บทที่ 101 กระแสมืดมน
ในขณะที่ทั้งสองกำลังจะชักดาบออกมานั้นเอง เสียงหนึ่งก็พลันดังขึ้น
“ฝ่าบาท ทำไมท่านจึงมาอยู่ที่นี่ ?”
เมื่อเขาได้ยินเสียงนั้น หลี่ต้าวหงก็ชะงักไปทันที
เขากลับหลังหันและเผยยิ้มบางไปยังเผ่าปักษาวัยกลางคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา
ปักษาคนนั้นคว้ามือของหลี่ต้าวหงไว้และกล่าว “ฝ่าบาท ข้าตามหาท่านมาตั้งนาน”
หลี่ต้าวหงหัวเราะ “ข้าแทบจะไม่มีโอกาสมาที่นี่เลย เป็นเรื่องธรรมดาที่ข้าจะอยากออกมาเที่ยวเล่นและชื่นชมทิวทัศน์สักหน่อย”
สถานที่นี้นั้นห่างไกลจนไม่มีทิวทัศน์ใดให้กล่าวถึง หลี่ต้าวหงกำลังพูดไร้สาระอย่างเห็นได้ชัด แต่ท่าทางของเผ่าปักษาคนอื่น ๆ นั้นดูจะเข้าใจเขาเป็นอย่างดี “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะเป็นผู้นำทางให้ท่านเอง”
ขณะที่พูด เขาก็ลากหลี่ต้าวหงออกมา
จนกระทั่งพวกเขาออกมาไกลมากพอเผ่าปักษาคนนั้นจึงพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านสัญญากับข้าไว้ว่าจะไม่สร้างปัญหา”
หลี่ต้าวหงตอบ “ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องข้าก่อนต่างหาก”
“อย่างไรก็เถอะ มันคุ้มค่าหรือที่จะทำเรื่องไร้สาระเช่นนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่โต ? อย่าทำลายองค์กรที่ยิ่งใหญ่ของเราด้วยเรื่องเล็กน้อยสิ !” ชาวปักษากล่าวพร้อมสั่งสอนหลี่ต้าวหงอย่างเข้มงวด
น่าประหลาดใจที่หลี่ต้าวหงไม่ได้เถียงแต่อย่างใด เขาเพียงแค่บ่นพึมพำ “ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”
เขายอมรับคำสั่งสอนของผู้อื่นแม้จะมีนิสัยเช่นนั้น
ในอีกฝั่งหนึ่ง ซูเฉินนำผู้ติดตามของเขาออกไปและจมอยู่ในห้วงความคิด
อิงอิงกล่าวอย่างระมัดระวัง “นายท่าน”
“อะไรหรือ ?” ซูเฉินถาม
อิงอิงก้มหัวลงและพูด “ข้าอาจรู้ว่าเผ่าปักษาผู้นั้นเป็นใคร”
ในขณะที่อิงอิงกำลังจะพูดนั่นเอง จือฮัวหนูก็หัวเราะขึ้น “อาจจะหรือ ? เจ้าจะคิดว่าคนคนนั้นเป็นผู้อื่นไปได้อย่างไรกัน ?”
“หืม ?” ซูเฉินหันไปจ้องเขม็งยังจือฮัวนู๋
จือฮัวนู๋รู้สึกถึงความเยือกเย็นที่แล่นไปตามกระดูกสันหลังของนาง วินาทีต่อมานางก็รู้สึกเหมือนกะโหลกศีรษะของนางกำลังจะแตกออกราวกับว่ากำลังมีสว่านเจาะทะลวงมัน
ทั้งร่างกายของจือฮัวนู๋สั่นสะท้านขณะที่นางล้มลงคุกเข่า “นะ นายท่าน……”
“หากเจ้ากล้าทำเช่นนั้นอีก เจ้าจะต้องตาย”
จือฮัวนู๋สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง “ได้… ได้เลย… นายท่าน ข้าผิดไปแล้ว”
เพียงเท่านั้นซูเฉินก็ยุติการลงโทษทางจิตใจของเขาลง จือฮัวนู๋ถอนหายใจและแทบจะร่วงลงไปกองกับพื้น โชคดีที่อิงอิงช่วยประคองนางไว้เสียก่อน
“คนผู้นั้นเป็นใคร ? พูด” ซูเฉินถามอิงอิง
อิงอิงตอบอย่างรีบร้อน “ข้าคิดว่าเป็นเยี่ยเสิ่นหยาง”
“เยี่ยเสิ่นหยาง ?” ซูเฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้น “เขามาจากตระกูลเยี่ยเสิ่นหรือ ?”
ตระกูลเยี่ยเสิ่นเป็นตระกูลขนาดใหญ่ในเมืองล่องนภา พวกเขามีอิทธิพลเหนือกว่าตระกูลชุยอวี่เสียอีก ที่จริงแล้วหัวหน้าตระกูลของพวกเขายังเป็นหัวหน้าหน่วยในลัทธิฟ้าคะนองอีกด้วย ทำให้เขามีตำแหน่งที่สูงส่งอย่างยิ่งในเมืองล่องนภา
“เยี่ยเสิ่นหยางคนนี้มีตำแหน่งเช่นไรในตระกูลเยี่ยเสิ่นหรือ ?” ซูเฉินถาม
อิงอิงตอบ “เขาเป็นบุตรชายของหัวหน้าตระกูล แต่เขาไม่ใช่ทายาท”
“โอ้ ? ทำไมล่ะ ?”
ตงชิงหมิงยังคงเป็นอันดับที่ 20 ในตระกูลของเขาหากไม่คำนึงถึงลักษณะนิสัยที่ไร้ค่าของเขา ตรงกันข้าม เยี่ยเสิ่นหยางนั้นสง่างามและสูงศักดิ์อย่างน่าเหลือเชื่อ เห็นได้ชัดจากการวางตัวว่าเขานั้นไม่ได้มาจากต้นกำเนิดที่ธรรมดาทั่วไป แล้วทำไมเขาจึงไม่ได้รับตำแหน่งของทายาทล่ะ ?
“เพราะเขาได้เข้าร่วมกับนิกายแห่งพระแม่และได้กลายเป็นนักบวชของหนึ่งในหน่วยของลัทธิฟ้าคะนองอีกด้วย”
นักบวช ? ด้วยอายุเพียงเท่านั้นน่ะหรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง
ไม่แปลกเลยที่เยี่ยเสิ่นหยางจะไม่ได้เป็นทายาท เขาได้เป็นนักบวชขององค์กรที่ทรงพลังที่สุดในสังคมเผ่าปักษาไปแล้ว ลัทธินั้นเป็นสิ่งที่ถูกเทิดทูนในหมู่ปักษา แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็จำเป็นต้องละทิ้งมรดกทางโลกใดก็ตามที่พวกเขาอาจได้รับไป มรดกนี้นั้นถูกแลกเปลี่ยนไปกับอำนาจมากมายมหาศาล ที่จริงแล้วหัวหน้าตระกูลเยี่ยเสิ่นนั้นมีตำแหน่งที่สูงกว่าหัวหน้านักบวชเพียงน้อยนิดเท่านั้น แต่หัวหน้านั้นได้เดินไปจนสุดทางแล้ว ในขณะที่การคงอยู่ในตำแหน่งนักบวชนั้นไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดของเยี่ยเสิ่นหยางอย่างแน่นอน
ทำไมหลี่ต้าวหงและเยี่ยเสิ่นหยางจึงมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ ?
การปรากฏตัวของพวกเขาเกี่ยวข้องกับขุมสมบัติของอวี้ชิงหลานด้วยหรือไม่ ? สิ่งนี้จะกระทบต่อแผนของพวกเขาไหม ? แล้วมันมีความเกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่เป็นไปได้อื่น ๆ หรือไม่ ?
ซูเฉินไม่รู้เลยว่าคำตอบของคำถามเหล่านี้จะเป็นอย่างไร
คนอื่น ๆ อาจยอมแพ้ต่อการตามหาคำตอบไปแล้ว
แต่ซูเฉินนั้นแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน
เพราะเขามีไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิด
ด้วยคำถามเหล่านี้ที่กัดกินเขา ซูเฉินไม่มีกะจิตกะใจจะซื้อสิ่งใดทั้งสิ้น เขามอบหน้าที่นั้นให้กุยซานเยว่กับคนอื่น ๆ และกลับไปยังโรงแรม
ซูเฉินไปยังห้องพักของเขาและบอกกับคนอื่น ๆ ให้ถอยไปก่อนจะนำไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดออกมา
เนื่องจากหลี่ต้าวหงนั้นทรงพลัง และนักบวชเยี่ยเสิ่นหยางก็ไม่น้อยหน้าเลยเช่นกัน ซูเฉินตัดสินใจที่จะใช้ผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายเป็นเครื่องสังเวย เขาถามถึงผู้เชี่ยวชาญแสนทรงพลังที่เขาจะต้องเผชิญหน้าภายในด่านลับนี้
แต่การสังเวยก็ล้มเหลวและไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ไม่ได้ให้คำตอบใดแก่เขา
ผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายถูกกลืนกินไม่อย่างนั้น แต่ซูเฉินก็ยังไม่ถอดใจ
แม้ว่าการสังเวยจะล้มเหลว เขาก็ยังสามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการพยายามครั้งนี้
หากว่าแม้แต่ผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายยังไม่สามารถให้คำตอบกับเขาได้ มันก็ชัดเจนแล้วว่าเขานั้นมีแนวโน้มที่จะพบเจอกับผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งภายในด่านสมบัติ
และเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้บางส่วนได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองที่ห่างไกลเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพบกับเยี่ยเสิ่นหยางและหลี่ต้าวหงในอนาคต
ซูเฉินตัดสินใจที่จะเปลี่ยนกลยุทธ์ของเขาเมื่อเขาได้รับผลการทำนายนี้
เขาไม่ได้เพิ่มการสังเวยแต่กลับเลือกที่จะใช้ผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายระดับสูงขึ้นและเปลี่ยนคำถามแทน
“ข้าอยากรู้ว่าข้าจะถูกลอบโจมตีหรือไม่หากข้าตัดสินใจจะออกไปในตอนนี้”
ซูเฉินถามคำถามที่น่าสนใจทีเดียว
ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดนั้นมีข้อจำกัดในการใช้งานอยู่ มันไม่ได้ให้คำตอบใดแต่กลับให้การทำนายแก่ผู้ใช้ว่าอาจเกิดสิ่งใดขึ้นในอนาคตแทน และการทำนายนี้จะได้รับอิทธิพลจากการกระทำของผู้ถาม
เมื่อเป็นเช่นนั้น การที่ผู้ถามเลือกการกระทำที่เป็นไปได้ที่แตกต่างออกไปจะส่งผลให้เกิดคำทำนายที่แตกต่างไปด้วย มันทำให้ซูเฉินสามารถได้รับคำตอบที่ต่างกันมากมายโดยใช้พวกมันในการอนุมานคำตอบแท้จริงที่เขากำลังตามหา
นี่เป็นอีกหนึ่งทักษะที่ซูเฉินได้มาหลังจากใช้งานไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง
นอกจากนี้ ซูเฉฺนยังถามเพียงแค่ว่าเขาจะถูกลอบโจมตีหรือไม่ ไม่ใช่ว่าใครจะเป็นผู้ลอบโจมตีเขา นี่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำนายลงได้มากมายทำให้เขามีแนวโน้มที่จะทำสำเร็จมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าคำตอบนั้นเผยออกมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อซูเฉินมองเห็นฉากที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า ซูเฉินก็ยิ้มออกมา “อย่างที่ข้าคิดไว้เลย”
เขาจึงวางผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายระดับสูงขึ้นไว้บนแท่นบูชาและกล่าว “ตอนนี้ข้ามีอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องเลือก……”
เมื่อเขากลั่นคำถามเช่นนี้ ไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดก็ให้คำตอบแก่เขาคำตอบแล้วคำตอบเล่าอย่างไม่ขาดสาย
คำตอบเหล่านี้ส่วนมากมาจากการที่ซูเฉินเปลี่ยนคำถามของเขาอย่างต่อเนื่อง และเขาพยายามอย่างถึงที่สุดในการหลีกเลี่ยงคำถามเกี่ยวกับหลี่ต้าวหง มันทำให้ค่าใช้จ่ายนั้นต่ำลงมหาศาลและอัตราความสำเร็จของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าไม้เท้ากระดูกต้นกำเนิดจะปฏิเสธการตอบคำถามใด ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับหลี่ต้าวหงและคนอื่น ๆ ซูเฉินก็สามารถรู้ถึงภาพคร่าว ๆ ของเหตุการณ์ได้โดยการถามคำถามอ้อมค้อมเหล่านี้อย่างไม่หยุดหย่อน
ไม่นานหลังจากนั้นซูเฉินก็หยุดลงและตกลงสู่ห้วงความคิดอยู่ครู่ใหญ่
ทันใดนั้น เขาก็ดึงเอาผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายออกมา
แม้ว่าซูเฉินร่ำรวยไม่น้อย เขาก็ยังมีผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายจำนวนจำกัด ผลึกต้นกำเนิดราชันอสูรกายนี้ที่เขาถือไว้นั้นคือชิ้นสุดท้าย
แต่ซูเฉินก็ยังรู้สึกว่าเท่านี้นั้นอาจไม่เพียงพอ หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นำเอาเม็ดทรายกาลเวลาออกมากำใหญ่
เม็ดทรายกาลเวลาเป็นสมบัติหายาก แม้จะมีนาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา จำนวนเม็ดทรายกาลเวลาที่ผลิตได้ก็จะมีจำนวนจำกัดในแต่ละปี ซูเฉินกำลังใช้จำนวนมากกว่าที่เขาผลิตได้ด้วยซ้ำในตอนนี้ เนื่องจากซูเฉินได้ครอบครองนาฬิกาแห่งกาลเวลาไว้เพียง 3 ปี เขาจึงได้เก็บสะสมเม็ดทรายกาลเวลาไว้แค่ 3 กำมือเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าซูเฉินยินดีจ่ายราคามหาศาลเพื่อให้ได้คำตอบที่เขาต้อง ณ ตอนนี้
หลังจากที่เพิ่มวัสดุเสริมอื่น ๆ อีกจำนวนมาก ซูเฉินก็เอ่ยปากถามในที่สุด “ข้าอยากรู้ว่าจะใช้งานเลือดเทพอสูรและแก่นเทพอสูรบรรพกาลได้อย่างไร”
หัวใจของซูเฉินเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่อเขาพูดคำถามนั้นออกไป
นี่เป็นการลงทุนที่ใหญ่หลวงที่สุดในประวัติกาลของเขา หากเขาล้มเหลว เขาสามารถจินตนาการถึงการสูญเสียที่เขาจะได้รับได้อย่างง่ายดาย
โชคดีที่ฉากหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในเวลาต่อมา
เมื่อเขาเห็นภาพนั้น ซูเฉินก็ได้แต่สูดหายใจเข้าไป
ซูเฉินไม่สามารถต้านทานความตื่นตกใจของตนเองได้ “งั้นก็เป็นเช่นนี้เอง… เช่นนี้เองสินะ… ใช่แล้ว มันสมบูรณ์แบบ !”
เมื่อเขาได้รับคำตอบ ซูเฉินก็เก็บไม้เท้าไปและหยิบเอาเหรียญสื่อสารออกมา เขาเปิดมันออกและพูดขึ้น “ผ้าเท่อลั่วเค่อ”
“ข้าอยู่นี่”
ปกติแล้วซูเฉินจะไม่สามารถติดต่อผ้าเท่อบั่วเค่อได้จากระยะทางที่ห่างไกลเช่นนี้ แต่เพราะผ้าเท่อลั่วเค่อใช้ร่างของหุ่นเชิดสื่อสารโบราณ เขาจึงสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดทางด้านระยะทางนี้ไปได้
“มีบางอย่างที่ข้าจำเป็นต้องให้ท่านทำ…” ขณะที่ซูเฉินพูด เขาก็เริ่มเบาเสียงของตัวเองลง
ครู่ต่อมาผ้าเท่อลั่วเค่อก็ตอบ “เข้าใจแล้ว ข้าจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้”
ซูเฉินเก็บเหรียญสื่อสารและเรียกชื่อออกมา “อิงอิง? จือฮัวนู๋?”
อิงอิงและจือฮัวนู๋เข้ามาในห้อง “พวกเรามาแล้ว”
“จู่ ๆ ข้าก็ได้ข้อมูลเชิงลึกขณะที่ฝึกลมหายใจก่อนหน้านี้ ข้าจึงจะใช้เวลาไปกับการฝึกมากขึ้น บางทีข้าอาจจะทำสำเร็จเร็ว ๆ นี้ ไปบอกให้กุยซานเยว่และคนอื่น ๆ รู้ว่าข้าต้องการให้พวกเขารอสักหน่อยก่อนที่จะเปิดด่านลับนั้น”
อิงอิงตกตะลึง “นายท่าน ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะยืดเยื้อนะ มือแห่งโชคชะตาอาจรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่เมืองเขามังกรเมื่อไรก็ได้ หากพวกเขาสามารถตามพวกเราทัน……”
“เจ้าพูดถูก พวกเขาอาจจะรู้เมื่อไหร่ก็ได้ แต่พวกเขาจะไม่รู้ว่าเราไปที่ใดจริงไหม ?” ซูเฉินโต้เถียง
“นี่…” อิงอิงชะงักไปชั่วขณะ
มันเป็นเรื่องจริงที่มือแห่งโชคชะตาอาจรู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เมืองเขามังกร แต่ไม่มีใครจะสามารถบอกมือแห่งโชคชะตาได้ว่าซูเฉินไปที่ไหน
จือฮัวนู๋กล่าว “มีผู้คนที่ทรงพลังมากมายอยู่ในมือแห่งโชคชะตา และพวกเขาก็มีวิชาอาร์คาน่าสะกดรอย ตราบใดที่ยังไม่ล่วงเวลานานเกินไป มันก็เป็นไปได้ที่พวกเขาจะสามารถตามพวกเราทันได้ ทำไมนายท่านจึงไม่กระวนกระวายมากกว่านี้ล่ะ ?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก” ซูเฉินกล่าวพร้อมโบกมือไม้ “ข้าได้เตรียมการบางอย่างไว้ก่อนจะจากไป มือแห่งโชคชะตาจะไม่สามารถตามพวกเราทันได้ง่ายขนาดนั้น ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่หายไปนาน ข้าควรจะเสร็จสิ้นธุระในไม่เกิน 10 วัน”
10 วันนี่ไม่นานหรือ ?
พวกเขามาถึงยังเบื้องหน้าของด่านลึกลับในที่สุด แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะนั่งรอเฉย ๆ หรือ ? ผู้รับใช้ทั้งสองของซูเฉินไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในเมื่อซูเฉินตัดสินใจแล้ว พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่สงบปากสงบคำไว้
พวกเขาเดินออกมาและแจ้งกุยซานเยว่และคนอื่น ๆ ผู้ที่ตกตะลึงไปไม่แพ้กัน ไม่มีใครคิดออกว่าซูเฉินจะทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร
ฝ่ายซูเฉินนั้นไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ในวันต่อ ๆ มาเขาขังตัวเองไว้ในห้องส่วนตัวและจะออกมาบ่อย ๆ เพียงเพื่อสั่งให้อิงอิงและจือฮัวนู๋ไปจัดหาวัตถุดิบให้แก่เขาโดยส่วนมากจะเป็นส่วนผสมที่นักเล่นแร่แปรธาตุต้องการ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดูเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูเฉินจะกำลังฝึกตนอยู่
เขานั่งลงอย่างสงบนิ่งในห้องพัก แต่กุยซานเยว่และเผ่าปักษาคนอื่นนั้นเริ่มจะกระวนกระวายราวกับฝูงมดด้วยความหวาดระแวงว่ามือแห่งโชคชะตาจะหาพวกเขาพบและล้างแค้นพวกเขาเสียก่อน
ดูเหมือนว่าการจัดเตรียมของซูเฉินจะมีประสิทธิภาพทีเดียว เพราะไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นเลยใน 10 วันต่อมา