บทที่ 1817 ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งพลังปราณ

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

บทที่ 1817 ท่าไม้ตายบนเส้นทางแห่งพลังปราณ

 

มิติช่องว่างจักรพรรดิ

 

ฟางหยวนกำลังฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ

 

วิญญาณอมตะหลายดวงเคลื่อนที่อยู่บนท้องฟ้าขณะที่วิญญาณระดับมนุษย์จำนวนมากบินอยู่รอบๆราวกับพายุหมุน

 

แต่หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ท่าไม้ตายอมตะก็ยังไม่ทำงาน

 

เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของฟางหยวน หลังจากสิบลมหายใจ ฟางหยวนแทบไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ อย่างไรก็ตามท่าไม้ตายอมตะยังประสบความสำเร็จในที่สุด

 

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ เสื้อคลุมดาราสวรรค์!

 

เสื้อคลุมสีขาวที่ส่องประกายระยิบระยับราวกับถักทอขึ้นมาจากดวงดาวปรากฏขึ้นบนร่างกายของฟางหยวน

 

นี่เป็นท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดแต่หลังจากได้รับการขยายพลังอำนาจโดยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งพลังปราณหนึ่งล้านร่องรอย พลังอำนาจของมันก็เพิ่มขึ้นถึงหนึ่งพันเท่า!

 

หลังจากตรวจสอบ ฟางหยวนรู้สึกตกใจมากกับพลังป้องกันอันน่าเหลือเชื่อของมัน

 

“มันมีพลังเทียบเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับแปดและแข็งแกร่งกว่าเสื้อคลุมฤดูหนาว” ฟางหยวนถอนหายใจ

 

แน่นอนว่ามันไม่สามารถเปรียบเทียบกับเกราะหวนคืน

 

หลังจากทั้งหมดร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งพลังปราณนับล้านร่องรอยไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

 

มันทำให้ท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ดมีพลังอำนาจเทียบเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับแปด สิ่งสำคัญที่สุดคือมันใช้พลังงานอมตะเท่ากับท่าไม้ตายอมตะระดับเจ็ด!

 

“หมื่นภัยพิบัติหนึ่งครั้งจะมอบร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ให้ผู้อมตะประมาณแปดหมื่นร่องรอย ยิ่งภัยพิบัติทรงพลังเท่าใด ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ที่ได้รับก็ยิ่งมากเท่านั้น”

 

“โดยทั่วไปหลังจากผู้อมตะระดับแปดก้าวข้ามหมื่นภัยพิบัติสามครั้ง พวกเขาจะกลายเป็นผู้อมตะระดับเก้า พวกเขาจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋อย่างน้อยสามแสนร่องรอย”

 

“ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งพลังปราณหนึ่งล้านร่อยรอยมีเพียงผู้อมตะระดับเก้าเท่านั้นที่สามารรถครอบครองได้”

 

“วิญญาณอมตะที่เป็นแกนกลางของท่าไม้ตายอมตะเสื้อคลุมดาราสวรรค์เป็นเพียงวิญญาณอมตะระดับเจ็ด แต่ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งพลังปราณขยายพลังอำนาจให้มันไปถึงระดับแปด หากข้าใช้วิญญาณอมตะระดับแปดบนเส้นทางแห่งพลังปราณ หลังจากได้รับการขยายพลังอำนาจ มันจะบรรลุถึงระดับเก้าหรือไม่?”

 

ฟางหยวนครุ่นคิด

 

แต่หลังจากไม่นานเขาก็ส่ายศีรษะ

 

มีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย

 

“ท่าไม้ตายอมตะระดับเก้าต้องใช้วิญญาณอมตะระดับเก้า การขยายพลังอำนาจด้วยร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ไม่สามารถยกระดับพลังอำนาจของท่าไม้ตายอมตะขึ้นสู่ระดับเก้า”

 

“หรือกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้นก็คือข้าไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ระดับนั้นได้โดยใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋เพียงหนึ่งล้านร่องรอย”

 

“บางทีหากข้ามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋สิบล้านร่องรอย มันอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพและบรรลุระดับเก้า”

 

ฟางหยวนไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

 

แม้เขาจะเป็นผู้อมตะระดับแปด แต่ระดับเก้ายังเป็นสิ่งคลุมเครือสำหรับเขา

 

ในทางทฤษฎี ผู้อมตะระดับเก้าจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋อย่างน้อยสามแสนร่องรอย

 

แต่ตามสิ่งที่ฟางหยวนเรียนรู้มาจากจิตวิญญาณแผ่นดินหลางหยาและประสบการณ์ของเขาเอง ผู้อมตะระดับเก้าทุกคนต่างเป็นสัตว์ประหลาดที่แท้จริงและไม่สามารถประเมินได้ด้วยตรรกะ ทั่วไป

 

กล่าวถึงเทพปีศาจไร้ขอบเขต เมื่อเขายังเป็นผู้ใช้วิญญาณ เขามีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าเท่ากับผู้อมตะ เมื่อเขากลายเป็นเทพปีศาจ เขาจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋เท่าใด

 

ฟางหยวนไม่สามารถจินตนาการได้

 

สำหรับผู้อมตะระดับเก้าคนอื่นๆ?

 

พวกเขาจะมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋เพียงสามแสนร่องรอยจริงๆงั้นหรือ?

 

ฟางหยวนยิ้ม ความเป็นไปได้เกือบเป็นศูนย์!

 

หากตัวตนเหล่านี้มีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋เพียงสามแสนร่องรอย พวกเขาจะปกครองโลกได้อย่างไร?

 

ตอนนี้ฟางหยวนกลายเป็นหนึ่งในตัวตนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกยุคนี้ไปแล้ว เขาอยู่บนจุดสูงสุด มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถต่อสู้กับเขาได้อย่างเท่าเทียม

 

อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นไป เขายังเห็นภูเขาขนาดใหญ่สิบลูกอยู่เหนือศีรษะของเขาขณะที่ยอดเขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกลุ่มเมฆหมอกที่หนาทึบ

 

พวกเขาก็คือผู้อมตะสิบคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ละคนเป็นตำนานในตำนาน ตลอดระยะเวลาอันยาวนานของมนุษยชาติ พวกเขาคือดวงอาทิตย์ที่ส่องประกายเจิดจ้าที่สุด

 

คนทั้งโลกล้วนอยู่ภายใต้เงาของภูเขาใหญ่ทั้งสิบลูกนี้

 

ฟางหยวนก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

 

เหตุผลที่เขาบรรลุถึงขั้นนี้เพราะเขาพึ่งพามรดกของตัวตนเหล่านี้

 

ยังไม่ต้องกล่าวถึงสิ่งอื่นใด เพียงมองไปที่มิติช่องว่างจักรพรรดิก็สามารถเห็นความยิ่งใหญ่ของเทพปีศาจจิตวิญญาณได้อย่างชัดเจน

 

ทุกครั้งที่ฟางหยวนมองมัน เขาต้องถอนหายใจด้วยความชื่นชมต่อการท้าทายสวรรค์ของมิติช่องว่างจักรพรรดิอย่างไม่รู้จบสิ้น

 

หากปราศจากมิติช่องว่างจักรพรรดิ เขาจะกลืนกินถ้ำสวรรค์ทะเลปราณได้อย่างไร ผู้ใดจะสามารถกลืนกินมัน

 

แทบไม่มี!

 

เว้นเพียงผู้อมตะระดับเก้าจะยังมีชีวิตอยู่

 

เนื่องจากมิติซ่องว่างจะสามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่เล็กกว่าเท่านั้น คำว่าเล็กกว่าในที่นี่หมายถึงรากฐาน

 

ในโลกนี้มีเพียงเทพอมตะแรกกำเนิดเท่านั้นที่มีรากฐาบนเส้นทางแห่งพลังปราณมากพอที่จะกลืนกินถ้ำสวรรค์ทะเลปราณซึ่งมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางแห่งพลังปราณหนึ่งล้านร่องรอย

 

หากถ้ำสวรรค์ถูกแยกและกลืนกินทีละส่วน ความเสียหายจะรุนแรงมาก

 

ทุกครั้งที่ถ้ำสวรรค์ถูกตัด มันจะสูญเสียร่องรอยของพลังงานแห่งเต่ำจำนวนมาก

 

และเนื่องจากร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ที่แตกต่างจะเกิดการต่อต้านกัน ดังนั้นผู้อมตะจึงไม่สามารถรับร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋บนเส้นทางสายอื่นเข้าไปได้มากนัก

 

อย่างไรก็ตามมิติช่องว่างจักรพรรดิสามารถกลืนกินมิติช่องว่างที่ใหญ่กว่า

 

เดิมที่ฟางหยวนไม่มีรากฐานบนเส้นทางแห่งพลังปราณ การกลืนกินถ้ำสวรรค์ทะเลปราณไม่เหมือนอสรพิษกลืนช้างแต่มันเป็นมดกินช้าง!

 

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือมันไม่มีความขัดแย้งระหว่างร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋ ฟางหยวนสามารถดูดซับผลประโยชน์ทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์

 

สิ่งนี้เป็นการท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง

 

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เจตจำนงสวรรค์ส่งฟางหยวนย้อนเวลากลับมาในอดีตเพื่อทำลายแผนการของเทพปีศาจจิตวิญญาณ

 

ยิ่งมิติช่องว่างจักรพรรดิแสดงความสามารถที่ท้าทายสวรรค์ออกมามากเท่าใด มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความน่ากลัวของเทพปีศาจจิตวิญญาณมากเท่านั้น

 

ทุกครั้งที่ฟางหยวนใช้วิญญาณกาลเวลาเพื่อกำเนิดใหม่ เขาจะได้รับความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัวของเทพปีศาจบัวแดง

 

ยังมีเทพอมตะตะวันเดือด เทพปีศาจปล้นสวรรค์ เทพอมตะบัวสวรรค์ และคนอื่นๆ

 

ด้วยการใช้รากฐานของเทพเหล่านี้ ฟางหยวนจึงกลายเป็นเทพปีศาจน้อยในปัจจุบัน แต่ยิ่งเขาก้าวสูงขึ้นไปเท่าใด เขาก็ยิ่งตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของเหล่าเทพมากขึ้นเท่านั้น

 

ฟางหยวนไม่รู้สึกหดหูแต่เขารู้สึกชื่นชม

 

เขาไม่เคยหยิ่งจองหอง เขาเคารพเทพทุกคนและจะเรียนรู้จากตัวตนเหล่านี้

 

“กระทั่งเทพทั้งสิบก็ยังไม่มีผู้ใดบรรลุชีวิตนิรันดร์ พวกเขาตายไปทีละคน”

 

“แล้วข้าจะทำสำเร็จหรือไม่?”

 

ความเป็นไปได้มีน้อยมาก!

 

ตราบเท่าที่วิญญาณชะตากรรมยังอยู่ มันจะไม่ยอมให้รูปแบบชีวิตได้รับชีวิตนิรันดร์

 

สิ่งนี้ถูกบันทึกไว้ในตำนานมนุษย์คนแรก

 

“แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่มันน่าสนใจ” ฟางหยวนเผยรอยยิ้ม

 

หลังจากรวบรวมความคิด เขาก็ฝึกฝนท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณต่อไป

 

อีกด้านหนึ่ง ร่างแยกมนุษย์มังกรกำลังตรวจสอบสวรรค์สีเหลือง

 

ท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณส่วนใหญ่พึ่งพาทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณ

 

ตัวอย่างเช่นท่าไม้ตายอมตะเสื้อคลุมดาราสวรรค์ก่อนหน้านี้ต้องการปราณดาราจำนวนมาก

 

การใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋จากทรัพยากรอมตะเพื่อปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะไม่ใช่เรื่องยาก มันเหมือนกับปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลที่สามารถใช้ทรัพยากรอมตะจัดตั้งค่ายกลอมตะ

 

แต่การใช้ทรัพยากรอมตะในการปลดปล่อยท่าไม้ตายอมตะถือเป็นเรื่องสิ้นเปลือง ดังนั้นผู้อมตะทั่วไปจึงเลือกใช้วิญญาณอมตะเท่านั้น

 

แต่ฟางหยวนไม่สนใจ ตอนนี้เขาร่ำรวยมาก เขาค้นหาและกว้านซื้อทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณทุกชนิดที่เขาต้องการจากสวรรค์สีเหลือง

 

เขาไม่ได้ร้องขอทรัพยากรอมตะบนเส้นทางแห่งพลังปราณจากกองกำลังฝ่ายธรรมะของภาคใต้เพราะเขาต้องการเก็บวิธีบนเส้นทางแห่งพลังปราณเอาไว้เป็นความลับ

 

“ปราณเย็น ปราณแสงอาทิตย์ ปราณดารา ปราณความแข็งแกร่ง ข้าจะซื้อพวกมันทั้ง หมด คือปราณโลหิต?”

 

ร่างแยกมนุษย์มังกรครุ่นคิด

 

แม้เส้นทางแห่งเลือดจะถูกผู้คนเกลียดชัง แต่กองกำลังฝ่ายธรรมะทั้งหมดลอบค้นคว้ามันอย่างลับๆ ดังนั้นในสวรรค์สีเหลืองจึงมีทรัพยากรบนเส้นทางแห่งเลือดวางขายอยู่มากมายและยังได้รับความนิยมอีกด้วย

 

ปราณโลหิตเป็นเพียงทรัพยากรระดับมนุษย์แต่มันมีปริมาณมหาศาล

 

หากเป็นปราณระดับมนุษย์ชนิดอื่น ฟางหยวนจะไม่สนใจ มิติช่องว่างจักรพรรดิของเขากระทั่งสามารถผลิตพวกมันขึ้นมาได้ด้วยตัวมันเอง แต่สำหรับปราณโลหิต สิ่งนี้แตกต่างออกไป

 

หากปราณโลหิตมีปริมาณสูงมากพอ มันจะถูกพิจารณาว่าเป็นทรัพยากรอมตะ

 

“ปราณโลหิตปริมาณมหาศาลที่วางขายสามารถมองว่าเป็นทรัพยากรอมตะ” ร่างแยกมนุษย์มังกรคิดและไม่ลังเลอีกต่อไปภาคกลาง

 

“อันใด? ไม่เหลือปราณโลหิตแล้วงั้นหรือ?” ฟางเจิ้งตรวจสอบสวรรค์สีเหลืองและรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ “ครั้งสุดท้ายที่เจ้าขาย มันยังมีปริมาณมหาศาล!”

 

คนขายปราณโลหิตสายศีรษะ “เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ผู้อมตะที่ร่ำรวยผู้หนึ่งเข้ามากว้านซื้อปราณทั้งหมดในสวรรค์สีเหลือง เจ้าก็รู้ว่าปราณโลหิตสามารถสะสมและใช้งานร่วมกัน นั่นคือสาเหตุที่สิ่งนี้เกิดขึ้น”

 

ฟางเลิ้งตกตะลึง

 

กว้านซื้อปราณทั้งหมดในสวรรค์สีเหลือง คนผู้นี้ต้องร่ำรวยเพียงใด? ฟางเลิ้งกลายเป็นผู้อมตะมาระยะหนึ่งแล้ว เขารู้ดีว่าความมั่งคั่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความแข็งแกร่ง

 

หากผู้อมตะมีความมั่งคั่ง นั่นก็หมายความว่าพวกเขาเป็นเจ้าของทรัพยากรจำนวนมหาศาล ด้วยรากฐานดังกล่าว มันจะช่วยให้พวกเขาก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่นบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ

 

“บางทีอาจไม่ใช่บุคคลแต่เป็นกองกำลังใหญ่” ฟางเจิ้งพิมพ์

 

เขาตรวจสอบร้านค้าอีกหลายร้านแต่ยังไร้ประโยชน์

 

ไม่มีปราณโลหิตเหลืออยู่ในตลาด

 

แต่ฟางเจิ้งบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือด เขาต้องการปราณโลหิต

 

เขาออกจากสวรรค์สีเหลืองและเริ่มคิด ข้าควรขอปราณโลหิตจากนิกายหรือไม่?”

 

แต่เขาก็รีบปัดเป่าความคิดนี้ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว

 

เขาตัดสินใจที่จะรวบรวมมันด้วยตนเอง