บทที่ 644 เนรเทศภูเขาเอ้อหลง

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ในส่วนลึกของห้วงอวกาศ มีตัวตนหนึ่งที่ในตอนนี้กำลังคอยจับตาดูความผันแปรของพลังมิติที่เกิดขึ้นทั้งหลายอย่างใกล้ชิด

“ลูกสาวข้า นี่เจ้าไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยเกี่ยวกับพลังแห่งมิติงั้นเหรอ?” ตัวตนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าหดหู่ “นี่ไอ้แก่นั่นมันไม่สอนอะไรเจ้าเลยเกี่ยวกับพลังแห่งมิติงั้นเหรอ? แต่จะว่าไปไอ้แก่นั่นมันก็ไม่ได้เข้าใจอะไรในพลังแห่งมิติสักเท่าไหร่ ดังนั้นมันจะเอาอะไรมาสอนเจ้าได้ยังไง?”

หลังจากที่เขากลับมาจากตำหนักไร้หทัย เขาก็พยายามจับตาดูความผัวผวนของพลังมิติที่เกิดขึ้นจากใครก็ตามที่ใช้งานมัน เพื่อหวังว่าจะได้พบร่องรอยของลูกสาวเขาเอง

จากในมุมมองของเขา เมื่อไหร่ที่ลูกสาวของเขาใช้หลังแห่งมิติ เขาก็น่าจะสามารถหาตำแหน่งของลูกสาวเขาเจอได้ไม่ยาก

แต่น่าเสียดายหลังจากที่เขาพยายามหาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาก็ไม่เจอร่องรอยใด ๆ สักที

ในเวลาเดียวกัน ทางด้านของหลิงฟ่างหัว ในตอนนี้หลังจากที่ทดสอบและคำนวณมาหลายรอบ นางก็พบกับจุดที่มีระยะห่างที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเปิดรอยแยกมิติ ซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาเอ้อหลงประมาณ 300 กิโลเมตร

เมื่อนางพบจุดที่ลงตัวแล้ว นางก็ไม่รอใช้เปิดประตูมิติเพื่อสร้างรอยแยกให้มุ่งไปทางภูเขาเอ้อหลงทันที

รอยแยกมิติที่เกิดขึ้นนั้นพุ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งยิ่งมันพุ่งไปไกลมากขึ้นท่าไหร่รอยแยกของมันก็กว้างมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อรอยแยกพุ่งไปอยู่ห่างจากภูเขาเอ้อหลง 80 กิโลเมตร รอยแยกมันก็มีขนาดกว้างกว่า 8 กิโลเมตรเป็นที่เรียบร้อย แต่ถึงแม้ว่ามันจะดูกว้าง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะกลืนภูเขาเอ้อหลงเข้าไปได้ทั้งลูกอยู่ดี

หลิงฟ่างหัวที่เห็นเช่นนี้ก็รู้ดีว่าแค่นี้มันไม่เพียงพอ นางจึงโคจรพลังของนางจนถึงจุดสูงสุด จนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยดเหงื่อ

ในเวลาเดียวกันผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิของภูเขาเอ้อหลงก็รู้ตัวถึงการกระทำของหลิงฟ่างหัว

ด้วยความผันผวนของพลังแห่งมิติที่เกิดขึ้นจากรอยแยกขนาดใหญ่แบบนี้ มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิจะไม่สัมผัสได้?

“ใครกัน? ใครบังอาจโจมตีภูเขาเอ้อหลงของข้า!?” ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิตะโกนลั่นจากในภูเขาเอ้อหลง

จากนั้นอำนาจของเจตจำนงของผู้เชี่ยวขอบเขตจักรพรรดิและผู้เชี่ยวขาญขอบเขตราชันของภูเขาเอ้อหลงก็พุ่งตรงมาหาหลิงฟ่างหัว และหยูเจิ้นไห่ พยายามที่จะปิดรอยแยกมิติที่กำลังใกล้เข้ามาหาภูเขาเอ้อหลงของพวกเขา

แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ หลิงฟ่างหัวไม่อาจต่อต้านอำนาจของเจตจำนงเหล่านั้นได้แม้แต่น้อย

“เฒ่าหยู…” หลิงฟ่างหัวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าสิ้นหวัง

อันที่จริงนางไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไร เนื่องจากในตอนนี้หยูเจิ้นไห่ก็พยายามอย่างสุดกำลังเพื่อต่อต้านอำนาจเจตจำนงที่โจมตีพวกเขาอยู่

แต่น่าเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของหยูเจิ้นไห่ในตอนนี้อยู่แค่เพียงขอบเขตราชันขั้นปลาย ซึ่งแน่นอนว่าเขาเองก็ไม่สามารถต้านทานอะไรได้กับพลังของเจตจำนงที่ถูกส่งมาจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตราชันอย่างน้อย 3 คนรวมไปถึงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิ

หยูเจิ้นไห่ก็แสดงสีหน้าจนใจออกมาเช่นกัน

หากมองจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ความฝันของหลิงฟ่างหัวที่ต้องการส่งภูเขาเอ้อหลงไปอยู่ในห้วงมิติอื่นคงเป็นได้แค่ความฝัน

แต่แล้วในระหว่างที่นางกำลังหมดหวัง จู่ ๆ รอยแยกของมิติกลับขยายใหญ่ขึ้นและพุ่งไปหาภูเขาเอ้อหลงด้วยความเร็วที่น่าใจหาย ความกว้างที่ส่วนปลายสุดของรอยแยกมันยายกว้างออกไปจนกินพื้นที่กว่า 200 กิโลเมตร

ความกว้างระดับนี้มันสามารถกลืนกินภูเขาเอ้อหลงเข้าไปทั้งลูกได้แบบสบาย ๆ!

หลิงฟ่างหัวที่เห็นภาพเช่นนี้ นางก็ตกอยู่ในอาการตกตะลึง

นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในตอนนี้นางสามารถควบคุมรอยแยกมิติได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมเป็นอย่างมากและไม่จำเป็นต้องใช้ความพยายามมากเหมือนก่อนหน้านี้ ซึ่งมันทำให้รอยแยกของมิติพุ่งตรงไปกลืนกินภูเขาเอ้อหลงอย่างรวดเร็วมากกว่าเดิม

ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจักรพรรดิของภูเขาเอ้อหลง หลงหยู เมื่อเห็นภาพเช่นนี้เขาก็ตะโกนขึ้นด้วยสีหน้าหวาดผวาทันที “เร็วเข้าทุกคน รีบออกจากภูเขาเอ้อหลงเดี๋ยวนี้!”

ในเวลานี้เมื่อเขาเห็นว่าจู่ ๆ รอยแยกมิติก็ขยายใหญ่ขึ้น หลงหยูก็รู้สึกหวาดผวาจนวิญญาณของเขาแทบจะหลุดออกจากร่าง

รอยแยกมิติในตอนนี้มันมีพลังเหนือกว่าเมื่อครู่นับหมื่นเท่า ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้เขาไม่อาจจะต่อต้านรอยแยกมิตินี้ได้อีกแล้ว เขาจึงสั่งการให้คนของเขาทุกคนในภูเขาเอ้อหลงอพยพทันที เพื่อรักษาชีวิตของเหล่าลูกหลานของเขาเอาไว้

หากยังมีใครที่ติดอยู่ในภูเขาเอ้อหลงในระหว่างที่มันถูกดูดเข้าไปในรอยแยกมิตินี้ มันอาจจะไม่มีใครรอดชีวิตเลยสักคนก็เป็นได้ ดังนั้นหน้าที่ของเขาและผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ที่อยู่ขอบเขตเหนือกว่าราชัน จึงไม่ใช่การยับยั้งรอยแยกของมิติอีกแล้วแต่มันเป็นการอพยพผู้คนที่ยังอยู่ในภูเขาเอ้อหลงแทน

ด้วยความเร็วของรอยแยกมิติที่พุ่งตรงมาหาภูเขาเอ้อหลง พวกเขาจึงมุ่งเน้นไปที่การอพยพคนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่สนใจที่จะเก็บบรรดาสมบัติใด ๆ ออกมาก่อน ซึ่งการตัดสินใจของพวกเขาเช่นนี้ก็นับได้ว่าถูกต้องแล้ว

หลังจากที่หลงหยู และคนของเขาอพยพคนกลุ่มสุดท้ายที่อยู่ในภูเขาเอ้อหลงเสร็จเพียงอึดใจเดียว รอยแยกมิติก็ได้พุ่งมาถึงภูเขาเอ้อหลงและปกคลุมภูเขาทั้งลูกไปจนหมด

เมื่อรอยแยกมิติปกคลุมภูเขาเอ้อหลงจนหมด จู่ ๆ มันก็เริ่มผันผวนส่งผลให้รอยแยกมิติเริ่มกลายเป็นหลุมดำดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในบริเวณรอบ ๆ เข้าไป

หลิงฟ่างหัว ซึ่งเป็นคนเริ่มเรื่องนี้ทั้งหมดนางยืนมองไปที่รอยแยกมิติที่ในตอนนี้กลายเป็นหลุมดำทรงพลังด้วยสายตาโง่งม นางไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าทำไมจู่ ๆ รอยแยกมิติที่นางสร้างขึ้นมันกลับกลายเป็นทรงพลังขึ้นแบบนี้ได้

ในระหว่างที่นางกำลังงุนงงอยู่นั้น ร่างของนางก็เริ่มถูกผลกระทบจากแรงดูดของหลุมดำ ส่งผลให้ร่างของนางลอยเข้าไปยังจุดศูนย์กลางหลุมดำอย่างควบคุมไม่ได้

นางไม่อาจที่จะต่อต้านแรงดูดนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

“เฒ่าหยู!” หลิงฟ่างหัวกรีดร้องทันที

“คุณหนูข้ามาแล้ว!” หยูเจิ้นไห่รีบตอบกลับพลางบินเข้ามาหา

เมื่อเห็นว่าหลิงฟ่างหัวมีอันตราย หยูเจิ้นไห่ก็รีบมาปรากฏตัวที่ด้านข้างของหลิงฟ่างหัวทันทีพร้อมกับโคจรพลังของเขาปกคลุมร่างของเขาและหลิงฟ่างหัว เพื่อต้านทานความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความผันผวนของพลังมิติ

แต่ว่าสิ่งที่หยูเจิ้นไห่สามารถทำได้ เขาทำได้แค่ต้านทานความเสียหายก็เท่านั้น เขาไม่สามารถต้านแรงดูดของหลุมดำได้เช่นกัน

ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก หยูเจิ้นไห่จึงยืมใช้แรงดึงดูดของหลุมดำพาหลิงฟ่างหัวลอยไปที่ภูเขาเอ้อหลงที่อยู่ในปากของหลุมดำเรียบร้อย เพื่อใช้มันเป็นที่หลบภัยชั่วคราวในระหว่างที่พวกเขาจะต้องเดินทางผ่านมิติไปที่ไหนก็ไม่รู้

จากนั้นในเวลาเดียวกับที่หลิงฟ่างหัวและหยูเจิ้นไห่ลอยไปถึงภูเขาเอ้อหลง หลุมดำที่กำลังดูดทุกอย่างในบริเวณรอบ ๆ จู่ ๆ ก็ปิดตัวลงหายวับไปในทันที เหลือไว้แค่เพียงหลุมลึกขนาดมโหฬาร ซึ่งก่อนหน้านี้มันก็คือภูเขาเอ้อหลง

บรรดาผู้คนของภูเขาเอ้อหลงต่างมองไปที่หลุมลึกที่เคยเป็นภูเขาเอ้อหลงบ้านของพวกเขาด้วยสายตาตกตะลึง

ภูเขาเอ้อหลงของพวกเขาหายไปง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ?

หลงหยู ผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของภูเขาเอ้อหลงโกรธจนกระอักเลือดออกมาคำใหญ่และตะโกนว่า “ใครรู้บ้างว่านังเด็กปีศาจนั่นมันเป็นใคร? ทำไมนังเด็กนั่นต้องมาโจมตีภูเขาเอ้อหลงของข้าแบบนี้!?”

บรรดาผู้คนของภูเขาเอ้อหลงต่างก็เห็นเช่นกันว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งที่เป็นคนสร้างรอยแยกมิติมากลืนกินภูเขาเอ้อหลงของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่รู้ว่านางเป็นใครเหมือนกัน

และถ้าหากไม่ใช่เพราะหลงหยูที่รู้ตัวได้เร็ว คนของภูเขาเอ้อหลงส่วนใหญ่คงจะต้องถูกดูดเข้าไปในหลุมดำนั่นพร้อม ๆ กับภูเขาเอ้อหลงแน่นอน

แต่เป็นใครกันที่ภูเขาเอ้อหลงของพวกเขาไปล่วงเกินจนถึงขนาดถูกคิดบัญชีอย่างหนักหน่วงขนาดนี้?

แล้วทำไมถึงไม่ยอมมาเจรจากันก่อนบ้างเลย? ทำไมพอมาถึงก็เริ่มลงมืออย่างโหดเหี้ยมขนาดนี้?

บรรดาผู้คนของภูเขาเอ้อหลงต่างก็สาปแช่งกันอยู่พักใหญ่ ๆ แต่เมื่อพวกเขาเริ่มยอมรับความจริงได้และรู้ตัวว่าพวกเขาไม่อาจทำอะไรได้แล้ว พวกเขาจึงทำได้แต่ออกเดินทางกลับไปที่ตำหนักมังกรด้วยอารมณ์หดหู่

เมื่อไม่มีภูเขาเอ้อหลงที่นี่แล้ว พวกเขาจะอยู่ต่อไปอีกได้ยังไง?

ตัวการที่ทำให้ภูเขาเอ้อหลงของพวกเขาหายก็เข้าไปในหลุมดำนั่นด้วยอีก พวกเขาก็คงไม่สามารถล้างแค้นอะไรได้

พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพลังแห่งกฎมิติเลย

หรือต่อให้พวกเขารู้และสามารถเปิดประตูมิติได้ในอนาคต พวกเขาจะรู้ได้ยังไงว่ามันปลายทางมันเป็นที่ไหน ใช่ภูเขาเอ้อหลงของพวกเขารึเปล่า?

ดังนั้นเมื่อรู้ว่าทำอะไรไม่ได้อีก พวกเขาจึงเหลือตัวเลือกเพียงอย่างเดียวคือกลับตำหนักมังกรด้วยหัวใจที่แตกสลาย!