บทที่ 1818 ความชอบธรรมของวังสวรรค์

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1818 ความชอบธรรมของวังสวรรค์

 

ปราณโลหิตหาง่ายมาก! คนผู้หนึ่งเพียงต้องฆ่าสัตว์อสูรธรรมดาและใช้วิธีบนเส้นทางแห่งเลือดสกัดมันออกมา ด้วยการเลี้ยงสัตว์อสูรเดียวดายเอาไว้ในมิติช่องว่าง พวกเขาจะได้รับปราณโลหิตอย่างไม่รู้จบสิ้น

 

หากมันเป็นทรัพยากรอมตะชนิดอื่น ฟางเจิ้งอาจต้องขอความช่วยเหลือจากนิกาย แต่นี่เป็นเพียงปราณโลหิตและฟางเจิ้งก็ต้องการไม่มาก

 

ในกรณีของฟางเจิ้ง เขาเพียงต้องใช้เวลาและความพยายามเล็กน้อยเท่านั้น

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ฟางเจิ้งก็แจ้งฟานซื่อหลิวเกี่ยวกับแผนการของเขา เนื่องจากตัวตนของเขา เขาจึงไม่สามารถออกจากภูเขาเฟยอี้ได้ตามใจปรารถนา

 

หลังจากฟานชื่อหลิวเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขามอบภารกิจให้ฟางเจิ้ง “ช่างเป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบ! มีวัวภูเขาทองคํากําลังสร้างปัญหาอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ไปจัดการมันซะ ฆ่าหรือกดขี่มัน หากเจ้าสามารถจับมัน เจ้าจะได้รับแต้มผลงานของนิกายเพิ่มเป็นสองเท่า”

 

หัวใจของฟางเจิ้งสั่นไหว วัวภูเขาทองคําเป็นสัตว์อสูรเดียวดาย จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยต่อสู้กับสัตว์อสูรเดียวดายมาก่อน

 

แต่ในไม่ช้าเขาก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองและตกลงรับภารกิจ

 

เขาไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป เขาผ่านอุปสรรคมามากมายในแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา

 

ฟางเจิ้งไม่รีบออกเดินทางทันที เขาไปที่หอตําราของนิกายและรวบรวมข้อมูลเป็นอันดับแรก

 

หอตํารากระเรียนขาวเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะเก้าชั้น มันตั้งอยู่อย่างเงียบสงบบนไหล่เขาของภูเขาเฟยอี

 

ฟางเจิ้งขึ้นกกระเรียนไปที่นั่น แม้เขาจะบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งเลือดแต่เขาเคย เป็นศิษย์ของจักรพรรดิกระเรียนสวรรค์และคุ้นเคยกับการควบคุมนกกระเรียน

 

หอตํารากระเรียนขาวไม่มีผู้พิทักษ์ มีเพียงนกกระเรียนเดียวดายสองตัวที่พักอยู่ที่นี้ หากเกิดเหตุร้าย พวกมันจะปรากฏตัวและทําหน้าที่ผู้พิทักษ์

 

เมื่อฟางเจิ้งเข้าไปใกล้ นกกระเรียนของเขาเริ่มส่งเสียงกรีดร้องด้วยความกระวนกระวายใจ

 

ฟางเจิ้งถอนหายใจ “นกกระเรียนตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับห้า ย้อนกลับไปเมื่อข้ายังอยู่ในนิกาย ข้ารู้สึกว่ามันทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ตอนนี้มันกลับไม่มีสิ่งใดพิเศษเลย”

 

“ความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับผู้อมตะใหญ่โตเกินไปจริงๆ”

 

หลังจากฟางเจิ้งไปถึงหอตํารากระเรียนขาว นกกระเรียนของฟางเจิ้งแทบหมดสติด้วยความหวาดกลัว

 

ฟางเจิ้งถอนหายใจและเก็บมันไว้ในมิติช่องว่าง

 

เขามีสถานะเป็นผู้อาวุโสสูงสุด หอตํารากระเรียนขาวเปิดรับเขาโดยไม่มีคําถาม ฟางเจ๋งก้าวเข้าไป

 

หอตํารากระเรียนขาวแต่ละชั้นเก็บวิญญาณบนเส้นทางแห่งข้อมูลจํานวนมากเอาไว้

 

หากฟางเฉิงต้องการข้อมูลเหล่านี้ เขาต้องใช้แต้มผลงานแลกเปลี่ยน

 

หอตํารากระเรียนขาวเป็นคฤหาสน์วิญญาณอมตะที่สามารถรวบรวมและเก็บข้อมูล แน่นอนว่าความลับที่แท้จริงจะถูกเก็บไว้สําหรับชนชั้นสูงที่แท้จริงเท่านั้น

 

แม้ฟางเจิ้งจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายกระเรียนอมตะ แต่เขาไม่ใช่ชนชั้นสูงของนิกาย ในความเป็นจริงเขายังถูกกีดกันโดยคนอื่นๆ

 

ในอดีตฟางเจิ้งอาจเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ด้วยความไร้เดียงสา แต่หลังจากหลายปีเขาก็เข้าใจเกมส์การเมืองเหล่านี้ในที่สุด

 

เขาไม่รู้สึกภูมิใจที่สามารถทําความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ เขามีเพียงรอยยิ้มที่ขมขึ้นเท่านั้น

 

ตอนนี้เขาเข้าใจสถานการณ์ของฟางหยวนเมื่อครั้งยังอยู่บนภูเขาชิงเหมาแล้ว ฟางหยวนในเวลานั้น ถูกกีดกันโดยชนชั้นสูงของตระกูล เพื่อยกระดับการบ่มเพาะ เขาต้องใช้อุบายและการปล้นชิงเท่านั้น

 

“ตั้งแต่นิกายถูกสร้างขึ้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาก็ทําเช่นนี้มาตลอดงั้นหรือ? พวกเขาปล้นชิงทรัพยากรมากมายมาจากผู้บ่มเพาะสันโดษและปีศาจอมตะ”

 

“แม้วังสวรรค์จะมีชื่อเสียงเรื่องความชอบธรรมแต่นั่นไม่ใช่ความจริงทั้งหมด มองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ดินแดนทั้งหมดถูกแย่งชิงมาจากเผ่ามนุษย์กลายพันธุ์ทั้งสิ้น”

 

“วังสวรรค์คือความชอบธรรมของเผ่ามนุษย์เท่านั้น” ฟางเจิ้งคิดกับตนเอง

 

โดยปกติแล้วผู้อมตะฝ่ายธรรมะของภาคกลางจะไม่คิดเช่นนี้ นี่ถือเป็นความคิดของคนนอกรีต

 

แต่ฟางเจิ้งเคยอาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ขน แม้เขาจะถูกต่อต้าน แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงอารยธรรม และพื้นเพนิสัยที่แท้จริงของมนุษย์ขน เขาเข้าใจพวกเขา

 

สําหรับผู้อมตะคนอื่นๆ พวกเขาไม่เคยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์กลายพันธุ์

 

ประสบการณ์ที่แตกต่างของฟางเจิ้งทําให้เขามีมุมมองที่แตกต่าง แม้วิสัยทัศน์ของเขาจะไม่กว้างนัก แต่เขาก็มีความคิดเป็นของตนเอง

 

“แต่สถานะของคนผู้หนึ่งจะถูกกําหนดโดยมุมมองและนิสัยของตัวเอง ข้ายังซอบความชอบธรรมของวังสวรรค์มากกว่า” ฟางเจิ้งเผยรอยยิ้มขมขึ้นและเริ่มตรวจสอบข้อมูล

 

“สัตว์อสูรเดียวดาย วัวภูเขาทองคํา อืม มันอยู่นี่” ฟางเจิ้งขึ้นไปหลายชั้นก่อนจะพบข้อมูลที่เขาต้องการ

 

เขาได้รับข้อมูลมากมายเกี่ยวกับมัน วัวภูเขาทองคํามีร่างกายใหญ่โตเท่าภูเขา มันเป็นสายพันธุ์ที่มีเฉพาะเพศเมียเท่านั้น มันชอบกินโลหะ หลังจากกินแก่นแท้โลหะหลายร้อยกิโลกรัม มันจะนอนหลับอยู่ในถ้ํา

 

“กินและนอน นอนและกิน? นี่เป็นชีวิตที่ดี” ฟางเจิ้งหัวเราะ

 

เขายังอ่านข้อมูลต่อไป “เขาของมันมีค่ามากที่สุด ทุกร้อยปีเขาของมันจะยาวขึ้นสามเมตร มันจะยาวออกไปรัดพันรอบศีรษะ ลําคอ และท้องทั้งหมด หากมันต้องการ เขาของมันจะตัดมดลูกของมันออกและให้กําเนิดลูกวัวภูเขาทองคํา”

 

ดวงตาของฟางเจ๋งส่องประกายขึ้น “วิธีสืบพันธุ์ค่อนข้างคล้ายกับเผ่ามนุษย์หิน”

 

ฟางเจิ้งยังอ่านต่อไป

 

หลังจากวัวภูเขาทองคําคลอดลูก มันจะได้รับบาดเจ็บและเสียเลือดจํานวนมาก

 

หากลูกวัวเลือกที่จะเลียบาดแผลของแม่วัว ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าของพวกมันจะรักษาแม่วัวภูเขาทองคําอย่างรวดเร็ว

 

ในทางตรงข้าม หากลูกวัวไม่ทํา แม่วัวจะตาย ลูกวัวสามารถดื่มเลือดของแม่วัวเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเอง

 

“น่าสนใจมาก!” ฟางเจิ้งถอนหายใจกับตนเอง

 

ชีวิตของวัวภูเขาทองคําคือการกินและนอน เมื่อพวกมันคลอดลูก หากลูกวัวเลือกที่จะช่วยแม่วัว แม่วัวจะเข้าสู่การจําศีลโดยไม่สนใจลูกวัวมากนัก

 

เพื่อความอยู่รอดของลูกวัว การไม่ช่วยแม่วัวจะมีประโยชน์มากกว่า

 

ดังนั้นลูกวัวส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะดูแม่ของพวกมันตาย มีเพียงส่วนเล็กๆเท่านั้นที่จะเลียบาดแผลและช่วยชีวิตแม่วัว

 

“เมื่อลูกวัวคลอด มันมักหมายถึงโศกนาฏกรรม แต่เพื่อความอยู่รอด นี่เป็นสิ่งจําเป็น แต่ข้ายังชอบลูกวัวที่ช่วยชีวิตแม่วัวมากกว่า”

 

ฟางเจิ้งทําความเข้าใจวัวภูเขาทองคําและวางแผนการของตนเอง

 

เขาออกจากหอตําราด้วยความมั่นใจซึ่งแตกต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

 

เขาเล็งเป้าไปที่อาหารของวัวภูเขาทองคํา

 

แก่นแท้โลหะ!

 

เขาจะใช้แก่นแท้โลหะล่อวัว

 

พลังการต่อสู้ของฟางเจิ้งเหนือกว่าค่าเฉลี่ย หลังจากทําความคุ้นเคยกับท่าไม้ตายอมตะบนเส้นทางแห่งเลือด ตอนนี้เขามีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับวัวภูเขาทองคําแล้ว

 

แต่เขาจะใช้กําลังเพียงครึ่งเดียว ไม่มีความจําเป็นต้องต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

 

วิธีที่ดีที่สุดคือการต่อสู้ด้วยปัญญาและรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้สําหรับอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด

 

นี่เป็นสิ่งที่ฟางเจิ้งเรียนรู้มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์หลางหยา

 

ไม่กี่วันต่อมาฟางเจิ้งก็มาถึงจุดหมาย

 

เขาลอบเข้าไปในหุบเขาอย่างลับๆโดยทิ้งแก่นแท้โลหะจํานวนมากเอาไว้รอบๆ

 

วัวภูเขาทองคําถูกล่อลวงเข้ามาอย่างรวดเร็ว

 

มันเริ่มใช้กีบเท้าขุดดิน แก่นแท้โลหะถูกนําขึ้นมาและกลืนกินโดยวัวภูเขาทองคํา

 

“ข้าทําได้!” ฟางเจิ้งดีใจมาก

 

เขาอดทนรอให้วัวภูเขาทองคํากินอาหารจนอิ่มและกลับไปนอนที่ถ้ําของมัน

 

สามวันต่อมาเสียงกรีดร้องของวัวภูเขาทองคําก็ดังขึ้นจากส่วนลึกของถ้ํา

 

ฟางเจิ้งที่กําลังหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นด้วยความตกใจ หลังจากสามารถตอบสนอง เขารู้สึกยินดี “ในที่สุดยาพิษก็ออกฤทธิ์!”

 

แต่เขาไม่รีบเข้าไปในถ้ํา เขารออยู่ด้านนอกอย่างอดทน

 

พิษทําให้วัวภูเขาทองคําเริ่มอาละวาดอยู่ในถ้ํา ปาและภูเขาเกิดการสั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตจํานวนนับไม่ถ้วนแตกรังกระจัดกระจายกันออกไป

 

หลังจากไม่นานความวุ่นวายในถ้ําก็ค่อยๆสงบลง เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางเจิ้งเข้าไปในถ้ําและต่อสู้กับวัวภูเขาทองคําพิการ

 

อย่างไรก็ตามหลังจากไม่นานฟางเจิ้งก็ถูกบังคับให้ออกจากถ้ํา

 

การต่อสู้กับวัวภูเขาทองคําในถ้ําอันตรายเกินไป หากถ้ําพังลงมา กระทั่งฟางเจิ้งจะเป็นผู้อมตะระดับหก เขาก็ยังต้องพบกับปัญหา

 

ฟางเจิ้งมาที่นี่เพื่อจับวัวภูเขาทองคํา เขาไม่ต้องการทําลายพื้นที่และทําให้สิ่งมีชิวิตจํานวนมากสูญเสียที่อยู่อาศัย

 

ฟางเจิ้งออกจากถ้ํา วัวภูเขาทองคําตามออกมา

 

ทั้งสองต่อสู้กันในหุบเขา ในที่สุดฟางเจิ้งก็ใช้ท่าไม้ตายอมตะเลือดเย็นแช่แข็งโลหิตของวัวภูเขาทองคําและจับมันทั้งเป็น

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะนําวัวภูเขาทองคําเก็บไว้ในมิติช่องว่างของเขา กลิ่นอายที่แข็งแกร่งกลับปะทุออกมาจากร่างของวัวภูเขาทองคําตัวนี้

 

ในเวลาเดียวกันหม้อทองคําใบหนึ่งก็หลุดออกมาจากร่างของวัวภูเขาทองคํา

 

“นี่คือ!?” ฟางเจิ้งตกใจมาก

 

หลังจากนั้นผู้อมตะระดับแปดผู้หนึ่งก็บินออกมาจากหม้อทองคําใบนี้

 

“ดวงวิญญาณซ่อนอยู่ในแก่นแท้โลหะ แสงศักดิ์สิทธิ์ที่หลับใหลมาสามแสนปี”

 

“โชคชะตาทําให้ข้าสามารถมองเห็นแสงสว่างอีกครั้ง ขอบคุณเลือดแห่งคุณธรรม”

 

ผู้อมตะหญิงระดับแปดกล่าวบทกวีออกมาอย่างช้าๆก่อนจะบินลงมายืนอยู่ด้านหน้าฟางเจิ้ง และเผยรอยยิ้มบาง “สหายตัวน้อย เจ้าเป็นคนปลุกข้างั้นหรือ?”

 

ฟางเจิ้งตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์