คุณชายฉู่ตกตะลึงครู่หนึ่ง
“ได้ยินมาว่าพระชายาโยวอ๋องเป็นคนของสำนักแพทย์เทียนอี วันนี้วงการแพทย์ในใต้หล้าล้วนถือกำเนิดจากสำนักแพทย์เทียนอี วงการแพทย์มีความเมตตากรุณาและจรรยาบรรณแพทย์เพื่อช่วยชีวิตผู้คนที่ตกอยู่ในอันตราย พระชายาโยวอ๋องมีวิชาแพทย์ติดตัว ทว่ากลับดูถูกผู้ป่วยเช่นนี้ หึ ในเมื่อไม่สามารถช่วยชีวิตคน เช่นนั้น ทักษะทางการแพทย์ของท่านจะมีประโยชน์อันใด? ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นการทำลายชื่อเสียงสำนักแพทย์เทียนอีไม่ใช่หรือ? ”
ซูจิ่นซีคิ้วกระตุก “พูดต่อ! ”
คุณชายฉู่ตกตะลึงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาริมฝีปากแห้งผาก ไม่มีอันใดจะพูดแล้ว
ซูจิ่นซียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย “คุณชายฉู่พูดออกมาตั้งมากมาย ทั้งหมดเกี่ยวอันใดกับข้าหรือ? ”
นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง ทั้งยังไม่ใช่หมอ ซูจิ่นซีไม่สนใจชื่อเสียงและโชคลาภเหล่านั้นแม้แต่น้อย
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็เดินออกจากกระโจมทันที
คุณชายฉู่คิดว่าใช้วิธีพูดกระตุ้นเช่นนี้ จะสามารถเปลี่ยนใจซูจิ่นซีได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะไร้ประโยชน์ เขายืนตะลึงงันอยู่ที่เดิม
เมื่อซูจิ่นซีกลับมาที่กระโจมก็เป็นเวลาเย็นแล้ว
หลายวันมานี้ เยี่ยโยวเหยาอยู่กับซูจิ่นซีในแคว้นหนานหลี ไม่มีเรื่องอันใดต้องจัดการ ยกเว้นจัดการจดหมายที่ส่งมาจากที่ต่างๆ
เมื่อซูจิ่นซีเข้ามาด้านใน อาหารเย็นก็จัดวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่เดินเข้ามาในกระโจม เยี่ยโยวเหยาก็คว้ามือซูจิ่นซี และดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด
ดวงตาดำขลับลึกล้ำของโยวอ๋องราวกับน้ำป่าไหลทะลัก เขามองใบหน้าของซูจิ่นซีอย่างลึกซึ้ง
ซูจิ่นซีมองครู่เดียวก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดอันใดขึ้น
นางรีบผลักเยี่ยโยวเหยาออกทันที “เยี่ยโยวเหยา ท่านคิดจะทำอันใด? ยับยั้งอารมณ์ไม่ได้อีกแล้วหรือ? ”
แววตาของเยี่ยโยวเหยายังคงเหมือนเดิม ทว่าเขาพยายามอดกลั้นเอาไว้ไม่ผลีผลาม และใช้นิ้วมือเชยคางซูจิ่นซีอย่างเชื่องช้า
“เรื่องความเป็นความตาย ไปนานถึงเพียงนี้เชียวหรือ? ”
อา…
คางของซูจิ่นซีแทบตกลงบนพื้น
เพราะเป็นเรื่องความเป็นความตาย จึงต้องใช้เวลานานในการแก้ปัญหามิใช่หรือ?
ทว่าคำพูดเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่มีทางพูดออกมาแน่นอน มันจะทำร้ายจิตใจมากเกินไป
นางแย้มยิ้มสดใส “ท่านอ๋อง ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก หลังออกจากกระโจมคุณชายฉู่ ข้าก็รีบกลับมาทันที หากไม่เชื่อ ท่านอ๋องถามองครักษ์ด้านนอกได้”
แน่นอนว่าเยี่ยโยวเหยารู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
“อภัยให้เจ้าที่ไม่กล้าเช่นนั้น! ”
อา…
เพราะเหตุใด นางจึงรู้สึกเหมือนตนเองถูกท่านอ๋องบีบจนตาย?
ทว่านางมีเรื่องสำคัญต้องพูด
ซูจิ่นซีแย้มยิ้มและนั่งลงบนตักของเยี่ยโยวเหยา พลางยื่นจดหมายขอความช่วยเหลือที่คุณชายฉู่มอบให้นางก่อนหน้านี้ให้เยี่ยโยวเหยาดู
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วเล็กน้อยหลังอ่านจบ “เจ้าคิดจะไปหรือ? ”
แววตาของซูจิ่นซีแสดงความหมายลึกซึ้ง “ไป ต้องไปแน่นอน! ”
อย่างไรนางก็คือหมอคนหนึ่ง นางไม่สามารถหนีความรับผิดชอบนี้ได้
“เพียงแต่ ข้าไม่ได้ตกปากรับคำต่อหน้าคุณชายฉู่”
เยี่ยโยวเหยาได้ยินดังนั้นก็รู้ทันทีว่าซูจิ่นซีมีแผนสำรอง เขาเอนหลังพิงเก้าอี้เต็มตัวและรอให้ซูจิ่นซีกล่าวต่อ
“ฝั่งแคว้นตงเฉิน รัชทายาทตงหลิงกลับไปถึงค่ายทหารแล้ว ทว่าเสด็จพี่ของข้ายังไม่กลับมา ข้าคิดว่าเป็นไปได้มากที่ตงหลิงหวงจะพาเสด็จพี่ของข้าไปที่ค่ายทหารแคว้นตงเฉิน”
“เจ้ากังวลว่าตงหลิงหวงจะจับตัวมู่หรงฉีเพื่อคุกคามพวกเราในอนาคต? ”
“ไม่ใช่กังวล ทว่าเป็นเช่นนั้นแน่นอน! ”
แม้จะพบกันในช่วงเวลาสั้นๆ ทว่าซูจิ่นซีเข้าใจอุปนิสัยของมู่หรงฉีกับตงหลิงหวงเป็นอย่างดี
พวกเขาล้วนเป็นผู้มีอำนาจ ในช่วงเวลาวิกฤติ พวกเขาสามารถเสียสละทุกอย่างได้เพื่อแว่นแคว้นและวงศ์ตระกูล รวมถึงความรู้สึกและชีวิตของตนเองด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ตงหลิงหวงเขียนจดหมายแนะนำนางเช่นนี้ มีจุดที่น่าสงสัยอย่างมาก
วิชาแพทย์ของตงหลิงหวง นางเคยเห็นกับตาตนเองแล้ว แม้พิษของแคว้นไหวเจียงในดินแดนต้องห้ามสกุลจงจะรับมือยาก ทว่าจากทักษะทางการแพทย์ของตงหลิงหวง ใช่ว่านางจะไม่สามารถคิดค้นยาถอนพิษออกมาได้เสียทีเดียว
ยามกลางคืน ภายในกระโจมบัญชาการ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยาหารือรายละเอียดเรื่องอันใดกัน ทว่าไฟในกระโจมดับลงนานแล้ว นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฉางอันกงจู่เข้ารับตำแหน่งทางทหารอย่างเป็นทางการ
เช้าวันรุ่งขึ้น ซูจิ่นซีส่งคนไปส่งคุณชายฉู่กับคนอื่นๆ ออกนอกค่ายทหาร
ซูจิ่นซีไม่ได้ไปพบคุณชายฉู่
ทว่าผ่านไปไม่นานนัก ด้านนอกค่ายทหารก็มีเสียงดังขึ้น
องครักษ์นายหนึ่งเข้ามารายงาน “ทูลกงจู่ คุณชายฉู่ที่เพิ่งส่งตัวออกไป เขากลับมาคุกเข่าอยู่นอกค่ายทหาร แม้จะพูดอย่างไร เขาก็ไม่ยอมไปพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะนั้น ซูจิ่นซีกำลังดูเอกสารในกระโจมโดยมีเยี่ยโยวเหยาสวมชุดสีดำนั่งอยู่ด้านข้าง พลางป้อนองุ่นในมือใส่ปากซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา “ปล่อยให้เขาคุกเข่าไป ไม่ต้องสนใจเขา”
องครักษ์ออกไปโดยไม่พูดอันใด
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีจึงพูดขึ้นว่า “หากข้าจำไม่ผิด คุณชายฉู่ผู้นี้คงจะเป็นทายาทเชื้อพระวงศ์ในราชวงศ์ต้าโจว บันทึกเขียนว่าในสมัยราชวงศ์ต้าโจว ตระกูลเซี่ยเรืองอำนาจทรงอิทธิพล ทั้งยังร่ำรวยและมีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้า ทว่าพวกเขากลับหายสาบสูญไปทั้งตระกูลภายในระยะเวลาเพียงวันเดียว
ต่อมา ฉู่อ๋องในสมัยนั้นได้หายสาบสูญไปเช่นเดียวกัน
ในตำนานเล่าว่า สตรีที่ฉู่อ๋องหลงรักปักใจนั้นมาจากตระกูลเซี่ย หนึ่งในจวนเสนาบดีเซี่ยในยุคนั้น”
ด้วยเหตุนี้จึงคาดเดาได้ว่า คุณชายฉู่และหุบเขาหลูเหว่ยมีความสัมพันธ์กับฉู่อ๋องเมื่อพันปีก่อน ทั้งยังเกี่ยวข้องกับตระกูลเซี่ยทั้งครอบครัวที่หายสาบสูญไป
เยี่ยโยวเหยาเอนหลังบนที่นั่ง เขาอ่านตำราในมือโดยไม่เงยหน้ามองแม้แต่น้อย
“ทำไม? ใจอ่อนแล้วหรือ? ”
ซูจิ่นซีรีบวิ่งไปที่ข้างเตียงของโยวอ๋องด้วยรอยยิ้ม และอธิบายว่า “แหม… คนเดียวในโลกนี้ที่ทำให้ข้ารักใคร่มากที่สุด มีเพียงท่านอ๋องผู้เดียวเท่านั้น”
เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยโยวเหยาอ่อนลงเล็กน้อย ซูจิ่นซีจึงหันหลังและพูดว่า “จะว่าไปแล้ว ละครบากฉากต้องเล่นให้ถึงที่สุด พวกเขาถึงจะเชื่อ”
คุณชายฉู่คุกเข่าอยู่นอกค่ายทหารแคว้นหนานหลีสามวันสามคืน
หลังจากนั้นสามวัน ในที่สุด เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป และหมดสติภายใต้แสงแดดแผดเผา ซูจิ่นซีสั่งให้ทหารพาเขาเข้ามาในค่าย
ประโยคแรกของเขาหลังจากฟื้นขึ้นมาคือ ต้องการพบซูจิ่นซี
ซูจิ่นซีไปพบคุณชายฉู่ หลังจากคุณชายฉู่อ้อนวอนหลายต่อหลายครั้งด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในที่สุด นางก็ตกปากรับคำว่าจะไปหุบเขาหลูเหว่ยเพื่อรักษาโรคระบาด
พฤติกรรมของคุณชายฉู่เอิกเกริกพอสมควร ทหารเกือบทั้งค่ายทหารแคว้นหนานหลีต่างรับรู้เรื่องนี้ รวมทั้งสายสืบแคว้นตงเฉินที่แฝงตัวอยู่ในแคว้นหนานหลีด้วย
ไม่นานนัก ข่าวก็แพร่กระจายไปทั่วค่ายทหารแคว้นหนานหลี
เช้าวันถัดไป รถม้าสองคันเดินทางออกจากค่ายทหารแคว้นหนานหลี คันหนึ่งเป็นของคุณชายฉู่ อีกคันหนึ่งเป็นของซูจิ่นซีกับเยี่ยโยวเหยา
มีองครักษ์จำนวนหนึ่งเดินตามทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ข่าวนี้ยังส่งไปถึงค่ายทหารแคว้นตงเฉินเช่นกัน
ภายในกระโจมบัญชาการแคว้นตงเฉิน ตงหลิงหวงพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เจ้าแน่ใจหรือว่าซูจิ่นซีกับโยวอ๋องออกจากค่ายทหารและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาหลูเหว่ย”
นายทหารฝ่ายข่าวสารพูดด้วยความมั่นใจ “กระหม่อมเห็นกับตาตนเอง ฉางอันกงจู่กับโยวอ๋องเข้าไปในรถม้าและออกเดินทางไปพร้อมกับรถม้าของคุณชายฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
“เวลานี้ผู้ใดรับผิดชอบงานในกองทัพแคว้นหนานหลี? ”
“มอบให้แม่ทัพมู่หรงดูแลชั่วคราว ฉางอันกงจู่บอกว่านางไปเพียงวันเดียว และจะรีบกลับมา”
ตรรกะสอดคล้องกันอย่างมาก
ตามอุปนิสัยของซูจิ่นซี นางไม่มีวันทิ้งกองทัพแคว้นหนานหลีเพื่อช่วยชาวบ้านในหุบเขาหลูเหว่ยในเวลานี้แน่นอน คุณชายฉู่คุกเข่าเป็นเวลาสามวันสามคืนกว่านางจะตกลงยินยอมไปช่วยเหลือ
อีกทั้งตอนที่นางจากไป นางยังนั่งรถม้า ประการแรก เพื่อปกปิดเรื่องที่นางแอบออกจากค่ายทหาร
เยี่ยโยวเหยาไม่วางใจปล่อยให้ซูจิ่นซีไปเพียงลำพัง เขาต้องไปพร้อมกับซูจิ่แน่นอน เพราะฉะนั้น พวกเขาจำเป็นต้องมอบภาระให้แม่ทัพมู่หรงผู้มีประสบการณ์มานานหลายปี
เพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในกองทัพ ซูจิ่นซีจะต้องรีบกลับค่ายทหารภายในเวลาหนึ่งวัน
อืม ไม่มีอันใดผิดปกติ!
เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนเป็นโอกาสอันดีในการลอบโจมตีค่ายทหารแคว้นหนานหลี