใช้วิธีซึ่งไร้เมตตาที่สุดในความขัดแย้งนี้
นี่เป็นสิ่งที่เกินจินตนาการถังซานสือลิ่วมากมาย
“ตระกูลต้องการทำอะไร” เขาถามอีกครั้ง
ประมุขรองตระกูลโบกพัดในมือพลางสำรวจมองภาพสำนักฝึกหลวงตรงหน้า เขาดูเหมือนกับคุณชายสำรวยยิ่งนัก ทว่าคำพูดที่กล่าวนั้นไม่มีทางออกมาจากคุณชายสำรวยอย่างแน่นอน
“เป็นไปไม่ได้ที่จะวางเฉยต่อเรื่องนี้ ดังนั้นเราต้องทำบางอย่าง ข้าคิดว่าเรื่องนี้น่าสนใจทีเดียวก็เลยมาด้วยตัวเอง”
ถังซานสือลิ่วถาม “ท่านปู่ไม่กลัวว่าอารองจะทำเรื่องบ้าๆ หรือ”
ประมุขรองตระกูลถังหุบพัดกระดาษและกำพัดไว้ในมือ ยิ้มตอบ “นอกจากคนบ้าเช่นข้าแล้ว ใครจะบุกฝ่าสถานการณ์โกลาหลเช่นนี้ได้”
ถังซานสือลิ่วหน้าไม่เปลี่ยนแต่หัวใจตกวูบลง
หากเป็นบิดาหรืออาสามเป็นผู้มายังจิงตู เขามั่นใจว่าเขาจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาเห็นความสำคัญของความปลอดภัยของเฉินฉางเซิงได้ นั่นเพราะตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยไม่รู้ว่าเฉินฉางเซิงมีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่กี่วัน ดังนั้นหากเฉินฉางเซิงรอดชีวิตผ่านมรสุมนี้ไป เขาก็ย่อมเป็นผู้มีสิทธิ์ที่สุดที่จะได้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิแห่งต้าโจว สำหรับตระกูลถังแล้ว นี่เป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ทว่าคนที่มากลับเป็นประมุขรองตระกูลถัง
เขารู้ดีว่าท่านอารองผู้นี้ไม่เคยสนใจเรื่องความเป็นตายของใครทั้งนั้น
“จิงตูกว้างใหญ่ อารองไม่จำเป็นต้องมาที่สำนักฝึกหลวง” ถังซานสือลิ่วกล่าว
ประมุขรองตระกูลถังมองดูเขาอย่างใจเย็นและกล่าว “เจ้าคือจุดอ่อนเดียวของตระกูลถังในจิงตู ก่อนข้าจะเริ่มทำการ ย่อมต้องนำเจ้าออกไปก่อน”
ถังซานสือลิ่วมองตาเขาและกล่าว “อารองเพิ่งบอกว่าจิงตูกำลังวุ่ยวาย ข้าเป็นผู้คุมกฎสำนักฝึกหลวง ย่อมไม่อาจจากไปได้ในตอนนี้”
ประมุขรองตระกูลถังหัวเราะ
การหัวเราะนี้พิเศษอย่างมาก ทั้งเปิดเผยทั้งร่าเริง เขาอ้าปากกว้างไม่มีเจตนาจะปิดบังแม้แต่น้อย แต่…กลับไม่มีเสียงออกมา
การหัวเราะไร้เสียงอาจดูใสซื่อบริสุทธิ์ ทว่ามันก็ยังดูน่ากลัวได้อีกด้วย
“ออ ผู้คุมกฎสำนัก…” รอยยิ้มประมุขรองตระกูลถังหายไป เขาถามด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “เจ้ายังเล่นไม่พออีกหรือ”
ได้ยินคำว่า ‘เล่น’ ถังซานสือลิ่วย่อมคิดไปถึงบทสนทนาที่เขามีกับเฉินฉางเซิงในกลางวันต้นฤดูใบไม้ร่วงใต้ต้นไทรย้อยของสำนักฝึกหลวง และจากนั้นก็คิดไปถึงคืนก่อนที่สำนักฝึกหลวงจะมีความขัดแย้งกับตระกูลเทียนไห่ ลั่วลั่วถูกบังคับให้ไปอยู่ในโลกใบไม้ครามของพระราชวังหลี
ในสายตาพวกผู้อาวุโส ทุกอย่างที่ผู้เยาว์เหล่านี้ได้ทำในสำนักฝึกหลวงเป็นเพียงแค่การเล่นเท่านั้น
ถังซานสือลิ่วคิดถึงเรื่องมากมาย แต่สีหน้าไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย ณ จุด หนึ่ง เขาก็แอบทำสัญญาณมืออยู่ด้านหลัง
สายลมพัดผ่านความมืดของสำนักฝึกหลวงก็พลันมีกลิ่นอายเลือด ราวกับว่ามีอสูรดุร้ายได้แอบมายังที่แห่งนี้ เตรียมจะโจมตีเต็มกำลังอยู่ทุกขณะ
เจตจำนงกระบี่อันเย็นเยียบและบริสุทธิ์หลายสิบสายพุ่งขึ้นมาจากหญ้าริมทะเลสาบ ในชั่วขณะพวกมันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ที่น่าหวาดหวั่น
ความเย้ยหยันพลันปรากฏขึ้นบนหน้าของประมุขรองตระกูลถัง ชั่วจังหวะหนึ่ง เขาก็พลันมาอยู่ข้างกายถังซานสือลิ่วและมือขวาก็มาอยู่ที่ท้ายทอยของเขาแล้ว
ถังซานสือลิ่วสัมผัสได้ถึงมืออันเย็นเยียบและเหนียวเหนอะ ไม่เหมือนงู แต่เหมือนตะไคร่น้ำที่ขึ้นบนก้อนหินริมสระ
หัวใจเขากระตุกวูบ
เขารู้ว่าอารองนั้นน่ากลัว แต่ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเพียงนี้ ต่อหน้าเขาแล้วไม่อาจขัดขืนได้เลย
ประมุขรองตระกูลถังมองผ่านความมืดไปยังต้นไทรย้อยและถาม “เจ้าคือลูกหมาป่าตัวนั้นหรือ”
เจ๋อซิ่วโผล่ออกมาจากหลังต้นไทรย้อย ดวงตาแดงก่ำ ร่างกายแผ่รัศมีโหดเหี้ยมออกมา แขนยื่นออกมานอกแขนเสื้อสั้นๆ ที่ปกคลุมไปด้วยขนสัตว์ยาว เขาได้เตรียมพร้อมที่จะกลายร่างแล้ว ศิษย์สถานศึกษาหนานซีก็ปรากฏตัวขึ้นในความมืด พวกเขาถือกระบี่ยาวจ้องมองดูชายวัยกลางคนที่จับตัวถังซานสือลิ่ว ทั้งสับสนทั้งหวาดหวั่น
ชายวัยกลางคนผู้นี้น่าจะมาจากตระกูลถัง แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถังซานสือลิ่วได้ส่งสัญญาณลับให้พวกเขาทั้งหมดเตรียมพร้อมโจมตี
แต่ก่อนที่เจ๋อซิ่วหรือศิษย์สถานศึกษาหนานซีจะทันทำอะไร ชายวัยกลางคนก็คุมสถานการณ์เอาไว้ได้อย่างง่ายดาย
เจ๋อซิ่วมองไปที่ถังซานสือลิ่ว
สีหน้าถังซานสือลิ่วไม่เปลี่ยนเมื่อเขามองกลับไป ความหมายของเขาชัดเจน เขาไม่ต้องการไปจากสำนักฝึกหลวงโดยเฉพาะในเวลานี้
เจ๋อซิ่วเคลื่อนสายตาไปที่ใบหน้าประมุขรองตระกูลถังขณะก้าวออกไปข้างหน้า
“ข้าเกลียดตาของเจ้า ป่าเถื่อนเกินไป ล้าหลังเกินไป ไม่มีอารยะ…”
ประมุขรองตระกูลถังมองไปที่เจ๋อซิ่วและกล่าวต่อ “ปกติแล้ว ข้าไม่รังเกียจที่จะทุบกระดูกทุกท่อนในร่างกายเจ้าให้เป็นชิ้นๆ แต่เพื่อเห็นแก่หน้าหลานชายข้า ข้าจะไม่ทำอะไรเจ้า แต่หากเจ้าก้าวเข้ามาอีกก้าวเดียว หรือพวกสาวๆ จากสถานศึกษาหนานซียกกระบี่ขึ้น เช่นนั้นแล้วข้าก็จำเป็นต้องสังหารเขา”
จนถึงตอนนี้ เจ๋อซิ่วและศิษย์สถานศึกษาหนานซียังไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ คิดในใจ จับตัวถังซานสือลิ่วไว้แล้วมีประโยชน์อะไร หรือว่าท่านจะใช้เขาข่มขู่พวกเราจากนั้นพวกเขาก็ได้ยินชายคนนั้นกล่าวออกมาอย่างใจเย็น ใจเย็นจนพวกเขายากจะเชื่อได้ แต่ก็จำเป็นต้องเชื่อ
“เขาเป็นหลานท่านนะ” เยี่ยเสี่ยวเหลียนมองดูประมุขรองตระกูลถังราวกับว่าเขาเป็นอสูร
ประมุขรองตระกูลถังยิ้มบางๆ และกล่าว “เขาเป็นหลานรักข้า”
ถังซานสือลิ่วพลันกล่าวขึ้น “อารอง ท่านไม่ได้อยากให้ข้าตายมาตลอดหรอกหรือ”
“คำพูดไร้สาระไร้ยางอายนี่มาจากไหนกัน” ประมุขรองตระกูลถังถามเขาอย่างอ่อนโยน “นี่เป็นคำสั่งของบิดาเจ้า ข้ามีอำนาจเต็มที่ในการจัดการเรื่องในจิงตู ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหรือใครก็ตาม ตราบใดที่เจ้าไม่เชื่อฟังคำสั่งข้า ข้าจะฆ่าเจ้าทันที เพื่อประโยชน์ของตระกูลในภายภาคหน้า การเสียสละเล็กน้อยย่อมไม่อาจเลี่ยงได้”
ถังซานสือลิ่วหัวเราะและกล่าว “ข้าเป็นหลานเพียงคนเดียวของตระกูลถัง หากท่านฆ่าข้า แล้วจะไปอธิบายต่อตระกูลได้อย่างไร”
ประมุขรองตระกูลถังตะลึงไป หลังจากผ่านไปนานเขาก็ตอบอย่างจริงจัง “เช่นนั้นข้าคงต้องมีลูกสักคน”
ถังซานสือลิ่วไม่หัวเราะอีกต่อไป มองดูเขาอย่างใจเย็นและกล่าว “มีลูก? ดูเหมือนว่าอารองจะอยากให้ข้าตายจริงๆ”
รองประมุขตระกูลถังยิ้ม “เพื่อตระกูลถังแล้ว ข้ากับอาสามเจ้าไม่มีบุตร ให้ความรักและตามใจเจ้าคนเดียว แต่เราไม่มีทางตามใจเจ้าจนเป็นลูกหมีตัวหนึ่ง อย่าได้เอาแต่ใจ”
……